ตอนที่ 174 เปิดตาหยิน

อวี้ฉังคงอ่านหนังสือมามากมายตั้งแต่เด็ก ทั้งยังติดตามบิดามารดาท่องไปทุกหนทุกแห่ง มีความรู้กว้างขวาง ภายใต้สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินเป็นประจำนี้ แม้ยืนกรานในหลักของขงจื้อไม่สอนเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่อย่างไรก็เคยได้ยินทว่าไม่เคยเห็นมาก่อน คิดเสียว่าเป็นคำเล่าขานกันมาเท่านั้น แต่เมื่ออายุสิบขวบเกิดความเปลี่ยนแปลงกับร่างกาย เขาจึงไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของผีสาง

หากมีอยู่ ไยจึงมองข้ามเรื่องน่าเศร้าเช่นนั้นกัน

นี่คือสิ่งที่เขาผิดหวังต่อเทพเจ้า

แต่ตอนนี้ ใบหน้าซีดขาวลิ้นยามปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า ต่อให้หักฝ่ามือของเขา ก็ไม่อาจลืมตาโกหกได้ นี่คือวิชาพรางตาใช่หรือไม่

“ใต้เท้า ท่านเรียกข้าน้อยมีเรื่องอันใดหรือ” ผีแขวนคอตายตัวสั่น

“ไม่มีอะไร เพียงเรียกเจ้ามาพิสูจน์อะไรบางอย่าง ยามนี้ทดสอบเสร็จแล้ว ไปเถิด”

ผีแขวนคอตาย “!”

ดังนั้น ท่านเรียกก็มาโบกมือไล่ก็ไปอย่างนั้นสินะ

ผีแขวนคอตายไม่กล้าแม้แต่จะบ่น เพียงมองนางด้วยท่าทางน่าสงสาร หายไปจากตรงหน้าอวี้ฉังคง

อวี้ฉังคง “…”

ลำคอแห้งผาก อยากดื่มชากดข่มความตกใจ

“เห็นหมดแล้ว” ฉินหลิวซีสีหน้ายุ่งยาก

อวี้ฉังคงกลืนน้ำลาย เอ่ย “นี่คืออะไรหรือ”

“ผีแขวนคอตาย ตายมาหลายสิบปีแล้วกระมัง ไม่เคยถาม” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

อวี้ฉังคงมึนงง กัดปลายลิ้น เอ่ย “ข้าแปลกใจ นับตั้งแต่ดวงตามองเห็น ข้าก็มองเห็นร่างเงาอยู่บ่อยๆ ข้านึกว่าเป็นคน แต่กะพริบตาก็ไม่เห็นแล้ว ตอนนี้ดูแล้ว พวกเขาต่างก็เป็นคนตายหรือ”

“น่าจะใช่” ฉินหลิวซีเปิดม่านขึ้น มองเห็นพ่อค้าคนหนึ่ง ขายผักและหัวหมูตุ๋น ผีอ้วนหูใหญ่นอนอยู่ตรงนั้นกำลังแลบลิ้นเลีย จึงเอ่ย “ท่านดูร้านนั้น”

อวี้ฉังคงมองออกไป มองไม่ชัดว่าขายอะไร แต่ได้กลิ่นน้ำแกงตุ๋น ทั้งมองเห็นคนสองคน หนึ่งในนั้นกำลังนอนหรือ

“คนที่อยู่บนแผงนั่นไม่ใช่คน”

“คนขายเป็นคน แต่คนที่นอนอยู่นั่นไม่ใช่ เขากำลังสูดกลิ่นของหัวหมู” ฉินหลิวซีเอ่ย

อวี้ฉังคงมวนท้องขึ้นมา หรี่ตาลง สมองเริ่มแยกแยะด้วยตนเอง อดไม่ได้ที่จะมองตรงๆ

นับจากนี้เขาคงไร้วาสนากับเนื้อหัวหมูอีกแล้ว

“นี่กินได้หรือ”

“ไม่ได้ ต้องถวาย ขอเพียงคนถวายให้เขา เขาถึงจะดูดกลืนอาหารได้ มิเช่นนั้นวิญญาณล่องลอยมากมายบนถนนนี้ วัตถุดิบทั้งหลายก็ไม่ตกเป็นของพวกเขาหรือ” ฉินหลิวซีอธิบาย

“เช่นนั้นผีตนนี้ไยจึงยัง”

ฉินหลิวซีเอ่ย “เป็นผีตะกละตนหนึ่ง ตอนมีชีวิตคงตะกละมาก เนื้อหัวหมูคงทำให้เขาคิดถึงกระมัง คนตายแล้วไม่ยอมกลับไปเกิด ไม่ก็ยึดติด ไม่ก็ไม่ต้องการจริงๆ หรือไม่อาจจะมีเหตุผลอื่น ส่วนเขาคงจะรักเนื้อหัวหมูมาก ดูแล้วคงไปไหนไม่ได้ เพียงมองเพียงสูดกลิ่นก็คงบรรเทาความตะกละได้เท่านั้น”

อวี้ฉังคงนิ่งค้าง “คนตายไปแล้วยังยึดติดอีกหรือ”

ฉินหลิวซีมองไปทางเขา “ไม่เสมอไป ความยึดติดเกิดขึ้นตอนยังมีชีวิต หากตอนมีชีวิตไม่มี ตายไปแล้วก็คงไม่ยึดติด”

อวี้ฉังคงนึกขึ้นได้มองไปรอบๆ

ฉินหลิวซี “ไม่ต้องหา ท่านพ่อท่านแม่ของท่านไม่ได้อยู่ที่นี่”

ดวงตาของอวี้ฉังคงจมลง ไม่นานพลันยิ้ม “ไม่มีความยึดติด นั่นดีมากเลย”

ปากเอ่ยเช่นนี้ แต่น้ำเสียงกลับปิดบังความอ้างว้างไม่ได้

ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบ

หากตายโหง ต้องมีความยึดติด สิ่งที่ทำให้พ่อแม่คู่หนึ่งมีความยึดติดได้คงจะมีเพียงลูกเล็กแล้ว

ไม่กล้วความตาย แต่กลัวเขาอ่อนแอไม่มีคนคอยปกป้อง

เพียงไม่รู้ว่าบิดามารดาของเขาไปเกิดแล้ว หรือไปอยู่ที่ใด

อวี้ฉังคงเองก็ไม่พัวพันอยู่กับเรื่องนี้ เพียงเอ่ยถาม “ไยดวงตาของข้าจึงมองเห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อก่อนข้าไม่เคยเห็น”

“ปกติแล้วดวงตาของเด็กนั้นบริสุทธิ์ มักมองเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นบ้าง ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งมองไม่เห็นแล้ว แต่บางคน เกิดมามีดวงตาหยินหยาง ตั้งแต่เด็กจนโตมองเห็นมาโดยตลอด”

อวี้ฉังคงเอ่ย “นั่นน่ากลัวหรือไม่”

“ดูว่าใครจะรับได้มากเพียงใด คนขี้กลัวแน่นอนว่ากลัวมาก อย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะปกติอย่างผีแขวนคอตายตนนั้น” ฉินหลิวซียิ้มบาง

อวี้ฉังคง “…”

ลิ้นยาวเพียงนั้น ท่านคิดว่าตายได้ปกติหรือ เข้าใจคำว่าปกติผิดไปแล้วหรือไม่

“คนตายไปแล้วคงเหลือไว้เพียงดวงวิญญาณ บ่อยครั้งที่จะเคลื่อนไหวเหมือนตอนตาย ท่านดูนั่น” ฉินหลิวซีใช้ปากชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

อวี้ฉังคงมองไป คนหัวขาดก็โผล่เข้ามาในสายตา และทางด้านหลังเขาก็มีศีรษะลอยอยู่ ราวกับสัมผัสได้ว่ามีคนมองจึงหันหน้ามา เมื่อมองเห็นเขาก็ลอยมาทางนี้

แต่เมื่อผีนั้นมองเห็นฉินหลิวซีที่ยื่นหน้าออกไปเช่นกันก็ขนลุกซู่ จากนั้นศีรษะก็เชื่อมเข้ากับร่างกาย หายไปอย่างไรร่องรอยทันใด”

อวี้ฉังคง “!”

รังแกคนดีกลัวคนร้ายกาจอย่างนั้นหรือ

อวี้ฉังคงมองไปยังฉินหลิวซี “พวกเขากลัวท่าน”

ผีแขวนคอตายเมื่อครู่ก็ใช่ ผีคอขาดเมื่อครู่ก็ด้วย

“อย่างไรข้าก็เป็นคนของลัทธิเต๋า การฝึกจิต รวมสวรรค์และผืนดินเป็นหนึ่งเดียว” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

เหล่าผี ไม่ใช่หรอก เพราะท่านดุร้ายเกินไป

อวี้ฉังคงเงียบไปชั่วครู่ เอ่ย “ข้าจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดหรือไม่”

“นี่ก็ต้องรอดูว่าตอนที่ดวงตาของท่านหายดีแล้วเป็นอย่างไร บางทีอาจเพราะพลังหยางไม่พอ ดังนั้นจึงเปิดตาหยิน” ฉินหลิวซีเอ่ย “หากต่อไปรู้สึกไม่สะดวก ข้าจะช่วยท่านสะกดเอาไว้ก็ได้”

“สะกดได้ด้วยหรือ”

ฉินหลิวซีถามกลับ “ไยจะไม่ได้เล่า เพียงแต่ของที่ต้องใช้หาค่อนข้างยาก แต่ทุ่มเทสักหน่อย ต้องหาได้อย่างแน่นอน”

อวี้ฉังคงเอ่ยถามอีก “หากไม่สะกดเอาไว้แล้วจะเป็นอย่างไร มองเห็นสิ่งเหล่านี้ตลอดหรือ”

“แน่นอนว่าใช่ หากตาหยินเปิดอยู่ แน่นอนว่ามองเห็นวิญญาณเหล่านี้ แต่ร่างกายอ่อนแอ จิตใจถูกทรมาน โดยทั่วไปแล้วพลังหยางไม่พอร่างกายจะอ่อนแอลง หากอ่อนแอไปนานเข้า เช่นนั้นก็มีผลต่ออายุขัยแล้ว ไม่ดีต่อร่างกายทั้งนั้น ร่างกายอ่อนแอมีหยิน ก็มีมารเข้ามาสิงร่างได้ง่าย”

อวี้ฉังคงนึกถึงสิ่งที่นางเอ่ยกับมู่ซื่อจื่อ หากดึงยันต์ของเขาออกก็ทำให้วิญญาณร้ายมาสิงสู่ได้ จึงเอ่ย “เมื่อครู่ท่านยังเอ่ยเตือนมู่ซื่อจื่อ เขาก็เกิดมามีตาหยินหยางหรือ”

ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “พลังหยินของเขาหนักมาก ข้าไม่รู้ว่าดวงปาจื่อ[1]ของเขาเป็นเช่นไร แต่ดูหน้าของเขา เป็นเพราะความสูงส่งของบรรพบุรุษเขาส่งผลต่อเขา แต่ขณะเดียวกัน ความชั่วร้ายของบรรพบุรุษก็ส่งผลต่อตัวเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นพลังหยินในร่างกายเขาจึงมีมาก และได้ยินมาว่าจวนทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังของเขาพลังหยางกำลังเสื่อมถอย ส่วนเขา คาดเดาว่าดวงปาจื่อของเขาคงเบามาก เรียกสิ่งเหล่านั้นให้เข้ามาสิงร่างกายได้”

“มิน่าเล่า ข้าถึงได้มองเห็นว่าข้างหลังเขามีคนติดตามมามากมาย” ที่แท้ไม่ได้คิดไปเอง เพียงแต่คนเหล่านั้นไม่ใช่คน

“ร่างกายของเขาคือเตาหลอมเดินได้ ดังนั้นจึงดึงดูดสิ่งชั่วร้ายเข้ามาใกล้”

อวี้ฉังคงนวดท้องนิ้ว เอ่ย “เมื่อก่อนรู้ว่าซื่อจื่อตระกูลมู่ดื้อรั้น ดังนั้นจึงถูกประคบประหงม แต่ไม่คิดว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้ด้วย เช่นนี้แล้วก็ไม่แปลกใจที่จวนเฉิงเอินโหวและเว่ยกั๋วโหวถึงกังวลเพียงนี้”

ฉินหลิวซีเอนตัวลงบนรถอย่างเกียจคร้าน ยิ้มบางๆ “สิ่งดีและชั่วร้ายแอบอิง ขึ้นอยู่กับดวงชะตาเขาเป็นอย่างไร”

[1]ปาจื่อ เป็นการทำนายโดยใช้วันเดือนปีเกิดและเวลาเกิด