บนภาพถ่ายคือชายหนึ่งหญิงหนึ่งสองคน หนุ่มสาวมากๆ มองจากดวงตาและคิ้วแล้วมีความคล้ายนัทธีมาก
หรือว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ของนัทธี?
ตามที่คิดเอาไว้เลย คำตอบของป้าส้มยืนยันการคาดเดาของวารุณีแล้ว
“คือคุณพ่อคุณแม่ของคุณผู้ชายค่ะ เสียชีวิตไปแล้ว”
วารุณีวางแก้วน้ำลง “เสียชีวิตยังไงหรอคะ?”
ป้าส้มถอนหายใจ “ขอโทษนะคะคุณวารุณี ฉันไม่สามารถบอกคุณได้ นี่คือข้อห้ามของคุณผู้ชายค่ะ”
“แบบนี้หรอคะ งั้นหนูไม่ถามแล้วค่ะ” วารุณีพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ
ป้าส้มลุกขึ้น “งั้นคุณวารุณีคุณพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ ฉันยังมีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ซัก ไปทำงานก่อนนะคะ”
“ค่ะ” วารุณียิ้มตอบ
หลังจากที่ป้าส้มไปแล้ว เธอหยิบรีโหมดขึ้นมาเปิดโทรทัศน์แล้วดู
ดูไปสักพัก รู้สึกว่าในกระเพาะอาหารดีขึ้นเยอะมาก เตรียมตัวจะบอกลาแล้ว
เมื่อคืนเธอไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน คิดว่าอารัณกับไอริณคงจะเป็นห่วงมากๆ แน่ๆ
พอคิดอยู่ วารุณีก็ลึกขึ้น เตรียมขึ้นตึกไปหานัทธี
แต่เธอยังไม่ทันยกเท้าขึ้น เงาของนัทธี ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าบันไดแล้ว
“ประธานนัทธี คุณมาได้พอดีเลยค่ะ”
“ทำไมหรอ?” นัทธีมองไปทางเธอ
วารุณีชี้ไปทางนาฬิกา “เวลาไม่เช้าแล้ว ฉันควรกลับแล้วค่ะ กำลังจะบอกกับคุณพอดีเลย”
“ผมไปส่งคุณ” นัทธีเดินไปทางประตู ไม่ได้ให้โอกาสเธอปฏิเสธเลย
ณ บนรถ มือของนัทธีวางอยู่บนพวงมาลัย จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เรื่องเมื่อวานที่เสื้อผ้าของคุณถูกพิชญาเหยียบ ยังไม่มีผลออกมา”
“เป็นไปได้ยังไงคะ?” วารุณีประสานมือแน่น
ในแววตาของนัทธีมีความรู้สึกผิด “กล้องวงจรปิดในห้องโถงงานเลี้ยงต่างก็ถูกนิรุตติ์ปิดไปหมด ดังนั้นไม่สามารถยืนยันได้ว่าพิชญาได้ตั้งใจเหยียบกระโปรงของคุณหรือเปล่า”
“หรอคะ……” วารุณีเม้มริมฝีปากด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
สัญชาตญาณของเธอบอกกับเธอ พิชญานั้นตั้งใจ แต่ว่าไม่มีหลักฐาน ทำให้น่าโมโหมากจริงๆ
“แต่ว่าคุณวางใจได้เลย ทางพิชญา ผมก็ได้กำหนดโทษให้กับเธอแล้ว” นัทธีเปลี่ยนเกียร์แล้วพูด
วารุณีเอียงหัวไปทางเขา “โทษอะไรคะ?”
“พนักงานอาสาสมัคร 72 ชั่วโมง มีการถ่ายทอดสดตลอดกระบวนการ” นัทธีตอบกลับด้วยความเฉยชา
วารุณียักคิ้ว
งั้นตอนนี้ พิชญาก็กลายเป็นตัวตลกของวงสังคมแล้วไม่ใช่หรอ?
พอนึกถึงจุดนี้ วารุณีรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา หาช่องถ่ายทอดสดที่พิชญาทำอาสาสมัคร
ในไม่ช้า ก็หาช่องถ่ายทอดสดเจอแล้ว
วารุณีกดเข้าไป เห็นภาพพิชญาสวมเสื้อพนักงานทำความสะอาดพอดี เหยียบอยู่บนเปลือกกล้วย แล้วล้มลงอย่างหนัก
“ฮึ!” วารุณีทนไม่ไหว หัวเราะออกมาอย่างหนัก ทั้งรถต่างก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะฮ่าฮ่าฮ่าของเธอ
นัทธีมองเธอด้วยหางตาไปหนึ่งที เห็นสภาพที่ยิ้มอย่างเบิกบานของเธอแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกใจอ่อน “เห็นอะไรหรอทำไมตลกขนาดนี้??”
“ฉันเห็นผู้จัดการพิชญาล้ม ตลกมากเลยค่ะ” วารุณีเช็ดน้ำตาที่หลายออกมาแล้วพูดว่า “แล้วก็ความเห็นพวกนี้ด้วย ยิ่งตลกไปอีก!”
“งั้นหรอ” นัทธีสีหน้าเงียบสงบมาก เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าไม่ได้มีความสนใจขนาดนั้นกับเรื่องที่เธอพูด
ขณะนี้ จู่ๆ ก็มีแมวตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากแปลงดอกไม้ แล้วหยุดอยู่กลางถนนพอดี
วารุณีเห็นแล้ว สีหน้าเปลี่ยนทันที “ประธานนัทธี!”
นัทธีทำสีหน้าเข้ม อยากเหยียบเบรกแต่ว่าไม่ทันแล้ว จึงหมุนพวงมาลัย นำหัวรถหมุนไปทางแปลงดอกไม้ จากนั้นรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกด้วยความเร็ว แล้วพุ่งทับไปทางวารุณี รีบกอดเธอไว้ในอ้อมกอดแน่น กดทับลงบนที่นั่งข้างคนขับ
ปัง!
ตัวรถสั่นอย่างแรงไปทีหนึ่ง มีเสียงวี่วอของรถตำรวจดังขึ้น
วารุณีตกใจจนตะโกนร้องเสียงดัง
นัทธีแอบกอดเธอแน่นยิ่งขึ้น
ผ่านไปสักพัก ตัวรถหยุดนิ่งแล้ว เสียงของรถตำรวจก็ไม่มีแล้ว ทุกอย่างเงียบสงบแล้ว
นัทธีจึงจะปล่อยวารุณีออก ลุกขึ้นมาจากบนตัวของเธอ
วารุณีก็ลุกขึ้น มองออกไปทางกระจกที่กั้นลม
เห็นกระจกแตกเป็นลายใยแมงมุม ทั้งตัวของเธอรู้สึกขนลุกชาไปหมด หลังของเธอเย็นไปหมดแล้ว
“ประธานนัทธี คุณไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหมคะ?” วารุณีใบหน้าซีดเซียว ถามด้วยเสียงที่สั่น
“ไม่” นัทธีจัดเสื้อผ้าให้เรียบแล้ว “คุณล่ะ?”
วารุณีส่ายหัว “ฉันก็ไม่ค่ะ”
เธอถูกเขาปกป้องอย่างดี จะบาดเจ็บได้อย่างไร
แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวคือ นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่เขาปกป้องเธออย่างไม่ลังเล
ก๊อกก๊อกก๊อก กระจกรถถูกคนเคาะ
วารุณีเก็บอารมณ์แล้วมองออกไป เห็นตำรวจคนหนึ่งยืนอยู่นอกหน้าต่างรถ
นัทธีลดกระจกรถลง ตำรวจก้มตัวลงถาม “พวกคุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
“ไม่เป็นอะไรครับ” นัทธีตอบกลับด้วยเสียงเบา
ตำรวจพยักหน้า “งั้นก็ลงรถทำแบบบันทึกหน่อยครับ”
นัทธีไม่ได้คัดค้าน เปิดประตูแล้วลงจากรถ
วารุณีก็ไม่ได้นั่งอยู่บนรถ รีบปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถ
หลังจากที่ลงจากรถ เธอเห็นหัวของรถเข้าไปในแปลงดอกไม้ทั้งหัวรถเลย ชนจนรั้วพังออกมาแล้ว ไฟของรถก็แตกแล้ว รุนแรงมากๆ!
วารุณีอดไม่ได้ถอนหายใจออกมาหนึ่งที
รถชนหนักขนาดนี้ แต่เธอกับนัทธีกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
ไม่พูดไม่ได้เลยว่า โชคดีมากจริงๆ!
นัทธีให้ปากคำแบบบันทึกเรียบร้อยแล้วก็เดินมายังข้างกายของวารุณี “จัดการเรียบร้อยแล้ว ไปเถอะ”
“แล้วรถล่ะคะ?” วารุณีชี้ไปทางไมบัค
นัทธีเหลือบไปมอง “ขับไม่ได้แล้ว ฉันจะให้รถลากมาเอาส่งไปที่ลานเก็บรถเสีย”
“ลานเก็บรถเสีย?” วารุณีกะพริบตาด้วยความอึ้ง “ประธานนัทธี ความหมายของคุณคือ ไม่เอารถคันนี้แล้ว?”
“อืม”
“น่าเสียดายเกินไปแล้วมั้งคะ รถที่แพงขนาดนี้” วารุณีวางมือลงแล้วพูด
นัทธีเห็นใบหน้าที่เจ็บใจของเธอแล้ว บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มเผยออกมา
วารุณีรับรู้ได้แล้ว เหมือนว่าเห็นสิ่งของที่น่ามหัศจรรย์บางอย่าง เบิกตากว้าง “ประธานนัทธี คุณยิ้มแล้ว!”
หลังจากได้ยินเลย นัทธีรีบเก็บรอยยิ้ม แล้วกลับเข้าสู่ความเย็นชาเหมือนเดิม “เปล่า คุณมองผิดแล้ว”
“ฉันไม่ได้มองผิดซะหน่อย เมื่อกี้คุณยิ้มแล้วแท้ๆ” วารุณีพูดด้วยความยืนหยัด
นัทธีไม่สนใจเธอ หันหลังไปต่อรถที่ข้างถนน
เห็นสถานการณ์แล้ว วารุณีรีบวิ่งตามไป
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ถึงอพาร์ทเมนท์แล้ว
วารุณีกดกริ่งประตู ในไม่ช้าประตูก็ถูกเปิดออก
ปาจรีย์กอดเธอไว้ “วารุณี ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว”
“พอแล้วแล้ว รีบปล่อยรีบปล่อย” วารุณีจับไปที่แขนของปาจรีย์ “มีแขกอยู่เนี่ย!”
“แขก?” ปาจรีย์ปล่อยเธอออก มองไปทางข้างหลังของเธอ เห็นนัทธีแล้ว ทั้งคนของเธออึ้งเลย “โอ้แม่เจ้า อารัณโตแล้วหรือ??”
วารุณีตบหน้าผากของตัวเองอย่างรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เธอรู้อยู่แล้วว่าปาจรีย์จะมีการตอบสนองแบบนี้
“พอแล้ว อย่าพูดมั่ว!” วารุณีแนะนำให้ปาจรีย์ “นี่คือเจ้านายของฉัน ประธานนัทธี”
หลังจากพูดจบ เธอก็ชี้ไปทางปาจรีย์ “ประธานนัทธี นี่คือเพื่อนของฉัน และคือแม่บุญธรรมของอารัณและไอริณค่ะ”
“สวัสดีครับ” นัทธีหยักหน้าไปทางปาจรีย์เล็กน้อย ถึงว่าเป็นการทักทาย
ปาจรีย์ตอบกลับด้วยความซื่อบื้อ “สวัสดีค่ะสวัสดีค่ะ คุณก็คือประธานของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป?”
นัทธีตอบอืมด้วยเสียงที่เย็นชาไปหนึ่งที จากนั้นก็มองไปทางวารุณี “ผมไปก่อนนะ”
วารุณีอึ้งไปเลย “นี่ก็จะไปแล้วหรอคะ ไม่เข้าไปนั่งสักแป๊บหรอคะ?”
“ไม่แล้ว คุณมีเพื่อน” นัทธีขมวดคิ้วแล้วมองไปทางปาจรีย์ที่ยังมองสำรวจเขาอยู่
วารุณีก็รู้ว่าเขาไม่ชอบอยู่กับคนแปลกหน้า พยักหน้า “งั้นได้ค่ะ ระหว่างทางระวังด้วยนะคะ”
“โอเค” นัทธีตอบกลับด้วยสีหน้าที่อบอุ่นไปคำหนึ่ง หันหลังแล้วจากไป
ปาจรีย์มองภาพข้างหลังของเขาแล้วพร่ำบ่นว่า “แม่เจ้า ช่างคล้ายมากจริงๆ วารุณี ก่อนหน้านี้ทำไมเธอไม่บอกฉัน เขากับอารัณคล้ายกันขนาดนี้เลย!”
วารุณียักไหล่ “ฉันคิดอยู่ว่ายังไงเธอกับเขาก็ไม่ได้เจอกันอยู่ดี แน่นอนว่าก็ไม่จำเป็นต้องบอกเธออยู่แล้ว”
“ก็ใช่” ปาจรีย์จับไปที่คาง เหมือนคิดอะไรบางอย่างออก รีบถาม “วารุณี อย่าบอกนะว่าเขากับอารัณและไอริณเป็น…….”