ตอนที่ 175 ซื่อจื่ออย่าหาเรื่องใส่ตัว ตอนที่ 176 มีคนที่บ้านท่

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 175 ซื่อจื่ออย่าหาเรื่องใส่ตัว / ตอนที่ 176 มีคนที่บ้านท่านตามา

ตอนที่ 175 ซื่อจื่ออย่าหาเรื่องใส่ตัว

ชะตาชีวิตเป็นอย่างไรมู่ซีไม่รู้ เขาในยามนี้กำลังบันดาลโทสะ ชี้นิ้วด่าทอองครักษ์และองครักษ์เงาที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า

“พวกเจ้าทุกคนมีความผิด กลับไปข้าจะให้ท่านพ่อเปลี่ยนพวกเจ้าออกให้หมด แล้วก็เจ้า ซ่อนตัวอยู่ก็ซ่อนไปเถิด เจ้าออกมาทำไม ยังคุกเข่าต่อหน้าเด็กนั่นขออภัยเขา เจ้าทำข้าขายหน้าไปจนสิ้นแล้ว” มู่ซีเพียงนึกถึงตนเองที่สูญเสียความน่าเกรงขามต่อหน้าฉินหลิวซี เกลียดจนแทบมุดดินหนี

เขาเป็นถึงมู่ซื่อจื่อ เดิมทีมีแต่คนมาขอร้องให้เขาปล่อยไป ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่เขาสูญเสียความน่าเกรงขามต่อหน้าคนอื่น อ๊ากกก หากเรื่องนี้ไปถึงเมืองหลวง เขาจะยังเป็นคนอยู่หรือ

โมโหเป็นบ้า

องครักษ์เงาคุกเข่าอยู่บนพื้น เอ่ยเสียงเข้ม “ซื่อจื่อ เสียหน้า ดีกว่าสูญเสียชีวิตอยู่มากขอรับ”

“เจ้าคิดว่าอีกฝ่ายกล้าสังหารข้าจริงหรือ” มู่ซีไม่พอใจ

“เขาเอ่ยถึงจุดอ่อนของซื่อจื่อ” องครักษ์จ้องมองยันต์อยู่เย็นเป็นสุขที่แขวนอยู่ที่เอวรวมไปถึงเครื่องรางคุ้มกันภัยที่แขวนอยู่ตรงหน้าอกของเขา เอ่ย “หากไม่มีความสามารถจะสามารถเอ่ยถึงยันต์อยู่เย็นเป็นสุขและเครื่องรางของซื่อจื่อได้เยี่ยงไร หากอีกฝ่ายสามารถปลดยันต์คุ้มกันออกจากตัวของซื่อจื่อได้จริงๆ เรียกวิญญาณร้ายสิงร่าง ต่อให้พวกข้ามีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจช่วยท่านได้”

พวกเขามีเพียงวรยุทธ์ ไม่มีเคล็ดวิชา พลังมารสิ่งชั่วร้ายเรื่องเหล่านี้ พวกเขาทำอะไรไม่ได้

มู่ซีสำลัก เอ่ย “เจ้าโง่หรือไม่ เจ้าดูเขาอายุเท่าใดกัน อายุยังไม่โตเท่าข้าด้วยซ้ำกระมัง เขาจะทำอะไรได้”

“คนในลัทธิเต๋า ไม่ใช้อายุเป็นหลักเกณฑ์ความสามารถ ท่านซื่อจื่อน่าจะเข้าใจจึงจะถูก” องครักษ์เงาแสดงสีหน้าหวาดกลัว เอ่ย “อีกทั้ง เขามีความสามารถนี้ ท่านซื่อจื่อคิดว่าข้าน้อยไยจึงออกมาจากที่ซ่อน แน่นอนว่าถูกเขาบีบบังคับให้ออกมา”

เขาไม่รู้ว่าคนผู้นั้นทำอะไรกับตน แต่เขารู้จักคนในลัทธิเต๋า วิธีการแปลกประหลาด อย่างเขา อยู่ๆ มือก็เจ็บปวดและไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา แต่เมื่อเขาออกมาขออภัย คนผู้นั้นจากไป ความเจ็บปวดที่มือก็หายไป

ไม่มีอาวุธลับ ไม่มียาพิษ ลงมืออย่างไร้ร่องรอย เพราะเช่นนี้ อีกฝ่ายลงมือเมื่อใด ทำอะไรกับเขา เขาไม่รู้เลยแม้เพียงนิด

องครักษ์เงาถูกเรียกว่าองครักษ์เงา แน่นอนว่าถูกฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด สามารถติดตามมู่ซื่อจื่อได้ แน่นอนว่าสุดยอดแล้ว เขาคิดว่าตนเองเคลื่อนไหวไปมาไร้ร่องรอย แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะหันมามองก็รู้ว่าเขาซ่อนอยู่ที่ใด จากนั้นก็ลงมือ

และเขา แม้แต่เขาลงมือเมื่อใดก็ยังไม่รู้ เพราะอีกฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาในเวลาเดียวกัน เพียงช่วงเวลาหายใจ มือของเขาก็เป็นเช่นนั้น หากอีกฝ่ายมีใจคิดเอาชีวิตของเขา ยามนี้คงไปพบยมทูตแล้ว

ดังนั้น ฉินหลิวซีผู้นี้น่ากลัวเป็นที่สุด

ไม่สิ คนลัทธิเต๋า วิชาแปลกประหลาด หากเป็นคนของเต๋าจริงๆ อาศัยฝีมือของอีกฝ่าย ไม่ใช่หมอดูปลอมหลอกเด็กเหล่านั้นอย่างแน่นอน

ทุกคนฟังสิ่งที่องครักษ์เงาเอ่ย ต่างตกใจ องครักษ์เงาผู้นี้ฝีมือยอดเยี่ยม ทว่าถูกฉินหลิวซีบีบออกมาหรือ

เขาลงมือตั้งแต่เมื่อใด

มู่ซีเองก็นิ่งอึ้ง ทว่าถูกความอายยับยั้งอีกครั้ง เอ่ย “แต่พวกเรามีคนมากกว่า ตัวต่อตัวสู้ไม่ได้ เป็นกลุ่มคนสู้ได้กระมัง”

“ท่านซื่อจื่อ ข้าก็ไม่ได้อยากต่อสู้” ซวงเฉวียนเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้

มู่ซี “ข้าไม่สน ไม่ง่ายกว่าจะหาคนเจอ แม้แต่ชื่อข้าก็ยังไม่ได้ถาม พวกเจ้าก็ทำมันเละแล้ว”

“เช่นนั้นท่านซื่อจื่อ อีกฝ่ายก็เอ่ยปากแล้ว ว่าเป็นคนของเต๋า มิใช่โอ้อวดต่อคนเหล่านั้น แต่เพราะไว้หน้าท่าน” องครักษ์อีกคนเอ่ย

มู่ซี “!”

เช่นนั้นเขาต้องทำอย่างไร ไม่ง่ายกว่าจะเจอคนที่น่าสนใจ

“เขาบอกว่าเป็นคนของอารามชิงผิงมิใช่หรือ ไปสกัดเขาที่นั่น ไม่แน่ว่าเขาอาจมีใจจนสึกมาเป็นฆราวาสก็ได้” มู่ซีตบมือ คิดว่าตนเองคิดวิธีเยี่ยมยอดออกมาได้

ทุกคน ทุกคนว่าตีซื่อจื่อสลบแล้วเอาตัวกลับเมืองหลวงวิธีนี้ดีหรือไม่ ล่วงเกินเบื้องสูงคงดีกว่าดูเขารนหาที่ตายสักหน่อยกกระมัง

ตอนที่ 176 มีคนที่บ้านท่านตามา

ฉินหลิวซีเดินเข้าประตูด้านข้างมายังเรือน ฉีหวงที่กำลังนั่งทำชุดชั้นในให้นางรีบลุกขึ้นมา ทำความเคารพ เอ่ย “คุณหนู กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ ที่บ้านมีแขกเจ้าค่ะ”

“หืม แขกอะไรหรือ”

“เป็นคนจากบ้านนายหญิงใหญ่เจ้าค่ะ ดูเหมือนจะเป็นสาวใช้ข้างกายมารดาของนายหญิงใหญ่”

ฉินหลิวซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ย “แต่งตัวให้ข้าสักหน่อย ข้าจะไปดู”

คนที่บ้านของแม่ใหญ่มา คนที่มายังเป็นคนสนิทของท่านยายในนามของนางด้วย ตนต้องไปปรากฏตัวสักหน่อย

ไม่รู้ว่าเมื่อตระกูลฉินพ่ายแพ้ บ้าน ‘ท่านตา’ ของนางจะเป็นเช่นไร

สะใภ้หวังกำลังคุยกับคนข้างกายของมารดา อายุมากกว่านางไปหลายปี เริ่มมาจากการเป็นสาวใช้ก่อนจะกลายมาเป็นผู้ดูแล แต่งงานกับผู้ดูแลในจวนเดียวกัน รู้จักกันในนาม จังเฉวียนจยา

“เพียงกะพริบตาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว บางทีอาจนานแล้วที่ไม่ได้เจอท่าน เมื่อเจออีกครั้ง…เฮ้อ สรรพสิ่งยังเหมือนเดิมทว่าคนนั้นเปลี่ยนไป” จังเฉวียนจยาม้วนผมมวยต่ำ ปักปิ่นเงินหนึ่งชิ้นและปิ่นทองหนึ่งชิ้น ใบหูสวมต่างหูทองชิ้นเล็กๆ สองชิ้น สวมชุดกระโปรงยาวคลุมเท้า ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย

นางอายุมากกว่าสะใภ้หวังหลายปี มองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ยามนี้เห็นนางลงมาจากปุยเมฆสู่โคลนตม สวมเสื้อผ้าหยาบกระด้าง ศีรษะปักปิ่นหยกธรรมดา ผู้ติดตามข้างกายเหลือเพียงหมัวหมัวชราคนหนึ่ง ไม่รู้สึกปวดใจคงโกหก

ผู้คนบนโลกมองความมั่งคั่งและบรรดาศักดิ์ แต่กลับไม่รู้ว่าความมั่งคั่งและบรรดาศักดิ์นั้นเป็นการรวมตัวของโชคร้าย เป็นเรื่องธรรมดาหากความรุ่งเรืองนั้นจะพังทลายลงในชั่วพริบตา

อย่างเช่นตระกูลฉินในเวลานี้ บอกว่าล้มก็ล้ม ไม่มีเวลาให้เตรียมตัวแม้เพียงนิด

สะใภ้หวังยิ้มบาง “เป็นโชคดีมิใช่โชคร้าย หากโชคร้ายคงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้ลำบากเพียงใดก็ต้องยอมรับ”

จังเฉวียนจยาเอ่ย “ฮูหยินได้รับจดหมาย พลันเป็นลมล้มไปทันใด ผู้ใหญ่อดทนก็ช่างเถิด แต่คุณชายใหญ่อายุยังน้อยเพียงนี้ ต้องมาลำบาก ช่างบังเอิญเพียงนั้น”

สะใภ้หวังเจ็บปวดอยู่ในใจ ซับน้ำตาที่หางตา เอ่ย “ทำให้มารดากังวลแล้ว เป็นความผิดของข้า ก่อนที่เจ้ามา ท่านพ่อท่านแม่สบายดีหรือไม่”

“นายท่านและฮูหยินต่างก็ดีเจ้าค่ะ บอกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ต้องดูแลตนเองให้ดีจึงจะถูก อย่างไรคุณชายใหญ่ก็มีท่านคนเดียว” จังเฉวียนจยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องคุณชายใหญ่ท่านก็อย่าได้กังวล นายท่านและฮูหยินได้ส่งคนจากครอบครัวข้าไปช่วยแล้ว อีกไม่นานก็คงมีจดหมายมาแล้ว”

สะใภ้หวังได้ยินรู้สึกปลื้มใจไม่น้อย บ้านมารดาช่วยเหลือเพียงนี้ สำหรับนางแล้วนับว่าเป็นความสบายใจ

แต่ตระกูลหวังก็ไม่ได้มีนางคนเดียว มารดาเป็นห่วงนางจึงทำเช่นนี้ แต่ไม่อาจดูแลแต่นาง อย่างไรก็ยังมีลูกหลานคนอื่นๆ

คิดมาถึงตรงนี้ สะใภ้หวังจึงเอ่ย “ท่านแม่ทำเช่นนี้ ลำบากหรือไม่”

จังเฉวียนจยานิ่งเงียบ สะใภ้หวังเห็นเช่นนั้น จึงเอ่ย “พี่หง ท่านอย่าได้ปิดบังงข้า มิเช่นนั้นในใจข้าคงได้แบกเพิ่มอีกเรื่อง ยิ่งทำให้ข้าเป็นกังวลไม่อาจนอนหลับได้”

ฟังนางเอ่ยเช่นนี้จังเฉวียนจยาจึงถอนหายใจ เอ่ย “เจอเรื่องเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีคำพูด สะใภ้หวังตระกูลใหญ่ มีกฏเกณฑ์ ไม่ต้องกลัวอะไร แต่มักมีผู้คนคอยนินทา แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สตรีตระกูลหวังที่แต่งออกไปมีเจ้าเพียงคนเดียวที่ใดกัน หลายปีมานี้ ไม่เคยมีสตรีที่เจอเรื่องเช่นนี้หรืออย่างไร”

แน่นอนว่ามี สตรีแต่งออกเรือน ผู้ใดรับรองได้ว่าครอบครัวสามีจะร่ำรวยสูงส่งไปจนตาย

โชคดีโชคร้ายเดิมก็อิงแอบอยู่ด้วยกัน วาจานี้เอ่ยไม่ผิด

“บ้านเล็กห้าเอ่ยว่าร้ายไม่กี่ประโยค ทำให้นายท่านผู้เฒ่าใหญ่ได้ยินแล้วไม่พอใจ ไม่พอใจฮูหยินขึ้นมาหลายส่วน ทำให้คนอื่นเองก็ออกห่างจากบ้านของเรา” จังเฉวียนจยาเห็นสีหน้าของน่าไม่น่ามอง จึงเอ่ย “แต่ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจ การชิงดีที่ใดไม่มีบ้าง เมื่อก่อนพวกเขาอาศัยฮูหยินทำเป็นสนิทสนม นั่นไม่ใช่เพราะตระกูลฉินมีขุนนางขั้นสามหรือ ยามนี้ตระกูลฉินล้ม พวกเขาจึงหนีห่าง แต่พวกนี้ก็เพียงเป็นพวกคนที่ไม่มีความคิดเป็นคนตนเองเท่านั้น”

“ฮูหยินเองก็เอ่ยเช่นนี้ เกิดเรื่องนี้ก็ได้เห็นถึงความจริงใจ ใครสนิทได้ ใครควรออกห่าง” จังเฉวียนจยาเอ่ยต่อ “ดังนั้นท่านก็อย่าได้ใส่ใจ เพียงคนเล็กๆ เท่านั้น”

สะใภ้หวังพยักหน้า “บ้านน้อยสี่ของเรา เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้านายท่านผู้เฒ่าใหญ่ ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นที่รักมากนัก ต่อมาพ่อสามีข้าเลื่อนขั้นเป็นขั้นสามจึงดีขึ้นมาสักหน่อย ตอนนี้ดูแล้ว หึ”

ก็เท่านั้น

“ก็มิใช่เพราะเหตุผลนี้หรอกหรือ”

“คนเหล่านั้นข้ามิได้สนใจ พื้นที่ตรงนั้นเป็นบ้านของพวกเขาพี่น้องหรือ” สิ่งที่สะใภ้หวังสนใจคือท่าทีของพี่สะใภ้และน้องสามีต่อมารดาของตน

จังเฉวียนจยาเอ่ย “ไม่พอใจอย่างไรก็ต้องมี แต่เรื่องของตระกูลฉิน อย่างไรก็ไม่ได้ทำให้เก้าชั่วโคตรต้องเดือดร้อนไปด้วย สตรีก็เพียงส่งกลับบ้านเดิม ส่วนบุรุษก็ปล่อยออกไป ดังนั้นเอ่ยไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตสงบสุข ท่านวางใจ ฮูหยินแข็งแรงดี และเอาพวกเขาอยู่”

สะใภ้หวังถอนหายใจ “เพราะข้าไม่ดี ทำให้ท่านแม่อายุปูนนี้แล้วยังต้องลำบากเพราะข้า”

“วาจาของท่านไปถึงหูฮูหยิน นางคงเสียใจเจ้าค่ะ ตอนที่ท่านยังไม่ออกเรือนนางรักท่านที่สุด ท่านแต่งออกไปแล้วยังยากจะได้เจอ ยิ่งห่วงหา ยามนี้ชีวิตมาผลันแปรในวัยกลางคน นางเองก็กล่าวโทษตนเองที่ปล่อยให้ท่านแต่งมาไกล ดังนั้นไม่ต้องคุยเรื่องนี้แล้ว เป็นโชคชะตาทั้งนั้น

สะใภ้หวังซับน้ำตา

เสิ่นหมัวหมัวเอ่ยรายงานอยู่หน้าประตู “นายหญิง คุณหนูใหญ่มาคารวะเจ้าค่ะ”

“ซีเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ รีบให้นางเข้ามา” สะใภ้หวังลุกขึ้น

จังเฉวียนจยาเห็นท่าทีของนาง รู้สึกประหลาดใจ ลุกขึ้นยืนตาม คุณหนูใหญ่ เด็กที่ถูกท่านเลี้ยงมาเป็นบุตรีคนโตน่ะหรือ

ฉินหลิวซีเดินเข้ามาโดยมีเสิ่นหมัวหมัวเปิดผ้าม่านออกให้ เห็นสะใภ้หวังยืนอยู่ จึงยอบตัวคารวะ “คารวะท่านแม่”

“เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว บ้านท่านยายเจ้าส่งคนมาถามข่าว นี่คือหมัวหมัวผู้ดูแลข้างกายท่านยายของเจ้า เรียกนางว่าจังมามาเถิด” สะใภ้หวังแนะนำจังเฉวียนจยา

ฉินหลิวซีทำความเคารพ “จังมามา”

จังเฉวียนจยามองรูปร่างสูงโปร่งของนาง ใบหน้าเย็นชา จิตใจดูบริสุทธิ์ ดวงตาสดใสเฉียบคม ราวกับสามารถมองลึกเข้าไปในใจคน

จังเฉวียนจยาโค้งตัวโดยไม่รู้ตัว และไม่กล้ารับการเคารพจากนาง ก้าวเดินไปด้านหน้าสองก้าว คุกเข่าลงทำความเคารพ “คุณหนูใหญ่ให้เกียรติบ่าวเกินไปแล้วบ่าวมิกล้าน้อมรับ บ่าวจังเฉวียนจยาคารวะคุณหนูใหญ่”

“ไม่ต้องมากพิธี ท่านเป็นคนข้างกายท่านยาย นั่งลงคุยกันเถิด” ฉินหลิวซียิ้มพร้อมผายมือ

จังเฉวียนจยาส่งเสียงตอบรับ มองฉินหลิวซีนั่งลงพร้อมสะใภ้หวัง จึงนั่งลงบนเบาะนั่งด้านข้างที่ต่ำลงไปเล็กน้อย มองไปยังทั้งสองคน ลอบตกใจอยู่ในใจ

นางรู้ว่าฉินหลิวซีถูกเลี้ยงในชื่อของสะใภ้หวัง ยังถูกส่งไปเลี้ยงดูที่บ้านเก่า ตามหลักแล้ว ทั้งสองไม่ได้เจอกันมาสิบปีแล้ว ยังไม่ใช่แม่ลูกแท้ๆ แต่เมื่อดู กลับเข้ากันได้ดี ดูเป็นแม่ลูกกันจริงๆ

สะใภ้หวังของตนนิสัยเป็นอย่างไรนางรู้ดี ชอบไม่ชอบ สายตาท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ก็ดูออกได้ ตอนนี้ที่เห็น สายตาที่สะใภ้หวังมองฉินหลิวซีเต็มไปด้วยความรัก ไม่เป็นเท็จแน่แท้ เป็นความรักที่แท้จริง นี่มันเรื่องอะไรกัน