“ท่านซีเว่ยหนูเห็นทักษะ ‘ชุบชีวิต‘ มันใช่…”

เอลีน่าที่เพิ่งเลเวลอัพ มองไปที่ซีเว่ยอย่างมีความหวัง

ซีเว่ยเข้าใจความหมายของเด็กสาว เธอคงต้องการชุบชีวิตชาวบ้านที่ตายไปแล้วเหล่านั้น

“น่าเสียดาย เจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้” เขาทำลายจินตนาการของเด็กหญิงอย่างไร้ความปราณี “ทักษะชุบชีวิต สามารถใช้ฟื้นคืนชีพเหล่าคนตายได้ดั่งที่เจ้าเข้าใจนั้นถูกต้องแล้ว แต่มันใช้ได้ผลเฉพาะเหล่าผู้ที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมเท่านั้น การใช้ทักษะหนึ่งครั้ง จะแลกกับจำนวน EXP บางส่วนที่พวกเขามีอยู่…แม้ว่ามันจะฟังดูโหดร้าย แต่นี้เป็นกฎระหว่างเทพเจ้า เราไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้”

ที่จริงแล้ว แม้แต่การชุบชีวิตแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เขาก็ทำได้โดยการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่บางอย่าง ที่ราชาแห่งความตายฮาเดสเหลือทิ้งไว้

เดิมทีเทพเจ้าแห่งเกม ไม่ได้มีอิทธิพลที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความตาย แต่สำหรับซีเว่ย มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ตัวละครในเกม จะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้หลังจากที่พวกเขาตาย ดังนั้น เขาจึงได้ตัดสินใจสร้างกลไกการฟื้นคืนชีพแบบอัตโนมัติขึ้นมาสำหรับผู้ศรัทธาของเขา และเขาก็ทำสำเร็จ

หากผู้ศรัทธาของเขายังคงศรัทธาในตัวเขา ขณะที่พวกเขากำลังเสียชีวิต พวกเขาก็จะกระตุ้นให้เกิดกลไกการฟื้นคืนชีพแบบอัตโนมัติขึ้นมา จากนั้นวิญญาณของพวกเขาก็จะถูกส่งไปเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย นั่นก็คือภายในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ย สถานะนี้ไม่ใช่การตายที่แท้จริง ดังนั้นราชาแห่งความตายฮาเดส ผู้มีอำนาจเหนือโลกใต้พิภพและความตาย จะไม่มีทางรู้ว่าวิญญาณที่ตายไปแล้วส่วนหนึ่ง ถูกดักจับไว้โดยซีเว่ย

หากมีคนร่ายทักษะชุบชีวิตให้กับศพของผู้ศรัทธาในศาสนจักรแห่งเกม ผู้ศรัทธาคนนั้นก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ทันที โดยผู้ที่ถูกชุบชีวิตจะถูกหักค่าประสบการณ์ 10% หากไม่มีใครช่วยชุบชีวิตให้พวกเขา พวกเขาก็จะฟื้นขึ้นมาเองหลังจากผ่านไป 72 ชั่วโมง และถูกหักค่าประสบการณ์ไป 30%

เมื่อ EXP คงเหลือของพวกเขาไม่เพียงพอ เลเวลของพวกเขาก็จะถูกปรับลด หากพวกเขามีค่าประสบการณ์น้อยกว่า 10% ที่เลเวล 1 มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฟื้นคืนชีพพวกเขากลับขึ้นมา แต่ในทางกลับกัน ตราบใดที่พวกเขามี EXP มากกว่า 20% ที่เลเวล 1 พวกเขาก็จะไม่มีวันตาย

แม้ว่าเทพองค์อื่น ๆ จะพยายามเลียนแบบซีเว่ย แต่มันก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่อาจทำมันด้วยตนเองได้ พวกเขาต้องการอิทธิพลบางส่วนจากเทพเจ้าที่มีอำนาจเกี่ยวข้องกับความตาย เพื่อให้สามารถทำได้เช่นเดียวกับเขา

อ่อ ยกเว้นเทพเจ้าอยู่องค์หนึ่ง ราชาแห่งความตายฮาเดส เขาทำได้ แต่เขาจะไม่ทำแน่

ในฐานะเทพที่มีอำนาจเหนือความตาย ความศรัทธาของสิ่งมีชีวิตไม่มีความหมายอะไรสำหรับราชาแห่งความตายฮาเดส เขาจะไม่ออกนอกลู่นอกทางเพื่อชุบชีวิตเหล่าผู้ศรัทธาของลูกน้องเขาแน่ หากเขาทำ มันจะลดความกลัวที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต้องเผชิญเมื่อพบกับความตาย และมันยังทำให้ศักดิ์ศรีของราชาแห่งความตายเสียหายด้วย เขาจะไม่ทำแบบนั้นยกเว้นว่าสมองของเขาจะมีปัญหา

เมื่อซีเว่ยสร้างกลไกการฟื้นคืนชีพแบบอัตโนมัติ มันก็ทำให้เขาได้เข้าใจตัวตนของเทพเจ้าแห่งเกมมากขึ้น นั่นคือตราบใดที่เขาคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสามัญสำนึกสำหรับเกม เขาก็สามารถมีอิทธิพลต่อมันได้ในระดับหนึ่ง และเมื่อทำการเปรียบเทียบตัวเขาเองกับเทพเจ้าแห่งเกมองค์ก่อน แน่นอนว่าเขาต้องมีความรู้เรื่องเกมมากกว่าอยู่แล้ว

เด็กสาวที่เพิ่งมีความหวัง กลับถูกดับลงด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาของซีเว่ย เธอเช็ดน้ำตาขณะที่สะอื้นเบา ๆ

แต่เธอก็ไม่ได้หลีกหนีความเป็นจริงที่เธอพึ่งประสบ เธอใช้คะแนนทักษะที่เธอเพิ่งได้รับมาไปกับทักษะการรักษาที่ชื่อว่า ‘สัมผัสรักษา‘ แทน

เธอรีบเดินไปหาเหล่าผู้รอดชีวิตที่นอนหอบหายใจรวยรินอยู่บนพื้น

ขณะที่เธอยื่นมือออกไป ฝ่ามือของเธอก็เริ่มเปล่งประกายแสงสีขาวบริสุทธิ์ หากใครก็ตามผ่านมาเห็นฉากนี้ ถ้ามีคนบอกพวกเขาว่าเธอเป็นแม่ชีมากประสบการณ์จากศาสนจักรสีขาวอันสว่างไสว ก็คงไม่มีใครสงสัยในตัวเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะมีตัวเลข ‘+1‘ สีเขียวผุดขึ้นมาจากหัวคนที่นอนอยู่บนพื้นน่ะนะ…

ชาวบ้านที่ยังรอดชีวิตเหล่านี้ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไรนัก พวกเขาแค่อ่อนเพลียจากการที่ถูกเขี้ยวมังกรขย้ำเล่น เพราะตั้งแต่แรกเหล่าผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นของเล่น ล้วนเป็นชาวบ้านหนุ่มสาวที่ร่างกายแข็งแกร่งและมีพลัง ดังนั้นตัวเลข ‘+1 ที่ผุดขึ้นมาจึงปรากฏอยู่เพียงไม่นาน ก่อนที่พวกเขาจะหายสนิท

ชาวบ้านเหล่านี้ตกอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง หลังจากที่พวกเขาล้มเหลวในการพยายามหลบหนีหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาไม่คิดเลยว่าเมื่อพวกเขาหันกลับมาอีกครั้ง เจ้าเขี้ยวมังกรที่ไล่ล่าพวกเขาอย่างกับแมวหยอกหนู จะขาดใจตายจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว

แม้ว่าผู้ที่โจมตีสัตว์ประหลาดครั้งสุดท้ายคือเอลีน่า แต่ชาวบ้านก็รู้ดีว่าคนที่ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ คือคนนอกลึกลับผู้นี้

“นายท่าน!”

ชาวบ้านที่รอดชีวิตล้วนเป็นเด็กวัยรุ่นอายุประมาณ 12-15 ปี ประกอบด้วยเด็กชาย 3 คนและเด็กหญิงอีก 1 คน เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นผู้นำของกลุ่ม ก้าวออกมาด้วยขาสั่น ๆ และคุกเข่าลงตรงหน้าซีเว่ย เขาเริ่มร้องไห้อ้อนวอนด้วยเสียงแหบแห้งว่า “หมู่บ้านของเราถูกทำลายไปแล้ว พวกเราไม่เหลือหนทางใด ๆ แล้ว! หากเรายังอยู่ที่นี่ ถ้าไม่อดตายก็คงต้องถูกสัตว์ร้ายกินเข้าสักวันแน่! นายท่าน ได้โปรดเมตตาช่วยเราด้วย! ได้โปรดพาเราไปกับท่านด้วย!”

ซีเว่ยลูบคาง ดูเหมือนว่าพวกเด็ก ๆ จะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นนักเวทพเนจร พวกเด็ก ๆ หวังว่าเขาจะเมตตาให้ความช่วยเหลือ

แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ เขาเหลือเวลาอยู่ในดินแดนมรรตัยแห่งนี้ไม่มากนัก

“ข้าขอโทษ ข้าไม่สามารถพาพวกเจ้าไปด้วยได้ แต่ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมผู้ยิ่งใหญ่ ข้าก็สามารถมอบหนทางรอดให้พวกเจ้าได้” เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

เหล่าเด็ก ๆ รู้สึกผิดหวังที่ถูกซีเว่ยปฏิเสธ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็คุกเข่าคำนับเขาอย่างจริงจัง “เราเต็มใจที่จะศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม!”

เด็กคนอื่น ๆ ทำตามเขาและหมอบลงไปกับพื้น แต่เนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้เรียนวิธีการคำนับที่ถูกต้อง พวกเขาจึงดูเหมือนกบตัวใหญ่ที่นอนคุดคู้อยู่บนพื้น

ภายใต้การจ้องมองที่เต็มไปด้วยความหวังของเอลีน่า ซีเว่ยกลับขมวดคิ้ว

เขาไม่สามารถรู้สึกได้ถึงพลังศรัทธาที่มาจากเด็ก ๆ เหล่านี้

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแค่พูดมัน แต่ไม่ได้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกมจากก้นบึ้งของหัวใจเหมือนที่เอลีน่าทำ

ซีเว่ยต้องการจะฉีกหน้าพวกเขาออก แต่ก็ยั้งตัวเองเอาไว้ทัน

เมื่อตอนที่เขายังอยู่บนโลก อันที่จริงเขาก็เป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ว่าเด็ก ๆ เหล่านี้กำลังรู้สึกอย่างไร

ไม่มีใครยอมเปิดใจและเชื่อในศาสนาที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน จากคำพูดของคนแปลกหน้าเพียงไม่กี่คำหรอก…

แม้แต่เอลีน่าที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด ก็ยังปฏิเสธเขาเมื่อเขาชวนเธอมาเป็นนักบุญในครั้งแรก ไม่ต้องพูดถึงเด็กเหล่านี้ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

หลังจากหยุดคิดสักพัก เขาก็พูดขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนเพิ่งสูญเสียคนที่พวกเจ้ารักไป ในเวลานั้น พวกเจ้าทำได้เพียงแค่มองดูพวกเขาตายลงอย่างไร้หนทาง หัวใจของพวกเจ้าเจ็บปวดยิ่งกว่าร่างกายของพวกเจ้าที่ถูกศัตรูทำร้าย แม้ว่าตอนนี้พวกเจ้าจะรอดตายแล้ว แต่ในเวลาที่พวกเจ้าทุกข์ทรมานที่สุด เทพเจ้าที่เจ้าศรัทธาได้ช่วยเหลือเจ้าหรือไม่ สงสารเจ้าหรือไม่? แม้ว่าเจ้าจะดั้นด้นเดินทางไปยังศาสนจักรของเทพในเมืองใหญ่ และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านให้นักบวชที่นั่นฟัง คำตอบที่พวกเจ้าจะได้รับก็คือพูดอย่างสำรวมว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระเจ้ากำหนด’ โดยไม่มีความรู้สึกสงสารเจือปนแม้แต่น้อย”

เหล่าเด็ก ๆ ที่ได้ฟังความจริงที่พวกเข้ารู้อยู่แก่ใจดี สีหน้าก็พลันหดหู่และมืดมน เด็กสาวคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ใช่เอลีน่าเริ่มสะอื้นไห้

เอลีน่าเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เธอและลูบหลังเธอเบา ๆ อย่างปลอบโยน

“แล้วเจ้าคิดว่า คำพูดของนักบวชพวกนั้นคือความจริงหรือ? ไม่ ไม่ใช่เลย! การมีอยู่ของเจ้าไม่มีความหมายสำหรับเทพผู้สูงศักดิ์และยิ่งใหญ่เหล่านั้น…ทำไมพวกเขาจะต้องสนใจในตัวเจ้า? ตัวเจ้าถูกพวกเขาทอดทิ้ง ดั่งที่มนุษย์ไม่เคยสนใจว่ามดตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เทพเจ้าของพวกเจ้าก็ไม่เคยสนใจความทุกข์ของเจ้าที่เปรียบดั่งมดในสายตาพวกเขาเช่นกัน! เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมเจ้าถึงยังสวดอ้อนวอนให้พวกเขาอีกเล่า!” น้ำเสียงของซีเว่ยเต็มไปด้วยการยั่วยุ

“แทนที่เจ้าจะรอคอยความเมตตาที่ซึ่งเทพเหล่านั้นไม่มีทางมอบมันให้กับเจ้า ทำไมเจ้าไม่ใช้สองมือของเจ้า แผ้วถางเส้นของตัวเจ้าเอง ไม่มีความยุติธรรมที่แท้จริงบนโลกใบนี้ เพราะความ ‘ยุติธรรม‘ ถือเป็นพรของผู้ศรัทธาทุกคนของเทพเจ้าแห่งเกม! ทำไมพวกเจ้าไม่ลองดูล่ะ? ใช้สองมือของเจ้า และความพยายามของเจ้า เพื่อต่อต้านสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา ที่คนเหล่านั้นใช้กำหนดคุณค่าของตัวเจ้า!”

ในตอนท้าย ซีเว่ยยิ้มบาง ๆ และพูดว่า “โอ้~เทพเจ้าแห่งเกม โปรดมอบชีวิตใหม่ให้กับเรา!”

———————————————