บทที่ 83 อาหารมื้อกลางวัน

ฮูหยินมู่นั่งอยู่ในห้องโถงเพียงคนเดียวอย่างวางท่า นางหันไปมองรอบ ๆ ทันใดนั้นเองเจ้าเกี๊ยวน้อยอายุสักสามสี่ขวบก็มายืนอยู่ตรงปลายเท้านาง บนหัวมีก้อนซาลาเปากลม ๆ สองก้อน ดวงตาของเด็กน้อยกลมโตดูน่ารักน่าชังมาก

“ท่านป้า” เจ้าเกี๊ยวน้อยเรียกนางด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู

ฮูหยินมู่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เดิมทีนางไม่ชอบเด็ก ๆ นางรู้สึกว่าพวกเด็ก ๆ นั้นน่ารำคาญ แต่เมื่อมองไปที่ซานเป่า หัวใจของนางก็สั่นไหวเพราะความน่ารักของเด็กน้อย ฮูหยินมู่มองซ้ายแลขวาเมื่อไม่เห็นว่ามีใครอยู่ตรงนั้น นางจึงเอื้อมมือไปบีบพวงแก้มนุ่มนิ่มของเจ้าตัวน้อยเบา ๆ

ในลานบ้านเว่ยฉิงกำลังเลื่อยไม้เพื่อทำของเล่นให้เด็กน้อยสองคน มู่ซิ่วเหวินมองเขาอย่างสนอกสนใจ

“น้องเว่ย เจ้าสอนข้าได้หรือไม่?”

“ท่านอยากทำอะไร?”

“ข้าอยากให้ของขวัญแก่ฮูหยินของข้า” มู่ซิ่วเหวินกล่าว

ให้ภรรยาหรือ?

เดิมทีเว่ยฉิงค่อนข้างเฉยชากับเขา แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็พูดคุยมากขึ้น

“ข้ากำลังทำของให้ลูก ๆ เด็ก ๆ กับผู้หญิงมีความชอบแตกต่างกัน ท่านคิดอยากจะทำอะไรให้ภรรยาของท่านเล่า?”

มู่ซิ่วเหวินครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจ

“ฮูหยินข้าชอบปลูกดอกไม้ ข้าอยากทำกระถางดอกไม้ให้นาง”

“ได้ เช่นนั้นเรามาทำกระถางดอกไม้กัน”

เว่ยฉิงเลื่อยไม้สองชิ้นส่งให้กับมู่ซิ่วเหวินหนึ่งชิ้น

“เราจะเจาะตรงกลางไม้แผ่นนี้”

“อืม..”

ทั้งสองคนช่วยกันทำกระถางต้นไม้ มู่ซิ่วเหวินเป็นคนจริงจัง หากแต่เขาซุ่มซ่ามและเงอะงะจนทำให้งานออกมาไม่เรียบร้อยดีนัก เขาหันไปมองเว่ยฉิงและอดไม่ได้ที่จะชื่นชม

“น้องเว่ย เจ้าเก่งมาก!”

“อืม” เว่ยชิงรับคำชมจากเขา

“ฮูหยินของท่านชอบปลูกดอกไม้ด้วยหรือ?”

“ใช่ ภรรยาข้าเหมือนดอกไม้ที่บอบบาง นางเองก็ชอบปลูกดอกไม้เช่นกัน ดูดอกไม้พวกนี้สิภรรยาข้าปลูกเองทั้งหมดเลย”

“ดูเหมือนจะไม่ใช่ดอกไม้นะ เป็นต้นถั่งเช่าต่างหาก! ”

“โอ้…ต้นถั่งเช่าหรือ!? แต่ภรรยาข้าเป็นคนปลูกเองนะ ดูสิ มันขึ้นงามมากเลย! ”

“ภรรยาของข้าเป็นคนดีมาก ตอนนี้นางดูแลจวนสกุลมู่ ทำให้ข้าเบาแรงไปเยอะเลย ”

“ฮูหยินข้าก็เป็นคนเข้มแข็งมากเช่นกัน ก่อนหน้านี้ข้าเคยขาหักบาดเจ็บปางตาย ก็เป็นนางที่ดูแลข้า! ”

เว่ยฉิงที่เดิมทีเป็นคนเงียบขรึมแต่เมื่อได้พูดถึงภรรยาของเขาขึ้นมาแล้ว ทั้งคู่ก็พากันชื่นชมภรรยาของตนเองอย่างออกหน้าออกตาราวกับไม่มีใครยอมใครกันเลยทีเดียว

“หลังจากเจาะรูแล้ว เราจะให้รูนี้อยู่ด้านล่าง รากของพวกดอกไม้จะต้องมีช่องระบายอากาศเพื่อให้มันสามารถเติบโตขึ้นได้” เว่ยฉิงกล่าว

“น้องเว่ย เจ้านี่..ช่างน่าทึ่งจริงๆ” มู่ซิ่วเหวินอดไม่ได้ที่จะเชยชมอีกครั้ง

เมื่อเสร็จแล้วมู่ซิ่วเหวินก็ส่งกระถางดอกไม้ที่ตนเองทำให้กับฮูหยินมู่อย่างตื่นเต้น นางกระตุกยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็น “กระถางดอกไม้ ”

“ฮูหยิน เจ้าชอบหรือไม่?”

ฮูหยินมู่อยากจะพูดแรง ๆ กับสามีของนาง หากเมื่อเหลือบไปเห็นมือที่แดงและบวมของมู่ซิ่วเหวินแล้ว หัวใจของนางกลับอุ่นวาบขึ้น

“ข้าชอบ…”

มู่ซิ่วเหวินมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครเขาก็ขโมยจูบที่ใบหน้าของฮูหยินมู่ ใบหน้าของหญิงสาวที่ราวกับปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดทั้งปีของนางละลาย กลายเป็นสีแดงระเรื่ออย่างน่าดู นางจ้องไปที่มู่ซิ่วเหวิน

“อย่าก่อปัญหา!”

ส่วนทางด้านถังหลี่นั้น อาหารกลางวันได้ถูกจัดเตรียมจนเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว นางทำอาหารทั้งหมดหกอย่างและน้ำแกงอีกหนึ่งอย่าง ได้แก่ หมูตุ๋น , ซี่โครงหมูนึ่ง , ปลานึ่ง , ผัดเต้าหู้กับมะเขือยาว , ไก่ย่างสูตรพิเศษ . เนื้อผัดสมุนไพรกับมันฝรั่ง ส่วนน้ำแกงที่เตรียมไว้จะเป็นหัวไชเท้าต้มกับกระดูกหมูที่ถังหลี่ชอบทำบ่อย ๆ

อาหารหกจานและน้ำแกงหนึ่งอย่างนี้เป็นอาหารที่ธรรมดามากสำหรับตระกูลมู่

มู่ซิ่วเหวินรู้สึกตื่นเต้นมาก

เนื่องจากเว่ยฉิงพูดยกยอถังหลี่ จนมู่ซิ่วเหวินถูกล้างสมองสำเร็จ เว่ยฉิงอวดว่าภรรยาของตนนั้นทำอาหารอร่อยมากกว่าใครในใต้หล้าเลยทีเดียว

ฮูหยินมู่ยังคงสงวนท่าทีเช่นเดิม

แต่ทันทีที่นางเดินเข้าไปในห้องกินข้าว จมูกของนางก็ได้กลิ่นหอมลอยมา…

“ท่านป้า เชิญนั่งขอรับ” เด็กชายอายุประมาณห้าหกขวบดึงเก้าอี้ออกและเชิญให้นางนั่งลงอย่างมีมารยาท

นางมองไปที่พวงแก้มเต่งตึงของเด็กน้อย ฝ่ามือของนางก็คันยุบยิบขึ้นมา หากตอนนี้ก็มีผู้คนอยู่มากมาย นางจึงได้แต่ทำท่าเรียบเฉยสง่างาม

ฮูหยินมู่ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ มีมู่ซิ่วเหวินนั่งอยู่ข้าง ๆ ส่วนถังหลี่ก็นั่งข้างเว่ยฉิง

“ฮูหยินมู่ นายท่านมู่ เชิญ” ถังหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม ตามมารยาทแล้ว นางต้องเป็นคนขยับตะเกียบก่อน

“ฮูหยิน กินเร็ว” นายท่านมู่ยื่นตะเกียบส่งให้ฮูหยินมู่

นางคีบเนื้อผัดขึ้นมา เมื่อได้ลิ้มรสก็พบว่ามันทั้งนุ่มและอร่อยมาก ฮูหยินมู่อดไม่ได้ที่จะชิมอีกครั้ง ทันใดนั้นต่อมรับรสของนางก็เปิดออก กลิ่นหอมพุ่งฟุ้งกระจายไปทั่วโพรงปากและลิ้นของนาง

พ่อครัวที่เก่งที่สุดในจวนก็ไม่สามารถทำรสชาติเช่นนี้ได้

หอมจริง ๆ!

“ฮูหยินเว่ย เจ้าทำเนื้อนี้อย่างไรหรือ?” ฮูหยินมู่อดไม่ได้ที่จะถาม

“เพียงแต่หมักด้วยแป้งข้าวโพดและเกลือเป็นเวลาสักหนึ่งเค่อ[1]เนื้อจะนุ่มขึ้น” ถังหลี่อธิบาย

“แล้วเหตุใดหมูตุ๋นจานนี้ถึงไม่เลี่ยนเลยเล่า?”

“ใส่เครื่องปรุงเพิ่มมากขึ้นสักหน่อย อีกทั้งข้ายังผึ่งลมให้เนื้อแห้งดีก่อนจะนำมาทำหมูตุ๋น เพื่อขจัดกลิ่นคาวและความมัน ทำให้รสชาติของหมูตุ๋นดีขึ้น”

“ปลานึ่งจานนี้ยังคงกลิ่นหอมจากตัวปลาไว้ได้ ซึ่งดีกว่านำปลาไปตุ๋นมากนัก”

ทุกครั้งที่ฮูหยินมู่ชิมหนึ่งจานนางก็เอ่ยชมหนึ่งครั้ง ไป ๆ มา ๆ สรรพนามของถังหลี่ก็เปลี่ยนจาก ‘ฮูหยินเว่ย’ มาเป็น ‘พี่สาวและน้องสาว’ ในภายหลัง หลังจากกินไปเรื่อย ๆ ท้องของฮูหยินมู่ก็พองออก แต่นางยังไม่รู้สึกอิ่มเลย

“ฮูหยินมู่หากท่านชอบอาหารพวกนี้ ข้าจะเขียนสูตรให้ท่าน” ถังหลี่กล่าว

ฮูหยินมู่มองไปที่ถังหลี่ ยิ่งมองก็ยิ่งถูกใจ แท้จริงแล้วแม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนที่มีทักษะการทำอาหารที่ดี นางฉลาด เป็นเจ้าของร้านขายชาด มีความสามารถที่ดูเกินภาพลักษณ์ภายนอก คำพูดของถังหลี่เหมือนแทงตรงไปที่หัวใจของฮูหยินมู่

ฮูหยินมู่เป็นคนชอบกินแต่นางเป็นคนขี้ระแวง ไม่ไว้ใจคนง่ายๆ ผิดกับสามี แต่ถังหลี่ก็ยังให้สูตรของตัวเองกับนาง หากพ่อครัวในจวนมู่รู้สูตรนี้ นางก็สามารถจะกินของอร่อยเช่นนี้ได้ทุกวัน

แค่คิดก็มีความสุขแล้ว!

นอกจากนี้ถังหลี่ยังทำอาหารเก่งมาก ถ้าหากนางคิดจะเปิดร้านอาหารนางคงขายดีน่าดู แต่หญิงสาวก็ยังเต็มใจมอบสูตรพวกนี้ให้กับนาง…

“น้องสาว เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพกับข้ามากหรอก ข้าชื่อว่าเจียงเยว่หลาน เรียกข้าว่าพี่หลานก็ได้”

“ตกลงพี่หลาน เดี๋ยวข้าจะเขียนสูตรให้พี่นะ”

ฮูหยินมู่เดินตามหลังถังหลี่ นางเกาะถังหลี่แน่นกว่ามู่ซิ่วเหวินเกาะเว่ยฉิงเสียอีก ถังหลี่จดสูตรอาหารเหล่านั้นและยื่นให้ฮูหยินมู่

“พี่หลานนี่สูตรอาหารเจ้าค่ะ”

“น้องสาว ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”

“เชิญพี่หลานกล่าวได้เลย”

“ข้ามีร้านอาหารในเมืองเหยาสุ่ยชื่อว่า ‘สุ่ยเยว่ฝาง’ ข้าต้องการทำอาหารสูตรของเจ้าไปขายที่สุ่ยเยว่ฝาง และข้ามีค่าตอบแทนให้เจ้าหนึ่งในสิบส่วนดีหรือไม่?” ฮูหยินมู่กล่าว

สุ่ยเยว่ฝางเป็นภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเหยาสุ่ย ถังหลี่เคยไปทานอาหารที่นี่ มีลูกค้ามากและกิจการก็เจริญก้าวหน้ามาก เถ้าแก่จางเคยกล่าวไว้ว่าร้านอาหารในเมืองเหยาสุ่ยเป็นของตระกูลใหญ่ ๆ หลายแห่งในเมืองนี้ และตระกูลที่มีอิทธิพลมากที่สุดก็คือตระกูลมู่ที่เปิดภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดนี่เอง อย่าได้มองว่าเป็นแค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น ร้านอาหารใหญ่โตถึงเพียงนี้แค่หนึ่งในสิบส่วนก็นับได้ว่าเป็นเงินจำนวนมากโขเลยทีเดียว!

หากถังหลี่ไปเปิดร้านอาหารด้วยตัวเอง ไม่เพียงแต่ต้องเหนื่อยกาย ไหนยังจะต้องลงทุนเอง อีกทั้งยังไม่สามารถทำเงินให้นางได้มากเท่านี้ด้วยซ้ำ

ข้อเสนอของฮูหยินมู่จึงเปรียบได้กับการหยิบยื่นเงินให้นางตรง ๆ โดยที่ถังหลี่ไม่ต้องเสี่ยงลงทุนเองเลย

“พี่หลาน นั่นไม่ใช่ปัญหา หากท่านคิดจะทำขายที่สุ่ยเยว่ฝาง เพียงแต่ส่วนแบ่งที่ท่านให้ข้ามันมากเกินไป! ” ถังหลี่กล่าว

ฮูหยินมู่ยิ้ม

นางเป็นคนที่ไม่ต้องการเป็นหนี้ใคร เจียงเยว่หลานเอาสูตรของถังหลี่ไปขายก็อยากให้ค่าตอบแทนเป็นการขายสูตรให้สุ่ยเยว่ฝาง ซึ่งนับได้ว่ายุติธรรมแล้ว

นางชอบที่จะได้ร่วมงานกับคนที่ฉลาด คนทั่วไปอาจจะคิดว่าเงินเพียงหนึ่งในสิบส่วนนี้น้อยเกินไป แต่ถังหลี่เข้าใจว่าเงินหนึ่งส่วนนี้มีจำนวนมากเพียงใด และเมื่อนางพูดว่าให้มากเกินไปย่อมแสดงให้เห็นว่านางไม่ใช่คนโลภ

ฮูหยินมู่ไม่ใช่คนสนใจเรื่องเงิน แต่นางเกลียดคนที่โลภไม่รู้จักพอ

“ไม่มากหรอก ซิ่วเหวินเรียกเว่ยฉิงว่า ‘น้องชาย’ พวกเจ้าถือว่าเป็นน้องชายและน้องสาวของพวกข้า เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เจ้าอย่าได้กังวลให้มากนัก”

ถังหลี่ยังคงรู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“พี่หลาน เช่นนั้นข้าจะให้สูตรอาหารใหม่แก่ท่านเดือนละหนึ่งจานเป็นอย่างไร?”

“ดียิ่ง! ตกลงเอาตามนี้!” ฮูหยินมู่พยักหน้า

[1] 1 เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณตามเวลาสากล