ตอนที่ 173 กระบวนท่ายิ่งใหญ่มาไม่ทันตั้งตัว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 173 กระบวนท่ายิ่งใหญ่มาไม่ทันตั้งตัว

มือยิงธนูปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน ทั้งยังคุกเข่าขออภัยต่อหน้าฉินหลิวซี ภาพนี้ทำให้ผู้คนนิ่งอึ้งและตกใจเสียยิ่งกว่าฟ้าผ่า

อวี้ฉังคงยืนมือไพล่หลังอยู่ด้านหลัง ดวงตาฉายแววประหลาด

พลันรู้สึกว่าตนไม่คู่ควรยืนเคียงข้างฉินหลิวซี นางเก่งกาจกว่าที่ตนคิดไปมาก

มู่ซีตั้งสติได้หลังจากตื่นตกใจ จำองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าได้ ชี้หน้าเขา “เจ้า ไยเจ้าต้องคุกเข่าให้นาง”

ยังขออภัยอีก หน้าตาของเขาเล่า

ใบหน้าของมู่ซีแสดงความโกรธ องครักษ์เป็นหน้าเป็นตาของตน ยามนี้คุกเข่าลง นั่นหมายความว่าเขาเสียหน้าไปแล้ว

องครักษ์ไม่มองเขา เพียงเอ่ยเรียกชื่อชื่อหนึ่ง และองครักษ์ที่ถูกเรียกชื่อนั้น เดินเข้ามาด้านหน้าโดยไม่ต่อต้าน สกัดจุดปิดปากมู่ซีก่อน จากนั้นสกัดจุดการเคลื่อนไหวของเขา จับกุมตัวเขาเอาไว้

มู่ซี “!”

บังอาจ ทรยศแล้ว ทรยศไปหมดทุกคนแล้ว

“ท่านอาจารย์” องครักษ์เงามองไปยังฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีเอ่ย “เด็กน้อยไม่รู้ความ ครั้งนี้ช่างเถิด” นางมองไปยังมู่ซี “ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ กินอยู่สุขสบายเป็นปลาเค็มตัวหนึ่ง นั่นดียิ่งแล้ว น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสของข้าไม่ยินยอม น่าเสียดายเป็นที่สุด”

น่าเสียดายบ้าอะไรของเจ้า มีความสามารถก็อย่าหนีสิ

“มู่ซีร้องตะโกนอยู่ในใจ ทว่าทำได้เพียงจ้องมองฉินหลิวซีเดินห่างออกไปไกล

องครักษ์เห็นนางไปแล้ว จึงเอ่ยขึ้น “พาท่านซื่อจื่อกลับไป”

พวกเขาเกือบสร้างเรื่องใหญ่แล้ว

อวี้ฉังคงมองฉินหลิวซีอยู่ตลอด ท่าทางอึกอัก

ฉินหลิวซี “ท่านอยากถามอะไร ถามมาเถิด”

“ฟ้าผ่านั่น เป็นท่านสร้างขึ้นหรือปรมาจารย์ลัทธิเต๋ากำลังมองอยู่อย่างที่ท่านว่า”

ฉินหลิวซีหัวเราะขึ้นมา “ท่านอยากฟังความจริงหรือโกหก”

อวี้ฉังคงเงียบไปชั่วครู่ “ท่านเอ่ยมาข้าก็เชื่อทั้งนั้น”

“ทำไมหรือ ถ้าท่านรู้ว่าข้าคือเทพเจ้าตนหนึ่ง ผู้คนต่างบอกว่า ปากของเทพเจ้าโกหกเก่งที่สุด ต่อให้ไม่มี แปดปีสิบปีก็ต้องมี” ฉินหลิวซีตั้งใจหยอกล้อเขา

อวี้ฉังคงหันกลับมา เอ่ย “พวกเขาต่างก็บอกว่าข้าหล่อเหลา”

ฉินหลิวซี “?”

“นักพรตชิงหย่วนบอกว่าท่านหน้าตาดี” อวี้ฉังคงเอ่ยบางอย่างที่เป็นความหมายแฝงอีกครั้ง “ดังนั้น คงไม่โกหกข้ากระมัง”

ฉินหลิวซีหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เอ่ย “บอกได้เพียงว่า บางสิ่งบางอย่างที่ท่านมองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่าไม่มี และเห็นสิ่งที่ท่านเชื่อนั่นก็พอแล้ว แน่นอน เรียกฟ้าเรื่องเล็กเช่นนี้ข้าก็ทำได้ ใช้ยันต์แผ่นเดียวก็ได้แล้ว”

อวี้ฉังคงเข้าใจแล้ว หมายความว่า เขามีอยู่จริง

“ที่ท่านบอกว่าอยากไปกับมู่ซื่อจื่อก็ไม่ได้ล้อเล่นหรือ”

“หึๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเป็นคนเห็นแก่ความสุขสบาย เพียงแต่ตัวอยู่ในเต๋า มีคำมั่นสัญญามากมาย” ฉินหลิวซีถอนหายใจ

สวรรค์โหดร้ายกับนาง นางรู้ดี

อวี้ฉังคงครุ่นคิด เอ่ย “มู่ซื่อจื่อดื้อรั้นใช้อำนาจบาตรใหญ่ แม้เป็นน้องชายของฮองเฮา แต่เพราะฐานะเขาสูงส่ง ล่วงเกินคนไม่น้อย จากที่ผ่านมาจึงง่ายที่จะหาเรื่องใส่ตัว”

เขานั่งลงในรถม้า เอ่ยท่าทางจริงจัง “หากเขาเป็นเช่นนี้ไม่ยอมหยุด ต้องมีสักวันที่ความเมตตาของฝ่าบาทจะหมดสิ้น ถึงตอนนั้นฮองเฮายังไม่มีโอรส เช่นนั้นเขาและจวนโหวที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็คงกระอักกระอ่วนแล้ว”

คิ้วของฉินหลิวซีเลิกขึ้นเล็กน้อย “ตามหลักแล้ว ฮองเฮาไม่มีโอรส ไม่ใช่ฐานะมั่นคงกว่าใครหรือ ยิ่งทำให้คนรู้สึกวางใจ เป็นกษัตริย์ กลัวที่สุดคือญาติฝั่งภรรยามีอำนาจ”

“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ ฮองเฮาที่ไร้โอรสข้างกาย เพียงสูญเสียหัวใจของฝ่าบาท ยิ่งง่ายที่จะร่วงลงจากบัลลังก์หงส์” อวี้ฉังคงเอ่ยเสียงเสียงเย็น “ไร้โอรส เพียงหาข้ออ้างง่ายๆ ก็ปลดได้”

เขาไม่ได้รู้สึกว่าฝ่าบาทมีความรักลึกซึ้งต่อฮองเฮา ในสายตาตำแหน่งฮองเฮามั่นคง ทว่าเพราะไร้โอรส ยากที่จะคว้าใจของฝ่าบาทเอาไว้ได้

เกิดฮ่องเต้เป็นบ้าขึ้นมา อยากเปลี่ยนฮองเฮาที่พึงใจกว่าหรือเป็นที่โปรดปรานกว่าเล่า

เช่นนั้นนางที่ไร้โอรส จึงง่ายที่จะถูกปลดลงมา

แน่นอนว่าหากฝ่าบาทไม่โง่เขลา ก็น่าจะรู้ว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันนั้นเป็นญาติฝั่งภรรยาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว อย่างไรครอบครัวของนาง ทายาทไม่มาก มีต้นกล้าเพียงต้นเดียว และยังต้องดูแลต้นกล้าให้เติบโตแข็งแรง อย่างอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง

คงต้องดูว่าฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในยามนี้จะฉลาดหรือไม่เท่านั้นแล้ว

ฉินหลิวซีหัวเราะ “คุณชายฉังคงจริงจังเพียงนี้ ราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมข้าอย่าให้ตนเองตกต่ำอย่างไรอย่างนั้น”

อวี้ฉังคงสะอึก เอ่ย “เพียงรู้สึกว่าท่านไม่ชอบความวุ่นวาย และมู่ซื่อจื่อผู้นั้นคือความวุ่นวาย”

“เขา เขาเป็นความวุ่นวายจริงๆ แต่ไม่ทำให้ข้าต้องวุ่นวายก็พอ ไม่ต้องเอ่ยถึงจะดีกว่า” ฉินหลิวซีแหวกผ้าม่านรถเปิดมองออกไป ส่งเสียงขึ้นมาพลางเคาะผนังรถ

อวี้ฉังคงเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยบอกหยุดรถ มองตามสายตาของนางไป “ทำไมหรือ”

ฉินหลิวซีมองสตรีที่เดินออกมาจากร้านเครื่องประดับ เอ่ย “แม่นางผู้นี้ เดิมต้องมีชีวิตร่ำรวยสูงส่งอย่างราบรื่น แต่ตอนนี้กำลังโชคร้ายนี่นา”

อวี้ฉังคงมองคนไม่ชัด เห็นเพียงหลายคนที่กำลังล้อมหญิงชุดขาวอยู่ แต่น่าแปลกก็คือ ข้างกายของสตรีชุดขาว คล้ายมีไอสีดำราวกับหมอกปกคลุมอยู่ เพียงแต่หมอกนั้นมีเพียงสีดำ

“โชคร้ายหรือ สีดำหรือ”

ฉินหลิวซีชะงัก หันกลับมามองเขา “ท่านว่าอย่างไรนะ ท่านมองเห็นหรือ”

อวี้ฉังคงมองสบตากับนาง แม้มองท่าทีของนางไม่ชัด แต่ก็ชัดกว่าเมื่อวาน รู้ว่าใบหน้าของนางงดงามหล่อเหลา ยามนี้สีหน้ากลับตกตะลึง

“หากท่านหมายถึงสตรีชุดขาวผู้นั้น ข้าก็เห็นร่างกายของนางปกคลุมไปด้วยหมอกดำ นี่ คือโชคร้ายหรือ” อวี้ฉังคงเอ่ยอย่างระมัดระวัง หัวใจกลับกระวนกระวาย

เขาไม่ได้โง่ กลับกันเขาฉลาดมาก เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ตอนนี้เขามองเห็นแล้ว

และสีหน้าตึงเครียดของฉินหลิวซี นั่นอาจเป็นได้ว่า ร่างกายของเขามีความเปลี่ยนแปลง

ไม่สิ เอ่ยให้ถูก ดวงตาของเขามีการเปลี่ยนแปลง

ฉินหลิวซีตกใจจริงๆ ยกตัวขึ้นเล็กน้อยโน้มเข้าไปใกล้เขา มือตรวจสอบดวงตาทั้งสองข้างของเขา ดวงตาของเขานับวันยิ่งดีขึ้นเข้าใกล้คำว่าปกติ นางมองเห็นกระทั่งเงาของตนเองในแววตาของเขา

แต่จุดสำคัญไม่ใช่สิ่งนี้ นางตรวจดูดวงตาของเขาอย่างละเอียด ลึกเข้าไปในดวงตา มีชั้นสีม่วงจางๆ หนึ่งชั้น หากเพ่งมองก็ยิ่งชัดเจนขึ้น

อวี้ฉังคงไม่ขยับเขยื้อน ไม่เอ่ยปาก ปลายจมูกล้วนเป็นลมหายใจของฉินหลิวซี มือด้านล่างของอีกฝ่ายที่อยู่ใต้แขนเสื้อจับอยู่บนเบาะนั่งในรถ

ฉินหลิวซีตกใจอยู่ในใจ ครุ่นคิดชั่วครู่ กดนิ้วมือ ปลายนิ้วมีพลังหยินรวมอยู่ จ่อมาตรงหน้าเขา “มองเห็นหรือไม่”

อวี้ฉังคงมองหมอกสีดำพันอยู่รอบปลายนิ้วของนางราวกับงู ร่างกายนิ่งเกร็ง รู้สึกว่าสีเทาดำนี้ค่อนข้างอันตราย พยักหน้า “สีเทาดำ มีพลังมาร”

มองเห็นจริงด้วย

ฉินหลิวซีดวงตาเบิกโต ดวงตากลอกไปมา

อวี้ฉังคงว่องไว ไม่ดีแล้ว นางต้องใช้กระบวนท่าใหญ่

ยังไม่ทันทำอะไร พลันเห็นปากของฉินหลิวซีท่องคาถาไม่กี่ประโยค ชายชุดขาวใบหน้าซีดขาวลิ้นยืดยาวปรากฏตัวขึ้นมาในรถ

ก็ ไม่ทันได้ตั้งตัว

อวี้ฉังคง “!”

เขาตัวแข็งทื่อ มองตามลิ้นยาวลงไปข้างล่าง ดวงตาขนาดเท่าระฆังทองแดงมองมาที่เขา คล้ายตื่นตกใจมาก

คิ้วของอวี้ฉังคงไม่ขยับ เอ่ย “ลิ้นยาวของพี่ชายท่านนี้ ยาวเป็นเอกลักษณ์มาก”

อย่าเป็นลม ถ้าเป็นลมหลังจากนี้ต่อไปจะไม่หลงเหลือความหล่อต่อหน้านางอีกแล้ว