บทที่ 85 ความลับในอดีต
ชิงเป่ยเคยบอกเรื่องนี้กับนางมาแล้ว เขารู้เพราะแอบได้ยินบทสนทนาระหว่างเยี่ยนซู่และโม่หานเยียน จึงได้รู้ความจริงว่าทั้งคู่ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเยี่ยนซู่ ดังนั้นเมื่อดีรู้ความจริงในตอนนี้ เด็กแฝดจึงไม่ตกใจนัก
เยี่ยนซู่มีท่าทางราวกับกำลังตกลงสู่ห้วงอดีตที่ล้ำลึก
“ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดนางจึงอยู่ตัวคนเดียวทั้งที่ตั้งครรภ์อยู่ ข้าเคยถามว่าพ่อเด็กไปไหน แต่นางไม่ตอบ”
เยี่ยนซู่พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเสียใจ “ข้าไม่เข้าใจว่านางกำลังอุ้มท้องลูกของเขา บุรุษผู้นั้นกล้าปล่อยให้นางตัวคนเดียวได้อย่างไร นางเป็นสตรีที่สูงส่งถึงเพียงนั้น แต่กลับต้องมีชะตาเช่นนี้….. หากข้าไม่ยืนกรานให้นางมาอาศัยที่จวนอ๋องแห่งนี้ตอนที่ตั้งครรภ์ เกรงว่าพวกเจ้าทั้งสองคนคงไม่อาจลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัยได้”
ชิงอวี่และชิงเป่ยยืนฟังเงียบเชียบ ไม่คิดว่ามารดาของพวกตนจะมีอดีตเช่นนั้น
ไม่คิดว่านางจะต้องถูกทิ้งให้ระหกระเหินร่อนเร่ ไร้สถานที่ที่สามารถเรียกว่าบ้านได้ แล้วบิดาของพวกเขาเล่า? บุรุษที่สามารถสั่นสะท้านใจของสตรีผู้เย่อหยิ่งและแข็งแกร่งเช่นท่านแม่ได้ สามารถทำให้นางเต็มใจยอมอุ้มท้องเพื่อเขาได้….. อยู่ที่ใดกัน?!
“แม้สุดท้ายนางจะไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใคร แต่ข้าก็สัมผัสได้ว่านางรักเขามาก…..” เยี่ยนซู่เอ่ยเสียงเบา ดวงตาอ่อนโยนลงเมื่อหันมองเด็กแฝดที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกัน “รวมถึงพวกเจ้าด้วย”
“ชื่อของพวกเจ้าก็ได้มารดาเจ้าเป็นคนตั้งให้ นางแซ่ชิง มีนามว่าชิงเฟย”
“ชิงเฟย…..”
ชิงอวี่พึมพำออกเสียงออกมา ท่านแม่นางมีนามเช่นนี้นี่เอง
“ข้าทอดทิ้งพวกเจ้าสองคนมานานหลายปี ผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับนาง นางเองก็โหดร้ายกับข้าและเลือดเนื้อของตนเองนัก” เยี่ยนซู่อ่ยด้วยน้ำเสียงสะท้าน ยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้าราวกับพยายามกลั้นบางอย่างไว้
“ตอนนางกำลังจะคลอดพวกเจ้า แม่เฒ่าที่คอยดูแลนางบอกว่านางเผลอกินยาที่ทำให้แท้งไป ทำให้นางเลือดออกไม่หยุด หากไม่รีบรักษาอาจตายได้ แม้โม่หานเยียนจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่หลังจากนั้นนางก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”
“ข้าเศร้าโศกเสียใจนัก ต้องการจัดงานศพอย่างดีให้นาง นางจะได้ไปสบาย แต่กระทั่งร่างของนางก็ไม่เหลือไว้ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก ข้าจัดการผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปหมดแล้ว ข้าบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าเท่านั้น หลุมศพของชิงเฟยนั้นว่างเปล่า มีไว้เพียงเป็นที่รำลึก แม้ข้าจะไม่รู้ว่านางจากไปที่ใด นางถึงกับทิ้งลูกทั้งสองคนเอาไว้ที่นี่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้ามั่นใจ นั่นคือนางยังไม่ตาย”
“นางไม่เคยบอกว่านางมาจากที่ใด เพราะไม่ต้องการดึงให้ข้าเข้าไปเกี่ยวพันด้วย แต่นางมีพลังบำเพ็ญเพียรแก่กล้า อีกทั้งยังเป็นนักปรุงยาระดับสูง ข้าสัมผัสได้ว่านางน่าจะเกี่ยวพันกับดินแดนระดับสูง เกี่ยวพันกับแดนเมฆาสวรรค์ในคำร่ำลือ”
“ฉินฟางบอกว่าพวกเจ้ามีพรสวรรค์สูงส่ง โดดเด่นยิ่งกว่าหนิงเอ๋อร์ ข้าจึงคิดว่าพวกเจ้าสมกับเป็นลูกของชิงเฟยจริง ๆ”
“หากพวกเจ้ามีโอกาสได้เดินทางไปยังดินแดนระดับสูง ไม่แน่ว่าอาจพบเบาะแสในการตามหาตัวมารดาเจ้า…..”
หลังจากเยี่ยนซู่ยอมบอกเรื่องทุกอย่าง เด็กแฝดจึงมีอารมณ์หนักหน่วงซับซ้อนนัก
หลังจากกลับไปยังเรือนสงบเงียบ ก็ไม่สนใจเหล่าบ่าวไพร่ที่ทำหน้าตาตกตะลึงเมื่อเห็นว่าชิงเป่ยเดินกลับเข้าเรือนมา แต่กลับนั่งนิ่งไม่ไหวติงเป็นเวลานาน บรรยากาศภายในหดหู่นัก
หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเรื่องนี้มีความลับใดซุกซ่อนอยู่กันแน่?
ฟังจากที่เยี่ยนซู่เล่ามา หากท่าแม่รักพวกเขาจริง เหตุใดจึงจากไปไม่ทิ้งคำใด ปล่อยให้ลูกทั้งสองของนางอยู่ในความดูแลของผู้อื่นเช่นนี้ได้?
นี่เป็นเรื่องที่ทั้งสองคนไม่อาจเข้าใจและไม่อาจยอมรับได้
“เสี่ยวเป่ย เจ้าอยากไปแดนเมฆาสวรรค์หรือไม่?”
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่พระอาทิตย์ที่กำลังตกดินแผ่แสงเรืองรองออกมาอยู่ด้านนอก ท้องฟ้าถูกระบายด้วยสีแดงจัด ส่องสว่างเป็นพิเศษ
ขนตาของชิงเป่ยขยับเล็กน้อย เขาเอ่ยขึ้น “ข้าอยาก และข้าจำเป็นต้องไป แต่ข้ารู้ดีว่าข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ ดังนั้นข้าจะต้องฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นจนมีกำลังมากพอจะไปตามหาท่านแม่ได้”
“เจ้าทำได้แน่” ชิงอวี่กล่าวขึ้น ยกมือขึ้นลูบหัวเขา “และข้าจะคอยอยู่ข้างเจ้าเอง”
“อือ” ดวงตาที่มองมาของเด็กหนุ่มทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน “ตอนนี้ข้าไม่ต้องทำเป็นคนพิการต่อหน้าคนอื่น ๆ แล้ว โม่หานเยียนเองก็เผยธาตุแท้ออกมา เกรงว่าถึงนางจะทำทีเก็บตัวมานานหลายปี หนนี้คงจะต้องเก็บตัวเองไปจริง ๆ ไม่เช่นนั้นหากนางก้าวเท้าออกจากเรือนตนเมื่อไรคงได้จมน้ำลายผู้อื่นเป็นแน่”
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ชิงอวี่ก็ชะงักไปเล็กน้อย นางหดมือกลับแล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ตอนข้ากลับมา ได้กลิ่นดอกเมามายรุนแรงนัก เจ้าบอกว่าโดนยาไป แต่ไม่ใช่ว่าหายจากพิษยาเร็วไปหน่อยหรือ?”
เมื่อตอนที่นางเห็นเขาในห้องโถงใหญ่ เขายังดูท่าทางไร้เรี่ยวแรงอยู่เลยแท้ ๆ
ชิงเป่ยเลิกคิ้วขึ้น เผยรอยยิ้มออกจะชั่วร้ายออกมา “ข้าถูกพิษของยานั่นจริง แต่ท่าทีส่วนมากข้าเพียงแกล้งทำ พิษและยาระดับต่ำเช่นนั้น ถึงตอนนี้ทำอะไรข้าได้ไม่มากหรอก”
“หือ? เพราะเหตุใด?”
“เรื่องนี้เป็นความดีความชอบของเสี่ยวเสวี่ย มันดูดพิษในร่างข้าออกมาสามปีเต็ม ข้าเองก็อยู่กับมันแทบจะตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ข้าก็พบว่าร่างกายข้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ข้ามีความสามารถในการต้านยาและพิษต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นระดับหนึ่ง”
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็ประหลาดใจนัก ไม่คิดว่าเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ เรื่องเช่นนี้เป็นโชคดีในโชคร้าย นางจึงเอ่ยขึ้นพร้อมส่ายหัวช้า ๆ “เช่นนั้นต้องไปขอบคุณเสี่ยวเสวี่ยดี ๆ เล่า ครั้งนี้เจ้าคางคกนั่นได้ความดีความชอบไปเต็ม ๆ”
“แน่นอน! มันกลับมาจากเล่นข้างนอกเมื่อไหร่ ข้าจะออกไปจับหนอนเต็มถ้วยกลับมาให้มันด้วยตนเองเลย” ชิงเป่ยพูดด้วยใบหน้าดีใจ
“……”
เสี่ยวเสวี่ยคางคกหิมะพันปี ดื่มเพียงน้ำค้าง กินเพียงดอกไม้สดเท่านั้น แล้วเจ้าจะไปจับหนอนเต็มถ้วยกลับมาให้มัน….. เจ้าพูดจริงหรือ?
เมื่อยามราตรีมาถึง ชิงเป่ยนั่งอ่านตำราวิชาฝ่ามืออสนีบาตฉบับปรับปรุงหน้าเคร่ง หลังจากได้คำชี้แนะจากชิงอวี่ไปบางจุด เขาจึงเข้าใจเนื้อหาในตำรา สามารถสร้างท่าฝ่ามือในระดับรุนแรงกว่าเดิมได้ ส่งผลให้ชิงอวี่พึงพอใจมาก
เสี่ยวเสวี่ยคางคกน้อยนั่งอยู่บนโต๊ะ ปากส่งเสียงแบบคางคกเป็นจังหวะ เหมือนกับกำลังกินบางอย่างอยู่
เมื่อยื่นหน้ามองใกล้ ๆ จึงเห็นว่าบนโต๊ะมีเม็ดยากลมคล้ายหยกขาวอยู่หลายสิบเม็ด เจ้าตัวเล็กเขมือบยาเม็ดเข้าปากไปทีเดียวหลายเม็ด ดูท่าจะพึงพอใจมาก
ดียิ่งนักที่มันมีนักปรุงยาเป็นนายหญิง มันมียาระดับสูงให้กินดั่งขนม นอกจากอิ่มท้องแล้วยังช่วยเพิ่มพลังวิญญาณในการบำเพ็ญเพียรอีกด้วย หลายปีมานี้ ชิงอวี่เลี้ยงเจ้าเสี่ยวเสวี่ยจนกลายเป็นคางคกผิวนุ่มลื่น กล่าวได้ว่าอาจเป็นคางคกที่งดงามที่สุดในใต้หล้านี้
ชิงอวี่ส่ายหน้ามองเจ้าตัวเล็กบนโต๊ะ จากนั้นเดินมาจิ้มพุงมัน สุดท้ายเจ้าตัวเล็กเกือบจะสำลักยาด้วยความตกใจ หายใจเกือบไม่ทัน มันตวัดสายตากลมโตมองนายหญิงของมัน
หวาา! เหตุใดจู่ ๆ จึงเอานิ้วจิ้มพุงข้าเช่นนี้เล่า!? เกือบจะได้กลายเป็นมือสังหารคางคกแล้วนะรู้หรือไม่?!
“หึ! กล้ามองข้าหรือ?” ชิงอวี่เห็นสีหน้ามันแล้วขบขันนัก ยื่นมือไปจิ้มพุงมันอีกครั้งด้วยความสงสัย “เจ้าตัวเล็กเช่นนี้ เหตุใดจึงกินมากนัก? เจ้านั่งอยู่ตรงนี้ กินยาเข้าไปกว่าร้อยเม็ดแล้ว ไม่กลัวอิ่มตายหรือไร? แล้วรู้หรือไม่ว่ามูลค่าของยาที่เจ้ากินเข้าไปนั้นเทียบได้กับหลายแสนตำลึงทองแล้ว?”
ตำลึงทองคือสิ่งใด? คางคกไม่ชอบกินตำลึงทองหรอก ชอบกินขนมก้อนเล็กหวาน ๆ มากกว่า
เสี่ยวเสวี่ยกะพริบตามองนางไม่ใส่ใจ
“เอาล่ะ ๆ เจ้ากินไปให้หมดเลย ข้าจะไปนอนก่อน กินเสร็จแล้วก็อย่าลืมไปจับยุงเล่า อีกทั้งห้ามแอบขึ้นมาบนเตียงข้าเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?” ชิงอวี่พูดขึ้น เลิกคิ้วขึ้นสูง จากนั้นเผยรอยยิ้มดุร้ายขึ้น “หากข้าเห็นเจ้ากระโดดขึ้นมาบนเตียง พรุ่งนี้ข้าจะทำคางคกหิมะตุ๋นน้ำแดงกิน”
เสี่ยวเสวี่ยตัวน้อยสั่นกลัวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยาเม็ดเล็กเม็ดหนึ่งไหลลงคอมันไปในพลัน มันส่งเสียงร้องออกมาอีกสองครั้ง ตอนที่กำลังกลืนยาที่เหลืออยู่บนโต๊ะตัวก็ยังไม่หายสั่น จากนั้นมันก็หลบไปยังมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่ง พยายามทำตัวให้ลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้
คางคกหิมะตุ๋นน้ำแดงคือสิ่งใด ….. เหตุใดจึงฟังดูน่ากลัวนัก?
ที่อีกด้านหนึ่ง มู่ฉือใช้ทุกวิถีทางเพื่อกล่อมพี่สาวผู้เลือดเย็นไร้หัวใจที่รับมือได้ยากนักของเขาให้ออกไปช่วยคน
อย่างไรก็เป็นคนจากสามสำนักใหญ่ แม้ภายในจะไม่ล่วงรู้ แต่ภายนอกก็ต้องทำทีเป็นมิตรต่อกัน อีกทั้งเขายังจะมีตำหนักนักฆ่าที่เร้นกายอยู่ในหุบเขาไร้กังวลติดค้างหนี้บุญคุณเขานั้น ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ได้ประโยชน์นัก
หากแต่คนทั้งสองไม่ล่วงรู้ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด
ตามที่หนึ่งในสิบมือสังหารนามว่าเฟิงฉี กล่าวไว้วันเมื่อวันที่เดินทางมาพบเขา พี่น้องผู้นั้นของเขาไม่อาจพักในสถานที่มืดมิดชื้นแฉะได้ มิเช่นนั้นอาการจะแย่ลง แต่ด้วยตำหนักนักฆ่านั้นตั้งอยู่ในหุบเขา อากาศจึงมีความชื้นสูง พวกเขาจึงย้ายคนเจ็บไปยังเรือนที่อยู่แถบชานเมืองของเมืองหลวงแทน
ที่นั่นมีแสงส่องสว่างอากาศถ่ายเทดีกว่า เฟิงฉีและพวกนำตัวนักปรุงยาคนอื่นมาดูอาการเขาก่อนแล้ว แต่ไม่ทันได้เข้าใกล้คนเจ็บก็กลับวิ่งหนีไปเมื่อเห็นอาการประหลาดที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน
มู่ไหลได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงขึ้นจมูกออกมา คนพวกนั้นถือว่าตนเป็นนักปรุงยาได้อย่างไร ไม่กลัวว่าทำเช่นนี้จะทำให้ชื่อเสียงของเหล่านักปรุงยาต้องเสื่อมเสียหรอกหรือ?
ฉายาว่าสตรีปีศาจไม่ได้มีไว้เพื่ออวดเบ่ง แม้จะเป็นสตรี แต่ก็มีจิตใจแน่วแน่เด็ดเดี่ยวเสียยิ่งกว่าบุรุษ อีกทั้งยังกล้าหาญ สามารถฝึกอสูรวิญญาณดุร้ายให้เชื่องได้ตั้งแต่เพิ่งอายุได้สี่ขวบ นางเกิดมาเพื่อถือครองพลัง ไม่ว่าเผชิญหน้ากับอสูรขนาดยักษ์กินคนตัวไหนก็มิเกรงกลัว
บุรุษภายนอกมากมายชื่นชมคุณหนูแห่งตระกูลมู่ผู้นี้นัก ดังนั้นเฟิงฉีและพวกจึงเชื่อในตัวนาง หวังว่านางจะช่วยพวกเขาได้
กลุ่มคนบนหลังม้าหลายคนขี่ม้ามาเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ถึงที่หมาย
“คือที่นี่” เฟิงฉีเอ่ยขึ้น จากนั้นกระโดดลงจากม้าไปเป็นคนแรก
มู่ไหลยังคงสวมชุดต่อสู้สีดำตัวเดิมของนาง นางมีรูปร่างสูงนัก ยามเดินข้างนางให้ความรู้สึกวางใจ นางยกขาขึ้นข้างหนึ่ง จากนั้นกระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว
มู่ฉือลงจากหลังม้าด้านหลัง จากนั้นเดินตามเข้าไปด้านใน
ภายในเรือนแห่งนั้นเงียบสงัด เหมาะแก่การพักฟื้นกำลังและพักผ่อน เฟิงฉีเดินนำอยู่ด้านหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้น “พวกเราคงต้องรบกวนคุณหนูมู่ครั้งใหญ่แล้ว พี่น้องของข้าถูกพิษนี่ทรมานมาเป็นเวลาหลายเดือน ครั้งนี้หวังว่าจะสามารถช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์ได้”
“ในเมื่อข้ามาแล้วย่อมต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาเขา” มู่ไหลเอ่ยเสียงเรียบ
เฟิงฉีคลี่ยิ้ม ท่าทางวางใจ ตอนที่กำลังจะเอ่ยอีกคำขึ้น เสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้นมาจากห้องด้านใน ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันที