ตอนที่ 50 ชีพจรมังกรใต้ดิน
ริมบ่อน้ำพุร้อนตามังกร มีร่างเงาหนึ่งยืนอยู่ ยกสองนิ้วทำปางมือ ครู่ต่อมาก็ลงไปในบ่ออย่างเงียบเชียบ
ไม่มีเสียงใดๆ เลย และไม่มีใครรู้
คนในชุดคลุมดำลงไปในบ่อน้ำ ไม่มีคลื่นกระจายแม้แต่น้อย
ใบหน้าของหนิงอี้ไร้คลื่นอารมณ์ น้ำพุร้อนในบ่อวนเวียนรอบตัว ชุดคลุมดำแนบกับผิว ผ้าเนื้อหยาบหุ้มกายจมลง สายน้ำกระแทกใส่กาย กลายเป็นหยดน้ำอิ่มเอิบ เพียงแต่กระเด้งบนชายอาภรณ์ ไม่เข้าไปในซอกผ้าเนื้อหยาบ
“แสงดาราไปถึง สายน้ำล้วนหลีกทาง”
ทุกสำนักล้วนมีมนตร์หลีกน้ำ
ต่างจากหลังเขาสู่ซาน จวนเขาครามไม่มีผนึกห้ามใช้แสงดารา หนิงอี้ใช้แสงดาราได้ พลังแห่งแสงดาราของขอบเขตกลางสามารถร่ายมนตร์เล็กๆ น้อยๆ ได้ หลีกน้ำหลีกไฟ สายฟ้าจู่โจมรวมถึงลูกเห็บ
เขาดำลงไปช้าๆ เข้าใกล้ก้นของทั้งบ่อน้ำขึ้นเรื่อยๆ น้ำพุร้อนแห่งนี้มีตามังกรแห่งหนึ่ง เชื่อมถึงก้นพื้นดิน แคบและลึกมาก น้ำพุในบ่อมาจากที่นี่ ยิ่งลงลึก อุณหภูมิก็ยิ่งสูง หนิงอี้กลั้นหายใจ สีหน้าแววตาค่อยๆ สว่างขึ้นในความมืด
ที่นี่เอง…หล่อแกสั่นสะเทือนชัดขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ใช่แค่หล่อแก ที่ราบกระดูกตรงตันเถียนของตนก็ยังสั่นไหวขึ้นมา
หนิงอี้จมลงก้นบ่อตามังกร เข้าใกล้ชีพจรมังกรนี้ แรงกระแทกของน้ำพุรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มนตร์หลีกน้ำติดขัดเล็กน้อย อาภรณ์แห้งของเขาเริ่มชื้นขึ้นมานิดๆ
หนิงอี้หรี่ตาลง เขายื่นมือข้างหนึ่งสัมผัสก้นบ่อ ทั้งมือรู้สึกเย็น ต่างจากอุณหภูมิน้ำที่ร้อนอย่างชัดเจน
“สายลมพัดสายน้ำเคราะห์ภัยมิใช่ทวาร หากราชันมาถึงที่นี่คือกังขามังกร”
ที่นี่เอง
หนิงอี้ที่ใช้สองขาเหยียบก้นบ่อ สองมือจับด้ามจับทองสัมฤทธิ์ตรงก้นบ่อ ก่อนบิดช้าๆ
จวนเขาคราม หนึ่งหยินหนึ่งหยาง
หยินหยางพลิกกลับ น้ำพุตามังกรด้านหยิน มังกรคาบไข่มุกด้านหยาง
นี่คือทวาร ตา
ทองสัมฤทธิ์เกิดแรงบิด หยินหยางประสานกัน หนิงอี้ควักยันต์สีขาวหิมะราวกระดาษออกจากอกเสื้อ นี่เป็นค่ายกลกั้นเสียงที่เด็กสาวทำขึ้น
หนิงอี้นำยันต์ขาวหิมะออกมา ภายใต้แรงปะทะของน้ำพุร้อนก็สลายไปในทีเดียว ทางเข้าตามังกรที่วนเวียนคับแคบอุดตันขึ้นเรื่อยๆ กันเสียงทั้งหมดที่อยู่ในก้นบ่อ
ก้นบ่อเกิดเสียงสั่นสะเทือน
หนิงอี้หรี่ตาลง รู้สึกตัวแข็งทื่อ หลังหยินหยางตรงกัน ก้นบ่อเกิดเป็นทางเข้าแคบๆ แสงดาราผนึกน้ำพุก้นบ่อ สายน้ำพวกนี้ไหลเข้าไปไม่ได้
ทางเข้าก้นบ่อเหมือนยันต์แปดทิศหยินหยางที่หมุนช้าๆ หนิงอี้ใช้สองมือประคองด้ามจับทองสัมฤทธิ์ตรงทางเข้าก้นบ่อไว้ พลางมองปากถ้ำดำสนิทข้างล่าง เหมือนหุบเหวไร้ที่สิ้นสุดที่เลือกคนมากิน
หากยมโลกไม่มีทางหันกลับ เกรงว่าก็คงจะเป็นเช่นนี้
หนิงอี้ยิ้มเยาะในใจ ก่อนกระโดดลงไปด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์
เขาทำเรื่องเช่นนี้มาบ่อยครั้งมาก
ก่อนเข้าเขาสู่ซาน เมืองไร้มลทินเทือกเขาประจิม เขาขุดหลุมศพและสุสานไร้เจ้าของมาบ่อยครั้ง
ตอนดึกดื่นเที่ยงคืนหนิงอี้เคยไปเยือนสุสานมีชื่อเสียงนอกเขตรกร้างเทือกเขาประจิมมาหมดทุกแห่ง อาจจะเพราะดวงดี จึงไม่เจอวิญญาณโดดเดี่ยวและผีป่าที่ว่านั่น และไม่เจอวิญญาณร้ายที่ดุร้ายอย่างยิ่งมาเอาชีวิต
เพียงแค่สองสามลมหายใจ หนิงอี้ก็มาถึงพื้น
เกิดเสียงดังปึง บนศีรษะเป็นสายน้ำไหลหลาก ใต้เท้ากลับแห้งมาก ตอนหนิงอี้เหยียบลง เหมือนเหยียบกิ่งไม้แห้ง
นี่คือชีพจรมังกรใต้จวนเขาคราม จวนขานฟ้าสังเกตเห็นอยู่นานแล้วจึงส่งคนมาเปิดอุโมงค์ที่ใต้ดิน
หนิงอี้นำพับไฟออกมาอย่างระมัดระวัง สะบัดสองที ใช้แสงดาราจุดไฟ เขามองเส้นทางข้างหน้าที่มีหมอกมืดลอยฟุ้งนิ่งๆ จุดแสงไฟขึ้น ไม่อยากเชื่อว่าก็ยังมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า
เขาพลันนึกถึงสิ่งที่พญายมน้อยบอก เส้นชีพจรแผ่นดินที่นี่มีโอกาสเชื่อมไปยังสุสานที่ไม่มีใครรู้จักของจวนขานฟ้าสูงมาก
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น ชูพับไฟพิจารณาไปรอบๆ ที่นี่เป็นจุดสิ้นสุดเส้นทาง ดูท่าคงมีเพียงน้ำพุตามังกรที่เข้ามาได้ คุณชายครามต้องไม่รู้แน่ว่าใต้ดินน้ำพุตามังกรที่ตนแช่ทุกวัน มีโลกแบบนี้อยู่
ถอยไปก้าวหนึ่ง ใต้ดินมีเสียงฟืนแห้งดังขึ้น
หนิงอี้หันไปมองก็พบโครงกระดูกขาวโพลนร่างหนึ่ง ถูกกาลเวลากัดกร่อนมานาน เลือดเนื้อของศพสลายไปหมดแล้ว เหลือเพียงโครงกระดูก
เสียงฟืนแห้งเมื่อครู่ก็คือเสียงตนเหยียบกระดูก
ศพนั้น ถูกกัดกร่อนในช่วงเวลาหลังตายมาไม่รู้กี่ปี แม้เลือดเนื้อจะสลายไปหมดแล้ว แต่กระดูกยังคงขาวราวหิมะไม่เปื้อนดิน นั่นหมายความว่าตอนมีชีวิตจะต้องเป็นผู้บำเพ็ญ กระทั่งเป็นผู้บำเพ็ญที่มีพลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา
หนิงอี้ครุ่นคิดเงียบๆ ดูท่าเส้นทางสุสานนี้ค่อนข้างไม่เป็นมิตรเท่าไร เคยมีคนลองปล้นสุสานของจวนขานฟ้า ปรากฏว่าถูกขังในทางเดินของสุสาน จากนั้นก็ตายที่นี่
หนิงอี้พลันหน้ามืดทะมึน
เขานั่งยองๆ มองศพที่ไม่สมบูรณ์นั้น นอกจากหลุมสองหลุมที่ตนเหยียบแล้ว ตรงกระดูกซี่โครงยังมีรอยเท้าที่ชัดเจนมากอีกรอย
“ยังมีคนอื่นเคยมาที่นี่อีก…”
รอยเท้าที่เหยียบย่ำบนกระดูกซี่โครงนี้ ทำลายผนึกแสงดาราของศพ รอบๆ มีฝุ่นตกลงมาบ้าง แต่ไม่เยอะ
“ก่อนหน้านี้ไม่นานหรือ”
หนิงอี้รู้สึกขนลุกนิดๆ เขารู้สึกว่ามีสายลมจากเงามืดพัดผ่านหลังลับๆ หลังยืนขึ้นก็มองเส้นทางสุสานเงียบสงัดไร้คลื่นลมนั้น ตอนที่ตนลงมา หกสัมผัสเปิด ไม่รู้สึกถึงความแปลกเลยแม้แต่น้อย
ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนเคยมาที่นี่
และยังเร็วกว่าตนก้าวหนึ่ง?
“เป็นยอดฝีมือ…” หนิงอี้หรี่ตาลง ดับพับไฟ ทั้งสุสานกลับมามืดมิด โจรปล้นสุสานที่มาก่อนตนก้าวหนึ่งนั่น หรือจะเป็นมือสังหารของจวนปฐพีกัน
พญายมน้อยรู้ข้อมูลนี้ มีโอกาสสูงที่สมาชิกจวนปฐพีคนอื่นก็รู้เช่นกัน
เขาส่ายหน้า ไล่ความคิดนี้ทิ้งไป มือสังหารจวนปฐพีปกติจะมุ่งแค่วิถีลอบสังหาร กลอุบายการย่องเบาของพวกเขาใช้ไม่ได้ผลภายใต้ยอดค่ายกลของจวนขานฟ้า ต่อให้รู้ว่าจวนเขาครามมีชีพจรมังกร การจะมาถึงสุสานนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน
จวนเขาครามเป็นที่ที่บอกจะมาก็มาได้หรือ
อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ อย่างน้อยเป็นปรมาจารย์ค่ายกล
หนิงอี้ปรับลมหายใจ เขาโคจรแสงดารา ดวงตาเป็นประกายแปลกขึ้นมาช้าๆ เงาและแสงทั้งทางลับขยับวูบไหว สว่างขึ้นเล็กน้อย
ไม่ใช้พับไฟก็เพื่ออำพรางตนเอง รอให้อีกฝ่ายอ่อนแรงก่อนแล้วค่อยจู่โจม หากหนิงอี้ไม่พบร่องรอยของคนนั้น มีโอกาสสูงมากที่เข้าไปลึกกว่านี้จะถูกอีกฝ่ายพบ ถึงตอนนั้นจะเข้าสู่สถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง
หนิงอี้บีบยันต์อำพรางของเด็กสาวไว้แน่น
“ลุยน้ำข้ามแม่น้ำ ในสุสานนี้ไม่รู้ว่ามีกลไกใด…ได้แต่เดิมพันแล้ว…”
หนิงอี้ไม่มั่นใจ หากมีแค่ตนคนเดียวก็ไม่ต้องกลัวอะไร หากข้างหน้ายังมีโจรปล้นสุสานอาวุโสรอตนอยู่ หากตนไปโดนกลไกสุสานอะไรเข้า อีกฝ่ายจะรู้ตัวทันที
ที่นี่น่าจะเป็นในสุสานจวนขานฟ้า ถ้าเกิดอะไรขึ้น เทพเซียนก็ช่วยตนไม่ได้
หนิงอี้กลั้นหายใจ เดินหน้าไปช้าๆ ไม่ขอเร็ว แต่ขอมั่นใจไว้ก่อน
ดวงชะตาดีเหมือนความคาดหมาย เดินมาตลอดทาง ในเส้นทางสุสานไม่มีกลไกใดทำงานเลย อาจจะเป็นเพราะยันต์อำพรางของเด็กสาวแกร่งมากหรือไม่
ในสุสานนี้ซ่อนกลไกไว้เท่าไร หนิงอี้ไม่รู้
แต่เขารู้ว่าหากเส้นทางสุสานผ่านง่าย…ตอนที่ตนเพิ่งมาถึงสุสานก็คงจะไม่เจอศพนั้น
หนิงอี้เดินอย่างระมัดระวัง ทางเดินยาวมาก จุดพับไฟไม่ได้อีก หนิงอี้จึงเสียข้อได้เปรียบไปอย่างมาก การเดินใต้สุสาน พับไฟเป็นของที่สำคัญมาก ไม่ใช่แค่เพิ่มทัศนวิสัย แต่ยังพิจารณาการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่นทิศทางลมรวมถึงเสียง
ต่อให้ใช้แสงดาราก็ทำได้แค่ให้เงาของทั้งทางเดินสุสานปรากฏขึ้นในสายตา ไม่ได้มืดขนาดนั้น
หนิงอี้ท่องมนตร์สะท้านมังกรในใจ เขามั่นใจว่าตนกำลังเดินบนชีพจรมังกรนั้น การสร้างทางเดินสุสานนี้มีราคาสูงยิ่ง ผ่านชีพจรมังกรไป เปิดดวงชะตา หากเดาไม่ผิด เส้นทางที่ตนเดินวางไว้บนพื้นจวนเขาครามจะเป็นภาพยันต์แปดทิศ
จวนเขาครามมีสองด้านหยินหยาง
น้ำพุตามังกรด้านหยินเป็นทางเข้า
ตอนนี้หนิงอี้เดินอยู่ใต้ชายคามังกรคาบมุกด้านหยาง ใต้ดินสิ่งปลูกสร้างยิ่งใหญ่นั้นเชื่อมกับโลกใต้ดินที่มหึมายิ่ง
หนิงอี้เหม่อมองทิวทัศน์หลังเดินออกจากสุสาน
มังกรคาบมุก
มังกรคาบมุกจริงๆ
สุสานของจวนขานฟ้า สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือสุสานที่ผนึกดวงชะตาชีพจรมังกรแห่งนี้ ด้านบนสุสานมีไข่มุกล้ำค่ายักษ์ลอยอยู่ สองปราณหยินหยางไหลหลากชนกัน ถูกปากมังกรคาบไว้ออกไปข้างนอกไม่ได้ กระทั่งไม่แผ่แม้แต่คลื่น
ทั่วทั้งสุสานสว่างไสว โลกข้างนอกกาลเวลาผ่านไปอย่างไร ค่ำคืนที่นี่ก็ยังเป็นเหมือนกลางวัน
หนิงอี้มาถึงที่นี่ ยังไม่พบร่องรอยของคนนอกที่มาเลย
บนพื้นมีฝุ่นกองเป็นชั้น ดูเหมือนไม่เคยมีใครเข้ามา
หนิงอี้เริ่มสงสัยว่า…ในทางเดินสุสานเมื่อครู่มีกลไกมากมาย ในนั้นมีผนึกแก่กล้าที่ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตได้ ทำให้ผู้บำเพ็ญที่ก้าวเข้ามาในสุสานดวงจิตสลายไป ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
เขาปล่อยยันต์ออก เผยตัวตนออกมา เดินมาถึงกลางสุสานมังกรคาบมุก ก็คลายความตื่นตัวลง ‘เล็กน้อย’
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก รู้สึกเหนือจินตนาการนิดๆ
พญายมน้อยเคยเล่าว่าใต้ดินจวนเขาครามอาจมีทรัพยากรจำนวนไม่น้อยกองอยู่
แต่หนิงอี้ไม่นึกเลยว่าที่นี่จะมีทรัพยากรมากขนาดนี้
ที่นี่ไม่เห็นไข่มุกตะวันคร้านต่ำกว่าพันปีเลย ไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจสามพันปีมีให้เห็นทุกที่ มีเกือบสิบเม็ด ทรัพยากรมากมาย นับไม่หวาดไม่ไหว
นี่ยังเป็นแค่ด่านแรก ทรัพยากรแสงดาราที่ฝังในสุสานล้วนไม่ใช่ของที่ไม่เข้าขั้น ข้างหลังต่างหากคือสมบัติและพวกวิชาของเจ้าของสุสาน
ที่นี่เป็นสุสานของใครกันแน่?!
หนิงอี้รู้สึกปากแห้งเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง
ในสุสานเงียบสนิท มีหมอกลอยเข้ามา หมอกนี้เบาและบางอย่างยิ่ง ลอยมาอย่างเชื่องช้า กระทั่งไม่พัดฝุ่นละอองสักเม็ด ไร้สีไร้รูป หากไม่ใช้แสงดาราสัมผัสก็จะไม่รู้สึกถึงหมอกเลย
แฝงอยู่ในอากาศเช่นนี้
หนิงอี้มองสมบัติสุสานจำนวนมากพลางรู้สึกตกใจลึกๆ มือข้างหนึ่งตบหน้าอกเบาๆ
เขาสูดลมหายใจทีหนึ่ง
จากนั้นเดินก้าวแรกไปทางกองภูเขาทรัพยากรเขาเงินเขาทอง
………………………