บทที่ 84 ชาเข็มเงิน

นายท่านมู่และฮูหยินมู่นั่งพูดคุยสักพักก่อนจะขอตัวกลับ เว่ยฉิงขยิบตาให้กับบุตรชาย เมื่อเอ้อร์เป่าเห็นก็เข้าใจในสิ่งที่บิดาต้องการสื่อ เขาพาน้องสาวไปที่ห้องหนังสือ ส่วนป้าจ้าวก็ไปซักผ้า ตอนนี้ที่ลานบ้านจึงเหลือเพียงแค่เว่ยฉิงและถังหลี่เท่านั้น

เจ้าหัวขโมยเต้าหู้[1]เว่ยฉิงรีบขยับเข้าไปที่ด้านข้างของถังหลี่ เขาเหยียดแขนออกรั้งหญิงสาวเข้ามากอดด้วยมือเพียงข้างเดียว นางอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่เว่ยฉิงก็ทำให้เสียงของนางหายไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มขโมยจุมพิตนางและอุ้มถังหลี่เข้าไปในห้องนอน ก่อนจะพบถังหลี่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการจูบจะเป็นสิ่งที่ดีขนาดนี้ ราวกับว่าวิญญาณของเขาล่องลอยไป ทั้งร่างกายก็เบาหวิวราวกับอยู่บนก้อนเมฆ

ภรรยาของเขามีเสน่ห์เหลือเกิน เขาอยากจะขังนางเอาไว้ อยากจะจูบนาง อยากกอดนาง และอยาก…รังแกนาง.. ให้ดวงตาของนางแดงก่ำไปด้วยไฟปรารถนา ตราบใดที่เขาได้อยู่กับภรรยานั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขอย่างที่สุด

หลังจากเว่ยฉิงจูบนางอย่างพอใจแล้ว เขาก็ไม่เบื่อที่จะคุยกับนางต่อ

เว่ยฉิงคุยให้นางฟังถึงจวนสกุลเซี่ยและลูกน้องของเขา ราวกับว่าชายหนุ่มมีเรื่องมากมายให้พูดไม่รู้จบ หากเป็นคนอื่นที่พูดมากเช่นนี้เว่ยฉิงคงรำคาญและซัดคน ๆ นั้นด้วยหมัดเดียวไปแล้ว.. แต่ต่อหน้าภรรยาของเขา เขากลายเป็นคนพูดมากไปเสียเอง

ถังหลี่ไม่ได้รู้สึกว่าเขาน่ารำคาญแต่อย่างใด นางตั้งใจฟังสามี เสียงของเว่ยฉิงช่างไพเราะและน่าหลงใหล ต่อให้เป็นเรื่องไร้สาระแค่ไหน ถังหลี่ก็ยังรู้สึกสนุกที่ได้ฟัง!

ทั้งสองพูดคุยด้วยกันทั้งวันจนเหนื่อย

….

เช้าวันรุ่งขึ้นเว่ยฉิงออกไปทำงาน ส่วนถังหลี่ก็ไปที่ร้านเป่าชิงเก๋อ

การทำงานในตอนนี้ของเป่าชิงเก๋อ คือหลู่ชิงรับผิดชอบคุมโรงงานผลิต ฉางลู่รับผิดชอบดูแลภายในร้านค้า ตอนนี้ถังหลี่จ้างเสมียนมาทำบัญชีเพื่อจัดการบัญชีของร้าน ในฐานะเถ้าแก่เนี้ย ถังหลี่ก็มีงานให้ทำมากมาย ถังหลี่ต้องการที่จะจ้างผู้จัดการร้านที่มีความสามารถและน่าเชื่อถือได้

แต่คนที่มีคุณสมบัติแบบนี้ก็มีน้อย อีกทั้งหาได้ยากนักจนกว่าถังหลี่จะหาเจอนางก็ต้องทำเองไปก่อน

ในขณะที่ถังหลี่กำลังเดินไปที่ประตูร้านนั่นเอง ก็มีคนยืนขวางนางเอาไว้ คนหนึ่งเป็นชายสูงอายุและอีกคนเป็นเด็กน้อย ชายผู้นั้นเนื้อตัวสกปรก ผมยุ่งไว้เครารกรุงรัง มีกลิ่นเหล้าโชยออกมาจากตัวอีก ส่วนเด็กชายกลับเป็นคนที่ขายภาพวาดนั้นให้แก่นาง

“แม่นางน้อย เมื่อสองสามวันก่อนเจ้าได้ซื้อภาพวาดของลูกชายข้าไว้หรือเปล่า? เจ้าช่วยคืนภาพวาดให้ข้าได้หรือไม่?” ชายผู้มีเคราเอ่ยปากถาม

“ข้าขายไปแล้วจะเอาคืนได้อย่างไร!” เด็กน้อยตะโกนขึ้นมา ชายผู้นั้นหันไปตบใบหน้าของเขาทันที!

“ไอ้ลูกนอกคอก!” เด็กชายจ้องไปที่ชายสกปรกด้วยความโกรธ

ส่วนชายผู้นั้นกลับยกมือขึ้นคารวะถังหลี่

“แม่นางเด็กคนนี้ขโมยภาพวาดข้าไปขาย มันเป็นภาพที่สำคัญกับข้ามาก ได้โปรดคืนมันให้ข้าด้วยเถิดแม่นาง!” ถังหลี่ขมวดคิ้ว นางรู้สึกไม่ประทับใจกับชายที่มีเคราตรงหน้ามากนัก

“ข้าคืนให้เจ้าได้ไม่มีปัญหา หากแต่ข้าใช้เงินซื้อมา เจ้าต้องคืนเงินมาให้ข้าก่อน ”

“เท่าใด?”

“สิบสองตำลึง”

“สิบ…สิบสองตำลึง!” ชายคนนั้นอ้าปากค้าง

ไม่รู้ว่าเขาตกใจกับเงินถึงสิบสองตำลึง หรือตกตะลึงที่มันขายได้เพียงแค่สิบสองตำลึงเท่านั้น ชายคนนั้นหันไปมองพลางพยักพเยิด หากเด็กชายกลับบุ้ยใบ้บ่ายเบี่ยง

“ไม่ต้องมามองข้า! ข้าใช้เงินหมดแล้ว!”

“ไอ้เด็กตัวเหม็น! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ขโมยของในบ้านไปขาย! ข้าจะทุบตีเจ้าให้ตาย!” ชายคนนั้นพูดและเริ่มทุบตีเขา

“ข้าแค่หยิบมาเท่านั้น! ที่ข้าเป็นแบบนี้เพราะท่านนั่นแหละ! ท่านไม่เคยสั่งสอนข้า!”

เขาวิ่งไล่กวดตามเด็กชาย แต่อย่างไรก็ตามฝีเท้าของเด็ก ๆ นั้นย่อมเร็วกว่า ชายผู้นั้นเริ่มหายใจหอบ ไม่สามารถไล่ตามได้ทัน

ถังหลี่ก้าวเท้าต้องการจะเดินออกไป เมื่อเขาเห็นเช่นนั้นก็เลิกตามลูกชายและเดินมาหยุดหน้าถังหลี่

“แม่นางข้าจะไปเอาภาพวาดคืนแน่นอน! หากข้าเก็บเงินได้มากพอ!” ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงหอบเหนื่อย

“แต่ว่า…เจ้าโปรดเก็บภาพวาดนั้นไว้ให้ดี อย่านำมันมาแขวนข้างนอก ไม่เช่นนั้น…มันอาจจะนำหายนะมาสู่ชีวิตของเจ้า!”

เมื่อพูดจบเขาก็เดินจากไป

หายนะต่อชีวิต?

ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือแค่ขู่!

“เถ้าแก่เนี้ยถัง เหตุใดท่านถึงได้ไปยุ่งเกี่ยวกับคนบ้าคนนั้น?” คนที่เดินผ่านมาที่รู้จักกับถังหลี่ถามขึ้น

“ท่านป้ารู้จักเขาหรือ?” ถังหลี่ถาม

“ใช่ เขาเป็นคนสติไม่ดีขี้เมา ในยามที่เมามายเขามักจะพูดว่าเขาเป็นขุนนางระดับสูงในเมืองหลวง! เขาไม่สนใจภรรยาและลูกเลย เอาแต่ดื่มเหล้าทุกวัน ภรรยาจะทำงานหนักตกทุกข์ได้ยากเพียงใดก็ไม่ใส่ใจ เถ้าแก่เนี้ยถังท่านอยู่ให้ห่างจากคนผู้นี้เถิด ”

“ขอบคุณท่านป้าที่เตือน”

ถังหลี่เดินไปที่ร้านเป่าชิงเก๋อ ในขณะนั้นมีสตรีหลายคนที่มาซื้อชาดและกำลังจะกลับกันพอดี หากเมื่อหันมาเห็นถังหลี่ทุกคนก็ชะงักฝีเท้า

“เถ้าแก่เนี้ยถัง เจ้าคิดว่าสีนี้เหมาะกับข้าหรือไม่?”

ถังหลี่มองไปที่หญิงสาวผู้นั้น

“นายหญิงผิวของท่านขาวและสีแดงนี้ก็เหมาะกับผิวขาวเช่นนี้มาก”

“เถ้าแก่เนี้ยถัง กล่องบรรจุชาดของร้านท่านดีมากมีการเขียนตัวเลขเอาไว้ด้วย หากครั้งหน้าข้ามาซื้อจะได้ไม่ซื้อผิดอย่างแน่นอน”

นี่เป็นความคิดของถังหลี่ นางเอามาจากการเลือกสีลิปสติกในยุคของตน ดังนั้นถังหลี่จึงให้หลู่ชิงเพิ่มหมายเลขลงไปบนกล่องชาด

“เถ้าแก่เนี้ยถัง ข้าไม่แปลกใจเลยที่ฮูหยินมู่กล่าวว่าเจ้าคือน้องสาวของนาง เจ้าฉลาดและเก่งมากเหมือนฮูหยินมู่ไม่มีผิด”

ถังหลี่เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าคนเหล่านี้เข้ามาพูดคุยกับนางเพราะความสัมพันธ์ของนางกับฮูหยินมู่ แต่อย่างไรก็ดี ชาดเป็นสินค้าที่เกิดมาสำหรับผู้หญิง เหล่าฮูหยินที่ร่ำรวยคือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของนาง ดังนั้นการมีสัมพันธภาพกับฮูหยินเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรแล้ว

ถังหลี่มองไปที่เถียนซื่อซึ่งยืนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย นางอยากจะตามเข้ามาเช่นกันหากก็ดูเขินอายไม่น้อย คงเป็นเพราะนางเคยดูถูกถังหลี่เอาไว้ในตอนแรกที่ถังหลี่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง หากภายหลังจากนั้นเมื่อได้แก้ไขความเข้าใจผิดกันแล้ว เถียนซื่อก็นำของมามอบให้นางหลายครั้ง ด้วยเพราะนางค้าขายกับเถ้าแก่จางอีกทั้งเป็นเพื่อนบ้าน ยามที่นางเห็นถังหลี่นางจึงได้แต่นึกละอายแก่ใจ

เถียนซื่อขัดเขินเกินกว่าจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดคุยกับนาง นางมาซื้อชาดหลายครั้งที่เป่าชิงเก๋อ บางครั้งก็อาสาป้าจ้าวช่วยดูแลเด็ก ๆ ให้นาง เถียนซื่อผู้นี้แม้จะดูเย่อหยิ่งไว้ตัวอยู่บ้างหากนางก็ไม่คนคิดร้ายต่อผู้อื่น

“พี่เถียน เข้ามาดื่มชาด้วยกันก่อนไหม?” ถังหลี่ชวน

เถียนซื่อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบดึงสติตัวเองอย่างเร็วก่อนจะมองถังหลี่ด้วยความซาบซึ้ง เถียนซื่อนั้นไม่สบายใจเกี่ยวกับความเข้าใจผิดของตนในครั้งก่อน ถังหลี่เป็นคนเก่งกาจมีความสามารถไม่แพ้บุรุษ ไม่สนใจที่จะผูกใจเจ็บเคืองโกรธนาง เถียนซื่อได้แต่คิดถึงคำพูดของสามี ถังหลี่ผู้นี้ไม่ใช่สตรีธรรมดา ๆ ทั่วไป นางจึงยิ้มรับคำเชิญนั้น ก่อนจะเข้าไปนั่งเล่นกับฮูหยินทั้งหลายเหล่านั้น ถังหลี่รินชาเทให้ทุกคน

“เถ้าแก่เนี้ยถัง! นี่เป็นชาเข็มเงินจวินซานนี่ ” ฮูหยินเหมยผู้เชี่ยวชาญเรื่องชาเป็นอย่างดีร้องทักขึ้นมาหลังจากได้ลิ้มรส

“ข้าไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องชาสักเท่าใด ชานี้ข้าได้มาจากพี่ชายคนโตของข้า” ถังหลี่กล่าว

ไป๋มู่หยางส่งใบชานี้มาให้นาง อย่างไรก็ตามสิ่งที่พี่ชายนางมอบให้ก็นับว่าเป็นของดีทั้งนั้น

“ฮูหยินเหม่ย..นี่คือชาอะไรหรือ? วานบอกพวกเราทีสิ”

“ชาชนิดนี้เรียกอีกอย่างว่า ‘หยกเลี่ยมทอง’ ดั่งสีของทองที่กลืนไปกับเนื้อหยก ชานี้เป็นของที่ขึ้นชื่อของเมืองชิงเหอ ข้าเคยดื่มเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” ฮูหยินเหม่ยกล่าว

หลังจากที่ได้ยิน…ทุกคนก็รู้สึกว่าชาในถ้วยนั้นช่างหอมกรุ่นยิ่งขึ้น สิ่งที่พวกนางพากันคิดในใจก็คือเถ้าแก่เนี้ยถังผู้นี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ไม่เพียงแต่ฮูหยินมู่จะยอมรับนางเป็นน้องสาวเท่านั้น แม้แต่พี่ชายคนโตของนางคงหาใช่คนธรรมดา… ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถส่งชาดี ๆ เช่นนี้มาให้น้องสาวได้หรอก…

————————————

[1] กินเต้าหู้ หมายถึง ลวนลาม แต๊ะอั๋ง ดังนั้น หัวขโมยเต้าหู้ คือคนที่ชอบแต๊ะอั๋งนั่นเอง