ตอนที่ 177 ไม่กล้าทำอะไรผิดต่อหน้าคุณหนูใหญ่ ตอนที่ 178

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 177 ไม่กล้าทำอะไรผิดต่อหน้าคุณหนูใหญ่ / ตอนที่ 178 มีเรื่องให้บ่นมากมาย

ตอนที่ 177 ไม่กล้าทำอะไรผิดต่อหน้าคุณหนูใหญ่

ฉินหลิวซีมองไปที่จังเฉวียนจยา แค่มองแวบเดียวก็โล่งใจได้แล้ว

ใบหน้าของสตรีผู้นี้ราวพระจันทร์เต็มดวง ตำแหน่งเรือนคู่ครองและบุตรธิดาอวบอิ่มแดงระเรื่อ บ่งบอกถึงชีวิตสมรสที่บริบูรณ์กลมเกลียว โหงวเฮ้งของนางสงบ ไม่ใช่คนคดใน เนินใบหูกว้าง ใบหูส่วนล่างหนา บ่งบอกว่านางจะมีอนาคตที่ดีและมีน้ำใจต่อผู้อื่น

นอกจากนี้เรือนบริวารข้ารับใช้ของนางก็ยังอิ่มเต็มแสดงให้เห็นว่านางมีความสามารถในการปกครองคนและได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้างเป็นอย่างดี คนเช่นนี้จัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา น้ำเสียงชอบธรรมและและซื่อสัตย์ เรียกได้ว่าเป็นผู้รับใช้ที่ภักดี

นางมองไม่เห็นคนตระกูลหวังก็จริง แต่เมื่อมองจากลักษณะโหงวเฮ้งของคนผู้นี้และการกระทำแล้วก็พบว่าไม่ได้เป็นคนที่ชอบซ้ำเติมคนอื่นยามยากลำบากแต่อย่างใด

จังเฉวียนจยารู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อมีสายตาของฉินหลิวซีมองอยู่ กระทั่งว่ารู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย

มันก็แปลก เมื่อครู่นี้ตอนที่นางคุยกับสะใภ้หวังกลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดถึงเพียงนี้ ตอนนี้เมื่อมีฉินหลิวซีอยู่ด้วย นางกลับไม่กล้าหายใจเสียงดังด้วยซ้ำ แถมยังรู้สึกละอายใจเล็กน้อยด้วย

จังเฉวียนจยาตกใจเล็กน้อย รังสีจากคุณหนูใหญ่ผู้นี้ดูเหมือนจะมากเกินไปจนทำให้นางตัวสั่นสะท้าน ไม่กล้าทำอะไรผิดเลย

ฉินหลิวซีมองจังเฉวียนจยา “บ้านท่านตาของข้าก็อยู่ห่างไกลจากที่นี่ ท่านได้รับจดหมายแล้วก็ออกเดินทางมาเลยหรือ สุขภาพของท่านตาและท่านยายเป็นอย่างไรบ้าง”

เมื่อเห็นนางเอ่ยเช่นนั้น จังเฉวียนจยาก็ลุกขึ้นยืนทันทีโดยสัญชาตญาณ “ด้วยบุญวาสนาของท่าน นายท่านและนายหญิงสบายดีทั้งคู่เจ้าค่ะ”

สะใภ้หวังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นนางแสดงความเคารพเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

“ท่านนั่งลงพูดคุยเถิด”

จังเฉวียนจยาจึงนั่งลงอีกครั้ง “หลังจากที่ได้รับจดหมายแจ้งข่าวการเปลี่ยนแปลงของตระกูลฉิน นายหญิงก็กลัวว่าทางฮูหยินใหญ่จะไม่มีคนคอยช่วยเหลือจึงรีบจัดแจงเสื้อผ้าแล้วให้บ่าวออกเดินทางทันที ด้วยกลัวว่าฮูหยินใหญ่จะไม่ถนัดไม้ถนัดมือ ครั้งนี้จึงจัดคนไว้สองขบวน ขบวนหนึ่งให้คนในบ้านบ่าวนำไปที่ซีเป่ย ส่วนอีกขบวนให้บ่าวนำคนอีกจำนวนหนึ่งมาที่เมืองหลีนี้”

ฉินหลิวซีพยักหน้า “ท่านตาท่านยายมีน้ำใจแล้ว ท่านเดินทางมาไกลก็อยู่ที่เมืองหลีนี่สักหลายวันหน่อยสิ จะได้เป็นเพื่อนคุยกับท่านแม่ด้วย”

“บ่าวจะจำไว้เจ้าค่ะ” จังเฉวียนจยาคิดอะไรเล็กน้อย “นายหญิงรู้ว่าคุณหนูใหญ่ถึงวัยปักปิ่นแล้ว จึงได้สั่งให้บ่าวนำของขวัญติดมือมาให้ด้วย ประเดี๋ยวบ่าวจะส่งไปให้คุณหนูใหญ่ทีหลังนะเจ้าคะ”

ฉินหลิวซีประหลาดใจเล็กน้อย “ขอบใจมาก”

มีคนคิดถึงนับว่าเป็นเรื่องดี

เมื่อเห็นความอึดอัดของจังเฉวียนจยา นางเองก็ไม่ได้อยู่นาน เพียงแต่เอ่ยกับสะใภ้หวังว่า “ท่านไม่ได้พบกับคนจากที่บ้านนานแล้วก็ให้ท่านยายจังอยู่ที่นี่หลายวันหน่อยจะได้พูดคุยกัน ข้าจะไปดูน้องห้ากับท่านแม่เล็กน้อย”

สะใภ้หวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไปเถิด เดี๋ยวแม่จะส่งของขวัญที่ท่านยายให้เจ้าไปให้”

ฉินหลิวซีรับคำก่อนจะแสดงความเคารพทั้งสองแล้วจากไป

จังเฉวียนจยาเห็นว่านางจากไปแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเช็ดเหงื่อบนหน้าผากทันที

เมื่อต้องเผชิญหน้ากบคุณหนูใหญ่ผู้นี้นางต้องระมัดระวังตัวมาก ด้วยกลัวว่าจะพูดอะไรไม่เหมาะสมต่อหน้านาง จนทำให้กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน

สะใภ้หวังเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “นางก็แค่เด็กคนหนึ่ง ท่านไม่ต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้หรอก”

จังเฉวียนจยาถอนหายใจ “ไม่รู้ทำไม บ่าวเห็นคุณหนูใหญ่แล้วรู้สึกเหมือนเห็นนายหญิงชราของบ้านใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ไม่กล้าทำอะไรผิดเลย”

สะใภ้หวังอึ้งไปก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “ท่านก็พูดเกินไปแล้ว นางยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น”

จังเฉวียนจยาส่ายศีรษะ “แม้จะเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แต่รังสีที่ออกมาจากร่างของนางทรงพลังมาก ทั้งๆ ที่นางพูดจาอบอุ่นนุ่มนวล แต่พอนางนั่งอยู่ตรงนั้นและมองมาด้วยสายตาคู่นั้น กลับทำให้คนไม่กล้ายโสโอหังต่อหน้านาง ฮูหยินใหญ่ บ่าวคิดว่าคุณหนูคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นนายคนจริงๆ นะเจ้าคะ”

ตอนที่ 178 มีเรื่องให้บ่นมากมาย

พอสะใภ้หวังได้ยินที่จังเฉวียนจยาเอ่ย นางก็ยิ้มออกมา “นางเกิดมาเพื่อเป็นนายคนอยู่แล้ว แต่โชคชะตาของนางไม่ค่อยดีเท่านั้น ตอนเด็กๆ ร่างกายอ่อนแอจนต้องส่งตัวมาที่บ้านเก่า แถมยังกราบไหว้เป็นศิษย์สำนักเต๋า ตอนนี้เติบใหญ่แล้ว แต่ตระกูลก็กลับมาตกต่ำ”

จังเฉวียนจยาเอ่ย “บ่าวได้ยินจากนายหญิงว่า ชื่อของคุณหนูใหญ่แขวนอยู่กับชื่อของท่าน และถูกส่งตัวมาที่บ้านเดิมนี้ตั้งนานแล้ว แต่บ่าวเห็นว่าพวกท่านกลับเข้ากันได้ดี”

สะใภ้หวังนิ่วหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านก็ดูออกด้วยหรือ อาจจะเป็นวาสนากระมัง บ้านใหญ่ของพวกเรามีนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวก็เลยต้องบันทึกไว้ในชื่อของข้า ให้เป็นบุตรสาวของข้า แม้จะไม่ได้พบหน้ากันเป็นสิบปี แต่ตอนนี้พอได้พบกันแล้วก็รักใคร่กันดีอยู่”

“บ่าวเห็นว่านางให้ความเคารพท่านอยู่มากทีเดียวเจ้าค่ะ”

“นางเป็นเด็กดี มีความคิดดี เป็นบุตรสาวคนโตของบ้านเราได้ไม่อายใคร” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยท่าทางภาคภูมิใจ

ประเมินนางสูงถึงเพียงนี้เลยหรือ

จังเฉวียนจยาอดให้ความสำคัญกับฉินหลิวซีมากขึ้นไม่ได้ นางทำให้สะใภ้หวังชมเช่นนี้ได้ก็แปลว่านางต้องมีความสามารถนั้น

แต่อย่างไรก็ตาม แม้สะใภ้หวังจะไม่ได้ชมนาง จังเฉวียนจยาเองก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรผิดพลาดต่อหน้าฉินหลิวซี อีกฝ่ายมีรัศมีรุนแรงจริงๆ นางจึงต้องระมัดระวังตัว

“ซีเอ๋อร์พูดถูกแล้ว ท่านเดินทางมาไกล เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง พักที่นี่สักกี่วันแล้วค่อยไปเถิด เสิ่นหมัวหมัว เจ้าพาพี่หงออกไปพักผ่อนก่อน พักก่อนแล้วค่อยพุดคุยกันก็ยังไม่สาย”

จังเฉวียนจยาที่เร่งรีบเดินทางมาเองก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นจึงไม่ปฏิเสธ และติดตามเสิ่นหมัวหมัวออกไป

จากนั้นสะใภ้หวังจึงจัดการสิ่งของที่นางนำมา นางเปิดกล่องเล็กๆ มองดูข้างในก็พบว่ามีตั๋วเงินสองพันตำลึง รวมทั้งปิ่นปักผมทองคำหนักๆ แบบโบราณหนักหลายตำลึง

ดวงตาของสะใภ้หวังรื้นน้ำตา ปิ่นปักผมและเครื่องประดับติดผมทองคำโบราณและหนักเช่นนี้คงจะประดับผมออกไปไม่ได้ คิดว่าทางบ้านคงกลัวว่านางจะใช้จ่ายไม่พอมือ จึงได้ให้มาเผื่อยามฉุกเฉิน

ของที่ท่านแม่ชอบใช้มาตลอด นางเข้าใจความคิดของมารดานางเป็นอย่างดี

สะใภ้หวังเช็ดหางตา ก่อนจะเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งพับอยู่ใต้เครื่องประดับติดผม นางจึงหยิบออกมาดูและพบว่าเป็นจดหมายที่มารดาเขียนถึงนาง

นางอ่านมันทีละอักษรกลับไปกลับมาหลายครั้งหลายหน ก่อนจะกดจดหมายนั้นลงกับหัวใจ น้ำตานั้นไหลอาบหน้านางนานแล้ว

นางสงสารท่านแม่ที่สุด ไม่ว่านางจะโตแค่ไหนแล้ว แต่ในสายตาของมารดา นางก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งอยู่เสมอ ตอนนี้บุตรสาวตกระกำลำบาก ในฐานะมารดาจึงทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ตั๋วเงินสองพันตำลึงและปิ่นปักผมทองคำจำนวนหนึ่งไม่ได้มีค่าอะไรมากนักสำหรับครอบครัวที่ร่ำรวย แต่บ้านสี่เองก็ไม่ได้ร่ำรวย ที่บ้านยังมีพี่ชายน้องชาย สะใภ้ หลานชาย หลานสาว แม้ว่าท่านแม่เองมีใจอยากจะช่วย แต่ก็ไม่สามารถจะให้นางได้ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถจะให้คำอธิบายกับทางพี่น้องและสะใภ้คนอื่นๆ ได้ แต่แม้ตัวนางเอง ต่อไปก็อาจจะไม่สามารถมองหน้าพวกเขาได้

ดังนั้นนี่เป็นทั้งหมดที่ท่านแม่จะให้นางได้เลย

สะใภ้หวังปลาบปลื้มใจอย่างยิ่งแล้ว

เนื่องจากทางบ้านบิดามารดาของนางไม่ได้ทอดทิ้งนาง เมื่อมีเงินจำนวนนี้แล้ว นางก็สามารถทำกิจการอะไรได้บ้าง พออยู่พอกินไป อย่างไรก็ยังสามารถสร้างรากฐานให้กับลูกๆ บ้านใหญ่ได้อยู่แล้ว พอเยี่ยนเอ๋อร์กลับมาก็ไม่ถึงกับยากจนข้นแค้น เมื่อลูกๆ ต้องการแต่งงานก็ยังพอมีเงินอยู่บ้าง ส่วนเรื่องอื่น ตอนนี้นางยังไม่กล้าคิดอะไรมาก

สะใภ้หวังลูบปิ่นทองคำ ในใจก็ตัดสินใจได้แล้ว

เสิ่นหมัวหมัวกลับมาอีกครั้ง ในมือนางถือกล่องยาวๆ ใบเล็กใบหนึ่งกลับมาด้วย นางคารวะ “นายหญิง นี่เป็นของขวัญวัยปักปิ่นที่นายหญิงชรามอบให้คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

สะใภ้หวังรับมันมาและเปิดออกดู ก็พบว่าเป็นปิ่นปักผมระย้าแมลงปอมรกตฝังทับทิม ฝีมือประณีต ขี้เล่นน่ารัก นางชื่นชมมันอยู่พักหนึ่งจึงถาม “ยังมีอีกอันหนึ่งใช่ไหม”

“ท่านเดาถูก อีกอันเป็นกำไลข้อมือหินโมรา ไม่ดีเท่าชิ้นนี้” เสิ่นหมัวหมัวเอ่ย

ของขวัญวัยปักปิ่นสองชิ้น ของขวัญที่จังเฉวียนจยามอบให้ชิ้นนั้นมีค่ามากกว่า อาจเป็นคำสั่งของท่านแม่

สะใภ้หวังถอนหายใจ “ท่านแม่คิดมากไปแล้ว”

อยากให้จังเฉวียนจยาดูว่านิสัยของฉินหลิวซีเป็นอย่างไร และปฏิบัติต่อท่านแม่อย่างนางอย่างไรก่อนจะตัดสินใจว่าจะให้ของขวัญอะไรใช่หรือไม่

“ถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยพบคุณหนูใหญ่ ในใจก็ต้องคิดถึงท่านไว้ก่อนเป็นเรื่องธรรมดา” เสิ่นหมัวหมัวยิ้ม “รอให้นางได้พบคุณหนูใหญ่ก่อนก็จะไม่คิดเช่นนี้แล้วล่ะเจ้าค่ะ”

สะใภ้หวังพยักหน้า “จริงของเจ้า ท่านแม่จะต้องชอบเด็กคนนี้แน่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้พบกัน”

เสิ่นหมัวหมัวปลอบนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

สะใภ้หวังหยิบกล่องยาวใบเล็กๆ แล้วไปยังเรือนปีกตะวันออก ฉินหลิวซีกำลังตรวจการบ้านของฉินหมิงฉุน นางกำลังนั่งอยู่ ขณะที่ฉุนเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ สองมือบีบกันท่าทางหวาดหวั่น

อีกด้านหนึ่ง อนุวั่นเองก็ยืนอยู่เช่นกันด้วยสีหน้าประหม่า พอเห็นนางก็เหมือนเห็นตัวช่วย “ฮูหยินมาแล้ว”

นางรีบก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็วและทำความเคารพสะใภ้หวัง ก่อนจะขยับเก้าอี้ให้อย่างขยันขันแข็ง แถมยังรินน้ำให้ด้วย “ฮูหยิน ข้าจะไปทำน้ำแกงหวานให้ท่านดีหรือไม่”

สะใภ้หวังเหลือบมองอย่างขบขัน “ข้าจะกินไปทำไม กินเข้าไปก็เลี่ยนแล้วก็กินข้าวเย็นไม่ลง”

อนุวั่นเขินอาย นางแค่ไม่อยากอยู่ในห้องเดียวกับบุตรสาวคนนี้ นางกลัวบุตรสาวคนนี้ รังสีดุดันเกินไปจนนางลนลานทำตัวไม่ถูกแล้ว

ฉินหลิวซีชี้ไปที่คำอธิบายประกอบในหนังสือแรงๆ “คำอธิบายพวกนี้คืออะไร นี่ความสามารถในการทำความเข้าใจของเจ้าหรือ แล้วเจ้าวาดคนตัวเล็กๆ พวกนี้ไว้ทำไม”

บ้างก็นั่งบ้างก็ยืน คุกเข่าบ้างไม่คุกเข่าบ้าง มือบางทั้งสองถูกห่อหุ้มไว้ด้วยบางสิ่ง

“หน้าหนาวต้องให้อุ่น ฤดูร้อนต้องให้เย็น ยามเช้าทักทาย ยามกลางคืนให้สงบ” ฉินหมิงฉุนอ่านและพูดออกมาอย่างอ่อนแรง “นี่ไม่ใช่คำทักทายเยี่ยมบิดามารดาหรือ ที่ข้าวาดก็คือการทักทายบิดามารดาในช่วงเช้าและเย็นเพื่อให้ข้าจำได้ดียิ่งขึ้น”

ฉินหลิวซี “!”

นางเหลือบมองคนตัวเล็กนั้นแล้วพูดเงียบๆ “วาดได้ดีเลย ต่อไปไม่ต้องวาดแล้ว เจ้าจะต้องทำให้อาจารย์สอนวาดภาพอับอายจนตายแน่”

ฉินหมิงฉุนก้มหน้าด้วยความคับข้องใจ “ข้าไม่เคยเรียนมาเสียหน่อย”

ฉินหลิวซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองอนุวั่นที่โบกมืออย่างรวดเร็ว “อย่ามองข้า ข้าไม่รู้หนังสือ นอกจากเรื่องสวยๆ งามๆ แล้ว ข้าไม่รู้อะไรเลย ข้าเขียนชื่อของตัวเองได้เท่านั้น แย่กว่าน้องชายของเจ้าอีก”

ฉินหลิวซี “…”

สะใภ้หวังยิ้ม “เจ้าห้ายังเล็กนัก ยังไม่ได้เรียนศิลปะทั้งหก ยังวาดรูปไม่เป็นเลย ที่บ้านก็มาเป็นแบบนี้ ถือว่าล้าช้าไปแล้วจริงๆ รอปีหน้าค่อยส่งเขาไปให้อาจารย์ที่สำนักศึกษาสอน”

“จ้าวถงจือคงไม่สามารถรักษาตำแหน่งของเขาไว้ได้แล้ว เราไม่ต้องรอถึงปีใหม่ อีกไม่กี่วันข้าจะมองหาคนกลางให้หาสำนักศึกษาให้เขา รีบส่งเขาไปเรียนให้เร็วหน่อยดีกว่า” ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วงนี้ให้เขาไปฝึกคัดลายมือที่เรือนของข้าก่อน”

“หา? ไม่ ไม่รบกวนท่านหรือ” ร่างน้อยๆ ของฉินหมิงฉุนสั่นสะท้าน นั่นไม่ใช่การเอาชีวิตรอดภายใต้สายตาของพี่หญิงใหญ่หรอกหรือ ช่วยด้วย!

ฉินหลิวซียิ้มหยัน “หน้าอย่างเจ้าน่ะหรือจะรบกวนข้าได้”

ฉินหมิงฉุนก้มหน้าลง

ฉินหลิวซีหันไปมองอนุวั่น อีกฝ่ายจึงรีบเอ่ยทันที “ช่วงนี้ข้าช่วยฮูหยินทำชุดชั้นใน ไม่มีเวลาว่างอยู่กับเขาหรอก”

“ไม่ได้บอกให้ท่านไป” ฉินหลิวซีมองมารดาผู้ให้กับเนิดของตน แล้วก็รู้สึกว่ามีเรื่องให้บ่นมากเกินไปจนพูดไม่ออก “คงจะช่วยทำกระเป๋าหนังสือให้เขาสักใบได้กระมัง”

“นั่นต้องได้อยู่แล้ว” อนุวั่นรีบรับคำทันที เมื่อเหลือบมองบุตรชายที่กำลังมองมาที่ตนเพื่อขอความช่วยเหลือตาปริบๆ นางก็หันไปมองทางอื่นทันทีอย่างไร้เยื่อใย

แม่อ่อนแอ รักแต่ช่วยอะไรไม่ได้ เจ้าอธิษฐานให้ตัวเองโชคดีเถิด!