ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 52 กินเต็มอิ่ม

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 52 กินเต็มอิ่ม

หนิงอี้ใช้เวลาทะลวงขอบเขตที่สี่ไปขอบเขตที่ห้านานมาก ตอนอยู่หลังเขาสู่ซาน ทรัพยากรไม่พอ มาถึงเมืองหลวง ต่อให้รวมทรัพยากรที่พอทะลวงพลังไว้ ก็ยังติดอยู่หน้าธรณีประตูที่ไม่รู้นามบางแห่ง ไม่เห็นทิวทัศน์

เส้นทางการบำเพ็ญ แทบจะไม่มีใครไปได้อย่างราบรื่น

อัจฉริยะที่สุดแห่งยุคอย่างคุณชายโจวโหยวตำหนักนภาม่วง ตั้งแต่เกิดมาก็เริ่มตระหนักรู้ดูดซับแสงดารา ร้อยปียังไม่มีปรากฏสักคน

ตัวหนิงอี้เป็นถ้ำไร้ก้น

ผู้บำเพ็ญปกติ ทะลวงพลังต้องใช้แสงดารามหาศาล กระทั่งอาจารย์ยังไม่ให้ใช้ไข่มุกตะวันคร้าน ปกติต้องนั่งฌานดูดซับ สั่งสม อาศัยแสงดาราที่ตนหลอมรวมเองทั้งหมดทะลวงพลังบำเพ็ญ

แต่หนิงอี้ทำไม่ได้

เขาเคยลองวิธีใช้คัมภีร์จิตม่วงเร้นดูดซับมาแล้วบนหลังนกกระจอกแดงที่เทือกเขาประจิม แสงดาราเหมือนจะไม่ยอมเข้าไปในกายเขา เกิดการขัดขืนและต่อต้านโดยธรรมชาติ หากไม่ใช้ของภายนอก พลังบำเพ็ญของหนิงอี้จะช้ามาก

ดังนั้นเขาจะต้อง ‘กิน’

กินไข่มุกตะวันคร้าน แสงดารากับปราณหยางในนั้นสลายไปทั้งหมด

ส่วนหนึ่งกลายเป็นแสงดาราของเขา

อีกส่วนหลอมรวมเข้าไปในสายเลือด ขัดเกลากายเนื้ออย่างไร้รูป

ทว่าทั้งหมดที่หนิงอี้กินไปเพื่อบรรลุขอบเขตที่ห้าเท่ากับทรัพย์สินทั้งครอบครัวของผู้บำเพ็ญดาราชะตาหลายคนแล้ว หากปล่อยไปในถิ่นกันดารใต้ฟ้าต้าสุยก็แทบจะกินหมดสำนักเล็ก นี่เพิ่งจะขอบเขตที่ห้าเท่านั้น จากนี้ยังมีขอบเขตที่หก และยังมีข้ามสามขอบเขตหลังที่มากยิ่งกว่า รวมถึงขอบเขตที่สิบที่เข้าใกล้ความสมบูรณ์

ทุกการทะลวงหนึ่งขอบเขตพลัง จะต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าขอบเขตพลังขั้นก่อน

หนิงอี้เคี้ยวไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจสองเม็ด แสงดารารุนแรงสองสายกระจายไปในทรวงอก พลังงานรุนแรงที่ทะลวงผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังได้ถูกกำราบอยู่ในกายเนื้อนี้ ไม่อาจทะลวงปราการพันธนาการไปโลกภายนอกได้

ในตันเถียนกายเนื้อนี้มีที่ราบกระดูกอยู่ หลังขลุ่ยกระดูกหลอมละลาย ก็กลายเป็นน้ำวนสีขาวขุ่น ความเป็นเทพวนเวียน นี่ก็คือที่มาของถ้ำไร้ก้น ของที่หนิงอี้กินไปเปลี่ยนเป็นส่วนเล็กของตน ทรัพยากรส่วนใหญ่ถูกมันกินไป

อาภรณ์โบกสะบัด เส้นผมดำปลิวไสว

หนิงอี้หลับตาลง ภายใต้เนื้อหนังนี้ เลือดที่แสงดาราไหลผ่านเปล่งแสงอ่อนๆ ผ่านผิวหนังและอาภรณ์ หากถอดอาภรณ์ออกจะเห็นว่าร่างกายสุขภาพดีสีข้าวสาลีของเด็กหนุ่มค่อยๆ เปล่งแสงสีขาวขุ่น เหมือนจุดตะเกียงในเลือดใต้ผิวหนัง พริบตาเดียวก็มอดดับลง หลังความเป็นเทพเดือดพล่านก็ดับลง แสงสว่างทั้งหมดรวมในตันเถียน แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวอีก

กลิ่นอายพลังของหนิงอี้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาเริ่มทะลวงขอบเขตที่หก

ในสุสานใต้ดินจวนเขาคราม เขาไม่มีความกังวลเรื่องทรัพยากรทะลวงพลังแม้แต่นิด ข้างหลังเป็นภูเขาทรัพยากรที่เจ้าของสุสานให้ไว้กับชนรุ่นหลังจวนขานฟ้า หยิบได้ตามใจ

พลังของหนิงอี้เริ่มสูงขึ้น เขายื่นมืออีกครั้ง มีแรงดูดแผ่ออกจากฝ่ามือ ไม่สนใจไข่มุกตะวันคร้านพันปีนั่นแล้ว แต่คว้าไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจมาหลายเม็ดแล้วบีบจนแตก

นี่เป็นการกระทำที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตราย

ทรัพยากรพวกนี้ ต่อให้ใช้กับหนิงอี้ก็ยังเกินความต้องการในการทะลวงพลัง

หนิงอี้บีบไข่มุกครรภ์แตก บีบแสงดาราที่กระจายออกไว้ในฝ่ามือก่อนจะกินไปในคำเดียว

การทะลวงขอบเขตที่ห้าอยู่ในชั่วพริบตา

เขาลืมตาขึ้น สองแขนเสื้อถูกแสงดาราดันจนจะระเบิด ความเป็นเทพของโครงกระดูกผลุบๆ โผล่ๆ ในระยะสามฉื่อรอบกาย ค่ายกลเล็กที่สลักด้วยลายเทพลอยขึ้น เหมือนเป็นอักขระเก่าแก่ซับซ้อนและเข้าใจยากในที่ราบกระดูก ความเป็นเทพพวกนี้กำราบแสงดาราที่มีอยู่ทุกที่ไว้ อยากจะลอง แต่ก็ไม่กล้าขยับ

พวกมันอยากจะกินอิ่มสักมื้อ

“เจ้าหิวมานานมากแล้วสิ…” หนิงอี้เสียงแหบแห้ง ยิ้มๆ “ไม่ต้องเกรงใจ กินได้เต็มที่เลย”

เมื่อได้ยินเสียงของหนิงอี้ รู้สึกถึงเจตนารมณ์ของเจ้าของ ที่ราบกระดูกสั่นไหวเบาๆ ในตันเถียนหนิงอี้ กระโดดโลดเต้น แสงสว่างไร้รูปสายหนึ่งแผ่ออกมา กินแสงดาราที่จะแผ่มาจากไข่มุกครรภ์พวกนั้นที่หนิงอี้กินไปอย่างไม่เกรงใจ!

ทะลวงพลัง!

เป็นการทะลวงพลังที่ยิ่งใหญ่มาก!

ทั้งสุสานเกิดฝุ่นควันหมุนตลบเพราะคลื่นลมการทะลวงพลังของหนิงอี้ ในระยะสามฉื่อรอบตัวหนิงอี้เงียบสงบ

หนิงอี้อดใจไม่ไหวอยากตะโกนเสียงดัง เขาไม่เคยทะลวงพลังสบายขนาดนี้มาก่อน ไม่มีสิ่งใดขวางเลย เมื่อข้ามธรณีประตูพลังบำเพ็ญไป แสงดาราขอบเขตที่ห้าไหลเวียนในกายอย่างยากลำบาก เหมือนลำธารเล็กสายหนึ่ง มาถึงขอบเขตที่หกก็ก้าวข้ามครั้งใหญ่ ขอบเขตหลังแสงดาราเหมือนแม่น้ำใหญ่ ระหว่างขอบเขตที่หกกับเจ็ดมีหุบเขาน้ำแข็งกั้นกลาง ตอนนี้หนิงอี้เป็นทิวทัศน์ของฝั่งนั้นแล้ว

แสงดาราของเขาที่มีไม่ถือว่ามาก แต่คุณภาพสูงยิ่ง ความทนทานก็สูง แทบจะไปถึงทุกส่วนในร่างกาย ตอนอยู่อารามรู้กรรม หนิงอี้รู้สึกถึงความพิเศษของแสงดาราตน ที่ไม่อาจสู้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นได้ เป็นเพราะแสงดาราของตนกับอีกฝ่ายอยู่คนละระดับกัน หากก้าวสู่ขอบเขตหลัง แม่น้ำใหญ่กับแม่น้ำใหญ่สองสาย หนิงอี้มั่นใจว่าเขาจะไม่แพ้ให้ใคร

หนิงอี้สงบใจลงช้าๆ

เขานึกถึงกระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาด พริบตาที่ปราณกระบี่ปะทะกับคุณชายคราม หนิงอี้รู้สึกว่าใต้อาภรณ์ของคุณชายครามซ่อนแสงดารามหาศาลไว้ ตอนนี้ดูแล้ว คุณชายครามแห่งจวนขานฟ้าคงจะมีพลังบำเพ็ญจุดสูงสุดขอบเขตที่แปด กระทั่งมีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เก้า เว้นแต่ตนจะทะลวงขอบเขตหลัง ไม่อย่างนั้นจะเผชิญหน้ากับคุณชายครามตรงๆ ได้ยากมาก

เมื่อคิดได้ดังนั้น หนิงอี้ก็ปลงในใจเล็กน้อย

เด็กสาวเพิ่งจะฝึกไปนานเท่าไรเอง ก็ใช้กระบี่ซ่อนกำราบคุณชายครามได้…คุณชายครามเป็นอัจฉริยะที่จวนขานฟ้าใช้ทรัพยากรมากมายบ่มเพาะ เป็นคุณชายใหญ่ที่จะพุ่งพรวดขึ้นในงานราชวงศ์ใหญ่ ศึกนั้นที่จวนเขาคราม จิตมรรคถูกเด็กสาวทำลายลงแล้ว

…….

ปวด

ปวดหัว

“ซี้ด….”

อู๋เต้าจื่อลืมตาขึ้น ภาพสุสานตรงหน้าโยกเยกซ้อนทับกัน

เขายังอยู่ในท่าเอาสองมือกุมศีรษะ พอตื่นขึ้นมาก็คว้าเจอซาลาเปาใหญ่นั้นข้างหลังศีรษะ พลันนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิตรงหน้าตน

สารเลวนั่นที่กระโดดเอาไม้กระบองฟาดตน!

ผ้าดำห่อตัวกระบี่พินิจเหมันต์ ดูเหมือนไม้กระบองจริงๆ…อู๋เต้าจื่ออยากจะลุกขึ้นทุบศีรษะอีกฝ่ายคืน แต่พบว่าตนถูกเส้นอิทธิฤทธิ์ไร้รูปมัดไว้ทั้งตัว ตรงหน้าผากยังแปะยันต์สีครามไว้แผ่นหนึ่ง ทำให้ขยับตัวไม่ได้เลย

ยันต์สีครามเป็นของเสริมของวิถีแห่งค่ายกลที่เด็กสาวทำขึ้นในจวน แปะที่หน้าผากจะกำราบแรงมหาศาลพันชั่งได้ กำราบม้าและวัวได้สบายมาก

“อย่าขัดขืน ไม่อย่างนั้นข้าคงได้แต่ฟาดหัวเจ้าอีกที”

หนิงอี้เห็นอีกฝ่ายตื่นขึ้นมาก็ยิ้มหยีตา “ผู้อาวุโสอู๋เต้าจื่อแห่งเขาวิญญาณใช่หรือไม่”

คำพูดนี้เหมือนราดน้ำเย็นที่ศีรษะอู๋เต้าจื่อ เขาใจเย็นลง มองหล่อแกนั้นที่หนิงอี้ถือในมือและซ่อนในแขนเสื้อพลางพ่นลมหายใจ ก่อนพูดเสียงเบา “เจ้าเองก็เป็นสายเลือดศาสตร์สุสานเหมือนกัน…ถือว่าข้ามองพลาดไป ควันวิญญาณไม่ทำให้เจ้าล้มลง”

“ในเมื่อทุกคนเป็นสหายศาสตร์เดียวกัน ตอนนี้มาขอข้าวกินใต้ดินจวนขานฟ้า ไฉนต้องออกมือสู้กัน หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา จะไม่มีใครหนีรอดไปได้” อู๋เต้าจื่อพูดเต็มไปด้วยความจริงใจ “เจ้าแก้มัดให้ข้า ข้าจะไม่ลงมือกับเจ้าแน่”

หนิงอี้หัวเราะ เขาพยักหน้าเหมือนว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ “แก้ แก้แน่นอน ไม่ทำข้าก่อนข้าก็ไม่ทำกลับ เจ้าเอาหมอกวิญญาณมารมควันข้า ข้าฟาดกระบองใส่เจ้า ถือว่าหายกันแล้ว”

อู๋เต้าจื่อมีสีหน้าโอนอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย

หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “แต่เจ้าต้องบอกตำแหน่งของ ‘จุดแปลก’ กับข้าก่อน”

อู๋เต้าจื่อขยับตัวไม่ได้ มียันต์ครามแปะหน้าผาก ดูน่าสงสารมาก

อู๋เต้าจื่อจ้องหนิงอี้ “เจ้าคนหนุ่ม…เจ้าก็มาหาจุดแปลกเหมือนกันรึ”

แต่สำหรับหนิงอี้แน่นอนว่าไม่ใช่

เขาเพียงแค่มาขโมยของและถือโอกาสทะลวงพลัง เลี้ยงที่ราบกระดูกในท้อง

แต่ตอนนี้ทะลวงขอบเขตที่หกแล้ว ที่ราบกระดูกก็กินอิ่มแล้ว…

หนิงอี้ตอบสบายๆ “ข้าย่อมมาเพื่อจุดแปลกแน่นอน”

เพื่อทำให้อู๋เต้าจื่อเชื่อ หนิงอี้จึงรักษาระยะห่าง พูดด้วยใบหน้ามืดทะมึน “เรื่องนี้สำคัญกับข้ามาก…หากหาจุดแปลกไม่พบ ต่อให้ระเบิดทั้งจวนเขาคราม ข้าก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย”

อู๋เต้าจื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วตกใจจนเหงื่อออกเต็มหลัง

เขาจ้องหนิงอี้ อ่านตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายไม่ออก พลังเลือดลมค่อนข้างเอ่อล้นทั้งตัว โดยเฉพาะตรงตันเถียน วิชาประเมินคนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา พลังวิญญาณตรวจสอบที่แผ่ออกมากลับถูกน้ำวนตันเถียนของเด็กหนุ่มนั่นกินไปจนหมด

นี่เป็นใครกันแน่

อู๋เต้าจื่อเชื่อว่าสิ่งที่หนิงอี้พูดเป็นความจริง เข้ามาในจวนเขาครามได้อย่างเงียบเชียบ สำนักเบื้องหลังจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ค่ายกลพวกนี้หลบได้ยาก ตนเองก็อาศัยมรดกของเจ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์คนนั้นถึงหลบสัมผัสของค่ายกลจวนขานฟ้ามาได้

ยันต์ที่หนิงอี้บีบในมือเป็นยันต์ที่เด็กสาวปรับแก้มาจากค่ายกลมารดาบุตรของบรรพจารย์ลู่เซิ่ง คัดลอกตามยันต์ของหลังเขาสู่ซาน ได้โชควาสนาฟ้าดิน หากไม่มียันต์ของลู่เซิ่งเป็นแบบ ก็คงไม่มีทางเข้ามาในจวนขานฟ้าได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงลอบเข้ามาในจวนเขาคราม

ส่วนการระเบิดจวนเขาคราม…การทำลายมังกรง่าย แต่หามังกรยาก ชีพจรมังกรซ่อนในพันลี้หมื่นลี้ การจะทำลายไม่ถือว่ายากเท่าไร แต่นี่เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ในใต้หล้า หากถูกคนตรวจสอบ ต่อให้เบื้องหลังเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ยากจะช่วยได้

การขุดหลุมศพบรรพบุรุษก็เลวทรามมากแล้ว

เลยไม่ต้องพูดถึงการระเบิดหลุมศพบรรพบุรุษ…นี่คือคนที่ไม่มีความดีอยู่เลย

“เจ้า…มีเบื้องหลังอย่างไรกัน”

หนิงอี้เพียงแค่แสยะปากยิ้ม ไม่ได้เผยสำนักของตน และยิ่งไม่บอกอู๋เต้าจื่อ ตนได้รู้เรื่องราวของอีกฝ่ายในตอนนั้นจากปากเวินเทาแล้ว

เขาเพียงแค่ชักพินิจเหมันต์ที่พันด้วยผ้าดำออกมาเงียบๆ เคาะกับพื้น

“ข้าจะนับถึงสาม ถ้าเจ้าไม่บอก ‘จุดแปลก’ กับข้า ข้าจะระเบิดทั้งจวนเขาคราม แล้วก็ทิ้งเจ้าไว้ที่นี่…ให้เจ้าได้เห็นวิธีการจัดการโจรปล้นสุสานพวกนั้นของจวนขานฟ้าหน่อย”

หนิงอี้ยิ้มไม่มีพิษมีภัย เขาพูดอย่างนุ่มนวล “ผู้อาวุโสอู๋เต้าจื่อ เจ้าคิดว่าอย่างไร”

……………………..