ตอนที่ 51 เขาเงินเขาทองเขาทรัพยากร (rewrite)
หนิงอี้เดินก้าวแรกไปทางเขาเงินเขาทองเขาทรัพยากร
และเดินได้แค่ก้าวเดียว
จากนั้นล้มลงดังปึง
ฝุ่นดินคละคลุ้ง
ท่าทางการล้มน่าอนาถอย่างยิ่ง นอนกับพื้นเหมือนคนตาย
บุรุษชุดคลุมหยาบขาดวิ่นคนหนึ่งก้าวออกมาจากจุดที่ปล่อยหมอกช้าๆ ศีรษะแวววาว ย่อตัวลงบนพื้น มองหนิงอี้บนพื้นพลางทำเสียงจิ๊ๆ ปลงอนิจจัง “เจ้าหนู…มีฝีมืออยู่บ้าง ไม่อยากเชื่อว่าจะเจอใต้ดินภูเขาครามของจวนขานฟ้า”
บุรุษลูบศีรษะโล้นของตนก่อนพูดงึมงำ “ดูจากสภาพแล้วคงไม่ใช่ผู้บำเพ็ญของสำนักศึกษาแน่นอน หรือไม่ชอบจวนขานฟ้าเหมือนกัน เลยมาขุดหลุมศพบรรพบุรุษรึ”
“คนหนุ่มช่างกล้าหาญจริงๆ…” เขารู้ว่ายอดค่ายกลจวนขานฟ้าน่ากลัวเพียงใด มีมากมาย เยอะจนน่าเหลือเชื่อ ไม่รู้ว่าไอ้คนสมควรตายที่ใดไปล่วงเกินจวนขานฟ้า ถึงได้วางค่ายกลตรวจจับเยอะขนาดนี้ เพื่อมาที่นี่ตนต้องใช้สมบัติฟ้าดินไปจำนวนมากระหว่างทาง ถึงทำได้สำเร็จ
บุรุษพูดปลงเสียงเบาจากใจจริง “มาถึงด่านนี้ใต้จวนเขาครามได้ด้วยตัวคนเดียว ข้าอู๋เต้าจื่อแห่งเขาวิญญาณขอนับถือ”
หนิงอี้ที่นอนบนพื้น นิ้วก้อยขยับโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เขารู้อยู่แล้วว่าสุสานแห่งนี้มีคนมาก่อนตน ก่อนที่จะเห็นอีกฝ่าย เขาจะลดความตื่นตัวลงได้อย่างไร ปิดผนึกทะเลวิญญาณไว้นานแล้ว ปล่อยหกสัมผัส ทุกก้าวระมัดระวัง
ด้วยนิสัยระมัดระวังของหนิงอี้ ต่อให้ตรงหน้าวางไข่มุกตะวันหายากของยอดปีศาจหมื่นปี ก่อนที่จะยืนยันความปลอดภัยของตนได้ เขาไม่มีทางแตะต้องง่ายๆ เด็ดขาด
หมอกควันเมื่อครู่มีชื่อเรียกว่าหมอกวิญญาณ เวินเทาเคยบอกตนว่าในสุสานมากมายจะวางธูปที่จุดพันปีก็ไม่ดับไว้ เป็นสิ่งที่จะปล่อยหมอกวิญญาณออกมา สามารถกัดกร่อนทะเลวิญญาณ ทำให้ผู้บำเพ็ญหลงใหล ผู้บำเพ็ญต่ำกว่าขอบเขตสิบจะโดนหมอกได้ง่ายมาก
แต่หากยังคงสัมผัสที่เฉียบคมไว้ ความจริงก็รับมือไม่ยาก
หนิงอี้ใช้เคล็ดกระดองเต่านอนบนพื้น เหมือนถูกหมอกวิญญาณทำให้ล้มลง เมื่อได้ยินบุรุษที่เข้ามาในสุสานก่อนตนพูด เขาก็ตกใจอย่างยิ่ง
อู๋เต้าจื่อหรือ
บุรุษคนนี้ชื่ออู๋เต้าจื่อหรือ
เมื่อได้ยินสามคำนี้ หนิงอี้รู้สึกเหลือเชื่อกว่าเจอไข่มุกครรภ์ราชาปีศาจจำนวนมากอีก
เวินเทาเคยบอกกับตนว่าตอนที่เขาท่องใต้ฟ้าต้าสุย ก็ไม่อาจหักใจไปจากสุสานเขาศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้ และยังเป็นสหายกับ ‘อู๋เต้าจื่อ’ สุดท้ายตอนที่ปล้นสุสานของผู้มีอิทธิพลในเขาศักดิ์สิทธิ์บางแห่งในแดนบูรพา เพราะไปขยับสมบัติสุสานเกินไปชิ้นหนึ่ง ปรากฏว่าเกิดเรื่องเหนือการควบคุมขึ้น ในสถานการณ์นั้น เวินเทาเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่อู๋เต้าจื่อถูกขังไว้ในสุสานเขาศักดิ์สิทธิ์ ถูกตัดพลังบำเพ็ญ ถูกตัดสองมือสองเท้า ตายน่าอนาถมาก…
เพราะเรื่องนี้เลยทำให้เวินเทาวางมือ กลับไปฝึกบำเพ็ญที่เขาสู่ซานอย่างว่าง่าย ไม่ปล้นสุสานอีก
อู๋เต้าจื่อไม่ใช่ตายไปแล้วหรือ ปล้นสุสานของยอดผู้บำเพ็ญเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา ถูกจับได้คาหนังคาเขา ตัดสองมือสองเท้า นี่ไม่ใช่ความจริงรึ
หนิงอี้ไม่ผลีผลาม เขานอนหมอบกับพื้น ใช้วิชากระดองเต่ารับมือกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
อู๋เต้าจื่อที่ใช้หมอกวิญญาณทำให้หนิงอี้ล้มลงเหมือนไม่ได้คิดจะฆ่าคนกลบร่องรอย แต่มองทรัพยากรกองใหญ่ตรงหน้า ดูหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย
“ครั้งนี้ยุ่งแล้ว…หา ‘จุดแปลก’ ไม่พบ เจอลูกวัวไม่กลัวตาย” อู๋เต้าจื่อกัดฟัน “ไม่ไหวจริงๆ ได้แต่เอาของกากเดนพวกนี้ไป ใจข้าไม่ยินยอมจริงๆ…”
หนิงอี้ฟังแล้วตื่นกลัว ไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจเยอะขนาดนี้ ทรัพยากรบำเพ็ญพวกนี้ อู๋เต้าจื่อกลับมองว่าเป็นของกากเดนหรือ
ในสุสานนี้ซ่อนอะไรไว้กันแน่
หนิงอี้รู้ว่านี่เป็นเพียงด่านแรก ในคัมภีร์สะท้านมังกรบอกว่าหากประตูมีกรพันชั้น จะต้องมีราชันอยู่แน่…มีกองทรัพยากรจำนวนมากขนาดนี้ในสุสานชั้นแรกได้ จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตที่สุดยอดมากแน่ ในประวัติศาสตร์จวนขานฟ้า เกรงว่าคงสร้างวีรกรรมไว้อย่างยิ่งใหญ่!
ส่วนด่านสองที่ลึกไปกว่านั้น…ความจริงหนิงอี้ไม่ได้สนใจ จะสนใจไปเพื่ออะไร เขามาที่นี่ก็แค่เพื่อยกระดับพลัง ทรัพยากรตรงหน้าพอให้ตนทะลวงขั้นห้า บรรลุถึงขั้นหกแล้ว กระทั่งมีเหลือๆ
‘จุดแปลก’ ที่อู๋เต้าจื่อพูดถึง หนิงอี้เคยได้ยินเวินเทาเอ่ยอย่างคลุมเครือ ในสุสาน ด่านแรกจะมีธรณีประตู บางสุสานไม่ใช้ประตูเชื่อม แต่จะใช้ค่ายกลตัดขาด การจะออกจากด่านแรกไปด่านสอง ก็ต้องหาตาค่ายกลสุสาน หรือก็คือจุดแปลกในชัยภูมิฮวงจุ้ยสุสาน
อู๋เต้าจื่อพูดพึมพำ
“ลงจากเขา ขึ้นจากเขา ตรงกลางมีทวารมงคลนำทางลับ…
หากถูกเวลาจะเป็นทวารจริง หากไม่ใช่จะเป็นคำลวงหลอก…”
หนิงอี้ที่นอนบนพื้นได้ยินมนตร์พวกนี้แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก มั่นใจในการคาดเดาของตน
อู๋เต้าจื่อคนนี้อาจจะเป็นคนนั้นที่ปล้นสุสานกับศิษย์พี่เวินเทาในตอนนั้นจริงๆ!
โลกนี้มีคัมภีร์แสวงมังกรสองส่วน ส่วนแรกคัมภีร์สะท้านมังกรอยู่กับเวินเทา
คัมภีร์กังขามังกรอีกส่วน…
ศิษย์พี่สามบอกว่า ตอนนั้นที่เดินทางกับอู๋เต้าจื่อก็เพราะว่าคัมภีร์กังขามังกรอีกส่วนอยู่ในทะเลวิญญาณของอู๋เต้าจื่อ ไม่รู้ว่านักบวชเขาวิญญาณคนนี้ได้มาจากที่ใด
แต่ขอแค่คัมภีร์แสวงมังกรสองส่วนประกบกัน ก็จะไปได้ทุกสุสานในใต้หล้า ขอแค่ไม่ผิดกฎต้องห้ามสุสาน เช่นนั้นต่อให้เข้าสุสานราชวงศ์ก็ยังถอยหนีออกมาได้
เวินเทานึกย้อนกลับไปแล้วก็เล่าบางส่วนของคัมภีร์กังขามังกร ตอนนั้นทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน คิดจะแอบเรียนคัมภีร์อีกครึ่งของอีกฝ่าย น่าเสียดายสุดท้ายหยินหยางต้องแยกกันตลอดกาล เวินเทาคิดว่าคัมภีร์แสวงมังกรนี้ไม่สมบูรณ์อีกแล้ว ขาดการสืบทอด ท้อแท้สิ้นหวัง ดังนั้นจึงถดถอยไป
หนิงอี้มั่นใจอย่างยิ่งว่าสิ่งที่อู๋เต้าจื่อท่องอยู่คือบางส่วนของคัมภีร์กังขามังกร
นักบวชเขาวิญญาณที่เพ่งสมาธิไปกับการท่องมนตร์ไม่รู้ตัวเลยว่าหนิงอี้ที่เดิมทีนอนแผ่ข้างหลังตน บีบยันต์อำพราง ลุกขึ้นช้าๆ ชักพินิจเหมันต์ออกมาช้ามาก กระบี่ยาวที่พันด้วยผ้าดำ ตอนนี้ดูเหมือนท่อนไม้ที่ต้องพกติดตัวไว้ตลอด
หนิงอี้เข้าไปใกล้ช้าๆ…
หกสัมผัสของเขาจับผู้บำเพ็ญนามอู๋เต้าจื่อคนนี้ไว้ พบว่ากลิ่นอายพลังจากตัวอีกฝ่ายเหมือนศิษย์เขาวิญญาณจริงๆ พลังบำเพ็ญแสงดาราทั้งตัวต่ำจนน่าสงสาร มีแค่ขอบเขตกลาง กระทั่งไม่ถึงขอบเขตหลัง แต่กายและจิตแข็งแกร่ง ยากจะหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบาง
เขากลั้นลมหายใจ
เดินเข้าไปหนึ่งจั้งแล้ว
อีกฝ่ายยังคงไม่สังเกตเห็นตน
หนิงอี้ชูพินิจเหมันต์ขึ้นสูง แรงที่ไม่อาจแบกรับได้แผ่มาจากผ้าดำ
เพื่อเพิ่มน้ำหนักของการ ‘ทุบ’ ครั้งนี้ หนิงอี้ถึงขั้นใช้น้ำวนแก่นเทพในตันเถียน น้ำหนักร้อยจั้งพลันเพิ่มในแกนกระบี่พินิจเหมันต์
อู๋เต้าจื่อพูดงึมงำ ดวงตาเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ
เขาหา ‘จุดแปลก’ พบ เผยสีหน้าดีใจขึ้นมา
ทันใดนั้นเอง หนิงอี้ที่เข้ามาใกล้ข้างหลังกระโดดขึ้นสูง ก่อนจะฟาดกระบี่ลงมา
“กระบี่ฟาด!”
เกิดเสียงดังกึกก้อง พินิจเหมันต์คลุมผ้าดำฟาดที่ศีรษะของอู๋เต้าจื่ออย่างแรง
ตึง!
หนิงอี้ตกลงพื้น เหม่อมองอีกฝ่าย ไม่ล้มลงตามเสียงเลยหรือ
นักบวชเอาสองมือกุมศีรษะ สูดลมหายใจเย็นๆ โคลงเคลงพลางหันหน้ามา เงาหนิงอี้ถือกระบี่สองมือซ้อนทับกันช้าๆ ก่อนจะโกรธจัด ยังไม่ทันพูดอะไร ดวงตาก็ดำมืด ล้มกับพื้นดังตึง สุสานด่านแรกสั่นสะเทือนตามกัน
หนิงอี้เจ็บข้อมือเล็กน้อย เขาแปลกใจมาก กายเนื้อนักบวชนี่ทนทานขนาดนี้เชียว กระบี่ที่ตนเพิ่มน้ำหนักแกนกระบี่เข้าไป ฟาดศีรษะโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว อีกฝ่ายกลับไม่หมดสติไปทันทีหรือ
นี่เป็นผู้ฝึกกายระดับใดกัน
ตรงศีรษะจุดที่ถูกฟาดของอู๋เต้าจื่อบวมแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซาลาเปาใหญ่นูนขึ้นมาอีกลูกต่อกัน ดูเหมือนมีน้ำเต้าขึ้นบนหัวโล้น
หนิงอี้มองศีรษะอู๋เต้าจื่อ ซาลาเปาซ้อนกันขนาดพอๆ กับกำปั้น สีหน้าซับซ้อนขึ้นมา
มโนธรรมของหนิงอี้เหมือนถูกประณามในพริบตา ดูท่าอู๋เต้าจื่อไม่เหมือนคนเลวเลย ตนกลับทุบเขาเช่นนี้…
จากนั้นเขาถอนหายใจ
หากไม่ใช่วันนี้ข้าทุบเจ้า พรุ่งนี้ก็ยังมีคนอื่น
“เป็นโชคไม่ใช่เคราะห์ เป็นเคราะห์หนีไม่พ้น…”
หนิงอี้มองอู๋เต้าจื่อพลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้ารู้ว่าเขาวิญญาณพวกเจ้าเชื่อเรื่องโชคชะตา หลวงพี่ ในชะตาชีวิตเจ้าถูกลิขิตไว้ว่าต้องมีเคราะห์ภัยนี้กับข้า…นี่จะโทษข้าไม่ได้นะ เป็นลิขิตของพระโพธิสัตว์”
เมื่อเอ่ยจบ หนิงอี้ผ่อนคลายขึ้นมาก “อืม มานึกดูดีๆ ก็มีเหตุผลจริงๆ”
อู๋เต้าจื่อที่นอนบนพื้นเหมือนได้ยินคำพูดนี้ของหนิงอี้ นิ้วมือกระตุกตามจิตใต้สำนึก หากเขายังมีแรงลุกขึ้นมา เกรงว่าคงจะชี้หน้าด่าทอเด็กหนุ่มที่ฟาดกระบองคนนี้
……
หนิงอี้คาดเดาว่าคงอีกสักพักกว่าอู๋เต้าจื่อจะตื่นขึ้นมา
เขาเดินเลียบริมภูเขาเล็กทรัพยากรบำเพ็ญนั้น ถือโอกาสหยิบไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจมาอีกสองเม็ดแล้วใส่เข้าปาก เคี้ยวดังกรุบ
หนิงอี้นั่งขัดสมาธิ ทั้งสุสานเปล่งแสงสว่าง
ที่รวมชีพจรมังกรแห่งนี้ ทำให้น้ำพุบนดินชุ่มฉ่ำได้ขนาดนี้ ก็เพราะผนึกของที่นี่ มังกรคาบมุกกัดดวงชะตาไว้ และยังกัดแสงดารา ทรัพยากรมากมายกองอยู่ที่นี่…
หนิงอี้ไม่นึกถึงฐานะของเจ้าของสุสานอีก คนเป็นจะไปกลัวคนตายได้อย่างไร
ในสุสานจวนขานฟ้าแห่งนี้ ทรัพยากรที่มีในด่านแรก ต้องมีความคิดว่าจะเก็บไว้ให้ชนรุ่นหลังแน่
หนิงอี้ยื่นมืออีกครั้ง คว้าไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจมาเม็ดหนึ่ง ไม่เกรงใจเลย
ด้วยฐานะตอนมีชีวิตของเจ้าของสุสาน จะไปขี้เหนียวสนใจของนอกกายพวกนี้ได้อย่างไร
หนิงอี้สูดลมหายใจยาว เตรียมทะลวงพลัง
ตนแบกรับที่ราบกระดูก ทุกการทะลวงพลังต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล นี่เป็นปัญหายากเท่าฟ้ามาตลอด จากขั้นสี่ทะลวงไปขั้นห้า ไข่มุกตะวันคร้านพันปียังไม่มีประโยชน์เท่าไร ไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจสามพันปีถึงจะกระตุ้นน้ำวนความเป็นเทพของหนิงอี้ได้ กลืนกินแสงดาราและหลอมละลายช้าๆ
ทุกการทะลวงพลังต้องใช้การสั่งสมทรัพยากรเกือบสิบเท่า…ตอนนั้นสวีจั้งพูดไว้ไม่มีผิด เส้นทางบำเพ็ญของตน เกรงว่าคงต้องโค่นล้มเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งลูก ทุ่มกำลังทั้งหมดบ่มเพาะ!
………………………