ตอนที่ 99 สองชายหนุ่มรูปงามประมือ
วันต่อมาคือวันอาทิตย์ หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จปู่ย่าจากตระกูลเย่ว์ก็ขึ้นเครื่องบินไปที่เมืองเฟิงตู
เย่ว์จือกวงมาพบกับผู้เฒ่าทั้งสองคนที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์เพื่อแลกเฮลิคอปเตอร์ลำเล็กกับพวกเขา
ตอนนี้ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราวในหมู่บ้านเถาหยวนซานสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผู้เฒ่าทั้งสองคนอายุมากแล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถทนนั่งรถบัสนานเจ็ดหรือแปดชั่วโมงจากตัวเมืองเฟิงตูไปยังหมู่บ้านเถาหยวนซานได้แน่ๆ
หลังแลกเฮลิคอปเตอร์เสร็จ สองผู้เฒ่าก็ขึ้นเครื่องและบินไปในทิศทางตรงกันข้าม
เนื่องจากเย่ว์จือกวงเป็นคนรุ่นหลัง ดังนั้นปู่ตี้ย่าตี้ที่เป็นผู้อาวุโสกว่าจึงไม่ได้ออกมาต้อนรับเขา มีเพียงมู่เถาเยาและตี้อู๋เปียนกับตี้อันเหยี่ยที่เยาว์วัยกว่าเท่านั้นมารอรับชายหนุ่มที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์
เย่ว์จือกวงมีความสุขมากที่เห็นน้องสาวคนดีมารอต้อนรับ แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นตี้อู๋เปียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ เขาก็รู้สึกได้ถึงความเป็นศัตรูอย่างอธิบายไม่ได้
หลังจากกล่าวทักทายกันพอเป็นพิธีสองสามคำ เย่ว์จือกวงก็ทำเบลอปล่อยตี้อู๋เปียนให้ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆ
“เสี่ยวเยาเยา คนไข้ของน้องก็คือนายน้อยตี้เหรอ” น้ำเสียงของเขาดูรับไม่ได้อย่างมาก!
ผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งแต่กลับมีหน้าตางดงามเพริศพริ้ง ดูไม่มีความเป็นชายเลยแม้แต่น้อย!
“ใช่ค่ะ ร่างกายของตี้อู๋เปียนนั้นพิเศษมาก ฉันอ่านหนังสือทางการแพทย์มานับไม่ถ้วน แต่ยังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
“รักษาให้หายได้ไหม”
“ตามทฤษฎีแล้วถ้าหาสมุนไพรเจอก็รักษาให้หายได้ค่ะ”
สองพี่น้องเดินไปที่ลานจอดรถพลางพูดคุยกันไปพลาง
ตี้อู๋เปียน “…”
หลานชายตัวน้อยถูกคนจูงมือพาตัวไปแล้ว แต่เขาที่ตัวโตขนาดนี้…แถมยังเป็นคนไข้อยู่ แต่กลับไม่มีใครสนใจเขาเลยสักคน?
ไม่สบอารมณ์!
เขาไม่ชอบพี่ชายของซาลาเปาน้อย!
ฮึ่ม!
เมื่อตี้อู๋เปียนกลับไปที่ตึกหลักด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ผู้เฒ่าหลายคนก็มารวมตัวกันเพื่อทักทายพี่ชายผู้มาจากแดนไกลของสาวน้อยของพวกเขา!
“อู๋เปียน ทำไมหลานถึงไม่มานั่งด้วยกันตรงนี้ล่ะ อากวงกับหลานอายุยี่สิบสามปีเท่ากันทั้งคู่ เด็กหนุ่มในวัยเดียวกันน่าจะมีอะไรให้พูดคุยกันมากมายเลยนะ” ย่าตี้ตะโกนเรียกหลานชายของเธอที่นั่งอยู่คนเดียวบนโซฟาอีกฟากหนึ่ง
‘เด็กหนุ่มในวัยเดียวกัน’ สองคนพร้อมใจกันริมฝีปากกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดนี้
มู่เถาเยารู้สึกถึงความไม่ชอบขี้หน้ากันระหว่างคนทั้งสอง
เป็นเรื่องปกติที่เย่ว์จือกวงจะดูถูกผู้ชายที่อ่อนแอและป่วยออดๆ แอดๆ เพราะเผ่าหมาป่าพระจันทร์ เรียนทั้งวรยุทธควบคู่กับความรู้ทั่วไปตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงมีร่างกายที่แข็งแรงมาก
ส่วนทำไมตี้อู๋เปียนถึงไม่ชอบเย่ว์จือกวง…
หรือว่าอิจฉาที่เขามีสุขภาพดีกว่า หุ่นดีกว่า มาดแมนสมชายมากกว่าหรือเปล่า
อืม มีความเป็นไปได้มาก!
จากครั้งล่าสุดที่ตี้อู๋เปียนแอบออกกำลังกายในห้องนอนของเขา เธอก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มหมกมุ่นเรื่องรูปร่างของเขามากแค่ไหน
มู่เถาเยาคิดว่าเธอค้นพบความจริงเข้าให้แล้ว
“หึหึ นั่นสินะครับ” หมั่นไส้!
“ฮะๆ นั่นสิครับ” หมั่นไส้!
ผู้เฒ่าสองสามคนไม่ได้รับรู้ถึงกลิ่นอายความเป็นปฏิปักษ์ในน้ำเสียงของพวกเขาเลย คิดว่าพวกเขาเพิ่งจะพบหน้ากันยังไม่สนิทกันมากก็เลยไม่มีอะไรจะพูด
มู่เถาเยาเลิกคิ้วขึ้น
ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าสองคนนี้กำลังทะเลาะกันเหมือนเด็กสามขวบ
หลังจากที่ปู่ตี้สั่งให้พ่อบ้านจัดห้องพักให้เย่ว์จือกวงแล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า “กินข้าวเที่ยงกันก่อนเถอะ หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วอากวงจะได้ขึ้นไปพักผ่อน”
ย่าตี้พยักหน้า
“ปู่ตี้ครับ ย่าตี้ครับ ผมไม่เหนื่อยเลย”
นานๆ จะได้เจอน้องสาวทั้งทีจะเหนื่อยได้ยังไง! ต่อให้บินนานกว่านี้อีกสักสี่สิบชั่วโมงเขาก็จะไม่ร้องเหนื่อยสักคำ ตราบใดที่มีน้องสาวตัวน้อยอยู่ที่นี่ด้วย!
ตอนนี้เขากระปรี้กระเปร่ามากจนอยากจะชวนน้องสาวออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกด้วยกันตามลำพัง!
แต่เขาเพิ่งมาถึงและเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปข้างนอกทันทีเพราะตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในบ้านของคนอื่น
อนิจจา ถ้าน้องสาวของเขาไม่พักอยู่ที่นี่ เขาคงขนกระเป๋ากลับไปนอนที่วิลล่าตระกูลเย่ว์แล้ว!
ตาเป่ยหัวเราะและพูดว่า “เวลาบินสี่ชั่วโมงนั้นไม่นับว่านานเกินไป คนหนุ่มสาวมีพละกำลังที่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เหน็ดเหนื่อย”
ตี้อู๋เปียนจุกอก
เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินคำว่า ‘พละกำลัง’ และ ‘เหน็ดเหนื่อย’ เขามักจะรู้สึกว่าคนอื่นกำลังพูดถึงเขา!
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เองที่ถุงลมน้อยพูดทะลุกลางปล้องออกมาว่า “อาเล็กเหนื่อย”
ตี้อู๋เปียน “…”
ถ้าเขาตัวต่อตัวกับหลานชายคนเล็กตอนนี้จะมีใครว่าอะไรเขาไหม!
มู่เถาเยาลูบหัวเล็กๆ ของเขา “เสี่ยวอันเหยี่ยของเรารักอาเล็กมากจริงๆ สินะครับ เด็กดีๆ”
เย่ว์จือกวงอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ความไม่พอใจที่มีต่อตี้อู๋เปียนลดลงไปมากโข
ช่างเถอะ อีกฝ่ายก็ใช่ว่าอยากมีร่างกายที่เจ็บออดๆ แอดๆ แบบนี้
รอจนกระทั่งพวกเขากลับไป น้องสาวก็จะกลับไปพักอยู่ที่เขตเรือนอุ่นรักตามเดิมและพวกเขาก็จะได้พบหน้ากันเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้เย่ว์จือกวงก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย
หลังจากดื่มชาหมดไปหนึ่งกา ย่าเย่ว์ก็เดินนำทุกคนไปที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
หลังมื้ออาหารจบลง ตี้อู๋เปียนเชิญมู่เถาเยาให้ไปที่ห้องอ่านหนังสือของเขา
“น้องสาวของฉันยังต้องนอนพักกลางวัน” เย่ว์จือกวงคัดค้านอย่างรวดเร็ว
“ซาลาเปาน้อยนอนงีบช่วงกลางวันน้อยมาก” ตี้อู๋เปียนตอบกลับด้วยสีหน้า ‘นายไม่รู้ อย่าทำเป็นอวดรู้’
“ถ้าอย่างนั้น เสี่ยวเยาเยาอยากอ่านหนังสือที่พี่เอามาให้ไหม ช่วงนี้พี่ให้คนออกค้นหาหนังสือน่าสนใจจากทั่วทุกมุมโลก ได้มาหลายเล่มทีเดียว” น้องสาวเขาก็ควรอ่านหนังสือที่เขานำมันมาให้เธอเป็นพิเศษสิ
“ซาลาเปาน้อย ฉันยังมีหนังสือชุดใหม่อีกชุดในห้องอ่านหนังสือของฉัน เป็นประเภทที่เธอสนใจทั้งหมด” ใครไม่ค้นหาหนังสือมาจากทั่วโลกบ้าง! มาทีหลังแท้ๆ แต่กลับกล้าขโมยคนจากเขา!
มู่เถาเยามองคนนั้นที จากนั้นก็หันไปมองอีกคนหนึ่ง
‘เด็กน้อย’ สองคนนี้อย่างกับเด็กอนุบาลที่ต่อสู้แย่งกันเพื่อให้ครูดูการบ้านของพวกเขาก่อน แถมยังคิดว่าการบ้านของตัวเองดีที่สุดทั้งคู่ด้วย
หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่ เธอก็พูดขึ้นว่า “ตี้อู๋เปียน คุณยังต้องนอนพักกลางวัน”
เย่ว์จือกวงยิ้มกว้าง
“ซาลาเปาน้อย พี่ชายของเธอเดินทางมาไกล เขาเองก็จำเป็นต้องพักเพื่อปรับตัวเหมือนกัน”
ตี้อู๋เปียนกล่าวกับมู่เถาเยาด้วยความคิดที่ว่า ‘ฉันไม่ได้ นายก็อย่าหวังว่าจะได้เลย’
มู่เถาเยาคิดว่ามันสมเหตุสมผล เธอจึงพยักหน้า “พี่รอง พี่ก็ไปพักด้วย”
เย่ว์จือกวงจ้องไปที่ตี้อู๋เปียนตาเขม็ง
ฝ่ายหลังทำเมิน ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
หึ!
“ได้ ถ้างั้นในตอนบ่าย เสี่ยวเยาเยาพาพี่เที่ยวชมเขตเซิ่งซื่อฉางอันหน่อยนะ แม้ว่าพี่จะเคยมาพักที่วิลล่าตระกูลเย่ว์หลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งก็ไปๆ มาๆ อย่างรีบร้อน ไม่เคยมีโอกาสได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ในเขตนี้สักที ไม่รู้ว่าฉายาราชาแห่งเขตวิลล่าได้มายังไง!” ดูสิว่านายจะต่อบทยังไง!
“ผมเป็นเจ้าบ้าน ให้ผมเป็นไกด์แนะนำสถานที่ให้คุณเย่ว์ดูจะเหมาะสมกว่า” ก็ต่อแบบนี้ไง!
“คุณตี้สุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ผมไม่กล้ารบกวนคุณหรอกครับ กว่าเสี่ยวเยาเยาจะรักษาคุณให้ดีขึ้นได้เล็กน้อย ดังนั้นอย่าออกไปตากลมเลย” รับมีดไป
“ซาลาเปาน้อยบอกว่าจะเป็นการดีกว่าหากผมออกไปเดินเล่นและอาบแดดบ้าง” ส่งมีดกลับ!
“เขตเซิ่งซื่อฉางอันใหญ่โตถึงขนาดนี้ ไม่เหมาะสำหรับคุณที่จะเดินไกลๆ คุณสามารถเดินไปเดินมารอบๆ ประตูได้ ส่วนผมกับเสี่ยวเยาเยาจะไปปีนเขาเพื่อชมทัศนียภาพมุมสูง” อ่อนหัด!
“ซาลาเปาน้อยมักจะพาอันเหยี่ยออกไปข้างนอกด้วยเสมอ เขาปีนขึ้นเขาไม่ไหวหรอกครับ เพราะงั้นเลือกเดินเล่นแถวนี้ก่อนจะดีกว่า” ยักคิ้ว!
มู่เถาเยาหันศีรษะมองทั้งสองคนสลับกันไปมา ใบหน้าดูงงงวยสับสน
ทำไมกัน สไตล์ของทั้งสองคนนี้เห็นอยู่ว่าต่างกันมาก
คนหนึ่งคือบอสใหญ่แห่งวงการธุรกิจ ส่วนอีกคนมีมันสมองยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แล้วทำไมถึงยังทำตัวเป็นเด็ก…แย่งความสนใจจากแม่แบบนี้
ถุงลมน้อยเงยหน้าขึ้นจากในอ้อมแขนของมู่เถาเยาและถาม “พี่สาว ทำไมอาเล็กกับพี่รองถึงทะเลาะกันล่ะครับ”
“ตี้อันเหยี่ย เธอเรียกผิดแล้ว! ประธานเย่ว์อายุเท่าฉัน เพราะงั้นเธอควรเรียกเขาว่าอา ไม่ใช่พี่ชาย”
“แต่ผมเป็นพี่ชายของเสี่ยวเยาเยาและอันเหยี่ยก็เรียกเสี่ยวเยาเยาว่าพี่สาว เรียกผมว่าพี่ชายมันผิดตรงไหนครับ อาเล็ก!”
ตี้อู๋เปียนจ้องไปที่หลานชายตัวน้อยของเขาตาเขม็ง
เดิมทีไม่มีใครชนะหรือแพ้และพวกเขาก็ยังเป็นคนในรุ่นเดียวกัน แต่พอถูกคนตัวเล็กเรียกขานแบบนั้น ลำดับอาวุโสของอีกฝ่ายและซาลาเปาน้อยก็ร่นลงไปเป็นคนรุ่นหลังแล้ว!
ปกติถูกเรียกแบบนี้ไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันผิดมหันต์!
ถุงลมน้อยหันไปพูดกับอาเล็กของเขาด้วยใบหน้าน่ารักว่า “พี่สาวบอกแล้วว่าให้เรียกว่าพี่ชาย” พี่สาวพูดถูกเสมอ!
ตี้อู๋เปียนแตกสลาย
เย่ว์จือกวงยิ้มให้เขาอย่างได้ใจยิ่ง ในรอยยิ้มยังแฝงไว้ด้วยอารมณ์เยาะเย้ยจางๆ
เมื่อเห็นว่าพวกเขาหยุดกันได้สักที มู่เถาเยาจึงพาถุงลมน้อยขึ้นไปนอนกลางวันที่ห้องของเขา
เธอไม่เลือกอ่านหนังสือของใครเลย
เย่ว์จือกวง “…”
คราวนี้เป็นตาตี้อู๋เปียนยิ้มบ้าง