บทที่ 86 ราชันอสรพิษทมิฬ

“หัวหน้า! อย่าทรมานตนเองอีกเลย! หยุดเถอะ”

ชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่งร้องขึ้นด้วยความเป็นกังวล เขาเดินไปเดินมาอยู่แถบนั้นอยู่หลายครั้ง หากแต่ไม่กล้าเข้าไปด้านใน คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรด้วยใบหน้าสับสน

ที่น่ากลัวคือร่างสูงใหญ่ที่ยืนตะคุ่มอยู่ริมหน้าต่าง แสงภายในห้องส่องให้เห็นเป็นเงาหัวงูสีดำหลายเงากำลังส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง ดูท่าพวกมันจะคุมร่างเขาไปกว่าครึ่ง และหัวงูดูท่าจะงอกออกมาเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว เสียงขู่ฟ่อของงูดังขึ้นเป็นระยะ หัวงูที่เจาะร่างเขาออกมาหน้าตาดูดุร้าย

เช่นนั้นไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้อีกต่อไป หากแต่เป็นปีศาจที่ร่างถูกหัวงูนับไม่ถ้วนคุมร่างไว้

ภายในมือเขามีดาบแหลมคมเล่มหนึ่ง ใบหน้าราวคนเสียสติ ตวัดดาบตัดหัวงูเหล่านั้นออกจากร่าง ราวกับว่าทำเช่นนั้นจะทำให้อาการเขาดีขึ้น หากแต่ทุกครั้งที่ตัดหัวงูออก เมื่อหัวงูร่วงลงพื้นก็จะกลายเป็นทะเลเลือด จากนั้นก็งอกร่างขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว

หัวงูเหล่านั้นถูกดาบเขาจนบาดเจ็บ แต่กลับยิ่งทำให้ร่างเขาอ่อนแอลง หัวงูเหล่านั้นงอกออกมาจากร่างเขา ใช้เลือดเนื้อของเขา สิ่งที่เขาทำจึงนับเป็นการทำร้ายตนเองเท่านั้น

“หัวหน้า อย่าทำร้ายตนเองอีกเลย เฟิงฉีพานักปรุงยาตระกูลมู่ คุณหนูมู่มารักษาท่านแล้ว อีกไม่นานท่านก็จะหายดี” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

ชายร่างกำยำอีกคนหนึ่งท่าทางหยาบกระด้างเอ่ยขึ้นเสียงทุ้ม “อาจ้าน เจ้าเป็นเสาหลักแห่งตำหนักนักฆ่า เจ้ารวมสติเพื่อตำหนักนักฆ่าเถอะ เจ้าเคยเป็นบุรุษผู้เย่อหยิ่ง เหตุใดจึงถูกพิษงูเช่นนี้ควบคุมร่างได้!?”

ชายที่ครึ่งร่างเต็มไปด้วยหัวงูที่งอกออกมา นัยน์ตาแดงก่ำ มีสีหน้าเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก เขากัดปากตนข่มความเจ็บปวดแสนสาหัส เลือดไหลออกมาจากปลายริมฝีปากเป็นทางยาว เหล่าหัวงูทั้งหลายชูคอไปมาอย่างบ้าคลั่ง หากใครขี้ตกใจหน่อยเห็นภาพเขาในตอนนี้ก็คงตกใจตายไปแล้ว

“พิษงูหรือ….. นี่ไม่ใช่พิษงู…..” ชายผู้นั้นกัดฟันเปล่งเสียงขึ้นทีละคำ น้ำเสียงแหบพร่าเบาบาง เต็มไปด้วยความสิ้นหวังจนอยากหัวเราะเยาะชะตาตน “ไม่มีใครช่วยข้าได้ ไม่มี…..”

เขาพูดราวกับตนรู้เรื่องบางอย่าง ร่างกายแผ่กลิ่นอายแห่งความตายออกมา ไม่คิดว่าตนจะสามารถรอดชีวิตจากเรื่องในครั้งนี้ไปได้ มีหลายครั้งหลายคราที่เขาอยากจบชีวิตตนลง หากแต่เหล่าพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมากลับไม่ยอมทอดทิ้งเขาไว้สักครั้ง พยายามทำทุกทางเพื่อช่วยชีวิตเขา

ตอนนี้เป็นเวลากลางดึกสงัด ผู้คนต่างหลับใหล หากแต่ในเรือนแถบชานเมืองของเมืองหลวงแห่งหนึ่งกลับยังจุดตะเกียงส่องสว่าง หากไม่ใช่เพราะเฟิงฉีอธิบายไว้ว่าอาการจะกำเริบยามราตรีเท่านั้น มู่ไหลก็คงไม่ต้องอดหลับอดนอนเร่งเดินทางมาเช่นนี้

เมื่อก้าวเท้าเข้ามายังเรือนแห่งนี้ หูก็ได้ยินเสียงคำรามเจ็บปวดดังออกมา ยิ่งทำให้เฟิงฉีพุ่งเข้าไปโดยเร็ว “อาจ้าน คุณหนูมู่มาแล้ว…..”

“เฟิงฉี รีบหลบ…..”

พริบตาที่เปิดประตูออก เงาดำอันชั่วร้ายก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าเขา เฟิงฉีเบิกตากว้าง ก่อนที่จะทันได้ขยับกาย ที่เอวก็ถูกบางอย่างรัดไว้ แส้นุ่มเส้นหนึ่งพันร่างเขาก่อนจะดึงตัวหลบการโจมตีมืดนั้นออกมาได้อย่างหวุดหวิด

เงาดำนั่นจึงพุ่งเข้าใส่ผืนหญ้าแทน ภายใต้แสงจันทร์ เขาเห็นผืนหญ้าที่ถูกเงานั่นซัดกลายเป็นสีดำ ก่อนจะสลายเป็นผงในทันที

เฟิงฉีรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “ขอบคุณคุณหนูมู่ที่ช่วยเหลือ”

หากไม่ใช่เพราะมู่ไหลพันแส้ดึงตัวเขาออกมาได้ทัน เกรงว่าเขาคงจะเหลือแค่โครงกระดูกแล้วเป็นแน่

“ไม่เป็นไร” มู่ไหลหรี่ตาลง หากสิ่งที่นางเห็นนั้นถูกต้อง มันดูราวกับเป็นหัวของอสูรชนิดหนึ่ง

เมื่อมันร่วงลงกับพื้นก็กลายเป็นบ่อเลือด จากนั้นเปลี่ยนหญ้าทั้งแผงให้เน่าเปื่อยไป เมื่อลมพัดผ่านก็ส่งกลิ่นประหลาดโชยออกมา นางรีบเปลี่ยนสีหน้า ตะโกนบอกทุกคนอย่างรวดเร็ว “รีบปิดจมูกปิดปากแล้วกลั้นหายใจ!”

มู่ฉือและเฟิงฉีที่อยู่ข้างนาง ได้ยินดังนั้นก็ทำตามทันที มู่ไหลหยิบยาสองเม็ดออกมา “กินเข้าไปเสีย มันเป็นยาแก้พิษ”

นางเป็นนักปรุงยา คลุกคลีอยู่กับสมุนไพรและยาต่าง ๆ มาตั้งแต่ยังเล็ก มีความไวต่อกลิ่นมากเป็นพิเศษ พิษที่ใช้กลิ่นทำลายร่างไม่อาจส่งผลใดต่อนาง แต่ไม่ใช่กับคนอื่น กระทั่งสูดกลิ่นเข้าไปเพียงนิดก็อาจบาดเจ็บสาหัสได้

เป็นพิษอันใด เหตุใดจึงร้ายแรงเช่นนี้?

มู่ไหลจ้องมองเข้าไปในห้องที่เปิดประตูค้างอยู่อย่างเยือกเย็น เห็นเงาที่คล้ายชายร่างสูงหลายคนอยู่ภายในห้องนั้นจาง ๆ

ภายใต้แสงเทียนส่องกะพริบ ภาพเงาร่างน่าขวัญผวาก็ส่องผ่านหน้าต่างกระดาษ เห็นเป็นเงาคล้ายคนร่างสูงผู้หนึ่ง แต่สูงแบบผิดปกติ ที่หัวเขามีหัวงูยักษ์อ้าปาก แลบลิ้นเป็นแฉกยาวออกมา นัยน์ตาสีแดงฉายแววชั่วร้ายใหญ่ดังระฆังทองสัมฤทธิ์

“นั่นมัน….. ตัวอะไรกัน?” มู่ฉือเบิกตามองภาพนั้นนิ่ง ใบหน้าซีดขาวไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเงาร่างขนาดยักษ์ที่หน้าต่าง

เฟิงฉีเองก็ยืนนิ่งไปเช่นกัน

หัวงูขนาดใหญ่ดูทรงพลังนั่นส่งเสียงขู่ไปทั่ว คลื่นพลังดุดันส่งร่างของชายหลายคนในห้องกระเด็นออกห่างจากมัน

คนเหล่านั้นคือหนึ่งในสิบมือสังหารลึกลับที่มีวิทยายุทธ์ล้ำลึก แต่บัดนี้กลับเหมือนแมลงตัวน้อยที่ไม่อาจต้านพลัง ร่างกระเด็นกระแทกพื้นอย่างแรกแล้วกระอักเอาลิ่มเลือดออกมา

ชายในห้องที่ถูกคุมร่างไว้เสียสติไปแล้วจนสิ้น

“เฟิงฉี….. พาพวกเขาไป!” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นในตอนที่กำลังพยุงร่างตนยืน น้ำเสียงเขาอ่อนแรง แต่ก็ยังพูดต่อ “อาจ้านไม่มีสติ สูญเสียการควบคุมร่างตนไปแล้ว อย่าให้เรื่องของตำหนักนักฆ่าต้องเกี่ยวพันกับคนบริสุทธิ์เลย”

ภายในห้องบังเกิดเสียงคำรามลั่นเมื่อสิ่งมีชีวิตร่างสูงเริ่มเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา

ใบหน้าของชายผู้นั้นปกคลุมไปด้วยเกล็ดงู นัยน์ตาเต็มไปด้วยไอสังหารดุร้าย ครึ่งร่างของเขาเป็นมนุษย์ อีกครึ่งหนึ่งมีหัวงูสีดำน่าสะอิดสะเอียนเจาะเนื้อออกมาจนเต็มพื้นที่

และบนหัวของเขาคือหัวงูยักษ์ที่ผงาดขึ้นสูง นัยน์ตาสีแดงโตของมันมองไปยังคนหลายคนตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น มันแลบลิ้นเป็นแฉกคมออกมา จากนั้นเปล่งน้ำเสียงแหบแสบหูขึ้น “อาหารเยอะจริงเชียว…..”

ใบหน้าทุกคนเปลี่ยนไป เจ้าสิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจตัวนี้พูดภาษามนุษย์ได้ด้วยหรือ? มีเพียงอสูรวิญญาณระดับแปดขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถพูดภาษามนุษย์ได้! หรือว่า…..

ในตอนที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง น้ำเสียงเยือกเย็นดูถูกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เจ้าเป็นตัวอะไรกัน? ข้าเห็นอสูรวิญญาณมามากที่ยังไม่มีร่างเนื้อ แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นอสูรเช่นเจ้า ช่างหาญกล้านัก ถึงกับคิดจะช่วงชิงร่างของมนุษย์”

หัวงูด้านบนสุดได้ยินแล้วก็ชะงักไป มันส่ายหัวไปมา จากนั้นย่อตัวลงมาเพื่อมองนางให้ชัด ๆ เสียงแหบแห้งของมันฟังดูราวกับขบขัน “ตุ๊กตาน้อยตัวนี้น่าสนใจนัก ไม่เกรงกลัวข้าแม้แต่น้อย ข้าเพิ่งเคยพบวิญญาณที่น่าสนใจเช่นเจ้า หากกลืนเจ้าลงไปคงจะช่วยเพิ่มพลังวิญญาณไม่น้อย”

“เสียใจด้วยที่เจ้าได้แต่หวังเท่านั้น” มู่ไหลหรี่ตาลง “ตำราโบราณกล่าวว่า การมีร่างใหญ่โตนั้นคือจุดอ่อน ภาพร่างเจ้ายังดูเบาบางและจางนัก ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ใช่อสูรวิญญาณ หากแต่ได้รับรูปร่างเช่นอสูรวิญญาณมา อีกทั้งยังมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นจึงสามารถพูดภาษามนุษย์ได้เช่นนี้”

ราชันอสรพิษทมิฬดูดเลือดมนุษย์กินเป็นอาหาร ยามค่ำคืนก็ขยายร่าง อีกทั้งเลือดของมันยังมีพิษร้าย สามารถกัดกร่อนสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ได้ เจ้าเป็นราชันของเหล่าอสรพิษ คอยควบคุมงูทั้งหลายให้กัดกินร่างและเนื้อหนังเขา และเมื่อพวกมันคุมร่างไว้ได้ทั้งหมด เจ้าก็จะเข้าสิงมนุษย์คนนั้น”

คำของมู่ไหลไม่เพียงทำให้คนจากตำหนักนักฆ่าตกใจ แม้แต่หัวงูยักษ์เองก็ชะงักไปเช่นกัน มันเบิกตามองนางด้วยใบหน้าที่ดูตกตะลึงไม่น้อย

“เสียดายที่คนผู้นี้มีจิตใจเข้มแข็ง เจ้าสิงมานานหลายเดือนยังไม่อาจเอาชนะเขาได้” มู่ไหลยกมุมปากขึ้นเผยรอยยิ้มเย็น “มนต์ดำอสรพิษระดับสอง ราชันอสรพิษทมิฬ ข้าพูดถูกต้องหรือไม่?”

หัวงูยักษ์หรี่ตาลงมอง แลบลิ้นยาวออกมา “ตุ๊กตาน้อยไม่ธรรมดาจริง ๆ รู้ถึงต้นกำเนิดของข้าได้ ฟ่อ….. แต่พวกเจ้าทั้งหมดต้องตายอยู่ที่นี่”

พูดจบมันก็สั่งให้ร่างที่สิงอยู่เริ่มทำการโจมตี ส่งเงาอสรพิษดำออกไปสิบเงาด้วยการสะบัดฝ่ามือเพียงครั้ง ทุกคนกระโดดหลบในพริบตา เงาดำเหล่านั้นจึงโจมตีลงบ่อน้ำ ส่งผลให้น้ำทั้งบ่อกลายเป็นสีดำสนิท

“พี่ เราจะทำอย่างไรดี? เราจะมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่จริง ๆ หรือ?” มู่ฉือเอ่ยขึ้นด้วยความเศร้าโศก “เป็นความผิดของข้าเอง หากข้าไม่ขอให้พี่มาช่วยคน ก็คงไม่ต้องมาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ ตอนนี้เรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยเรื่องช่วยคนแล้ว ได้แต่ขอให้มีใครมาช่วยเราอย่างเดียว!”

แส้ของมู่ไหลวาดผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยขึ้นในขณะที่ตวัดแส้ทำลายเงาดำพวกนั้น “ข้าเพียงเคยเห็นมนต์ดำอสรพิษเช่นนี้ในตำราแพทย์ของหอตำราตระกูลมู่ ทั้งยังไม่ได้บอกวิธีการถอนคำสาปไว้ ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงกดอาการ ไม่อาจรักษา”

“เช่นนั้นพวกเราก็ไม่รอดกันหมดน่ะสิ?” มู่ฉือทำหน้าราวคนจะร้องไห้ เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาจิตว่อกแว่กเพียงครู่ เกือบถูกเงาอสรพิษเหล่านั้นโจมตีโดนร่าง ส่งผลให้เขาต้องกลับมาสนใจกับการต่อสู้ตรงหน้า ไม่อาจว่อกแว่กไปเรื่องอื่นอีก

คนจากตำหนักนักฆ่ารู้สึกผิดที่ลากผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาอีกสองคน ดังนั้นจึงพยายามป้องกันสองพี่น้องอย่างเต็มที่ คิดจะให้ทั้งคู่หนีไป อย่างไรเรื่องราวก็เกินกว่าที่คาดคิดไว้มากนัก พวกเขาไม่จำเป็นต้องล่วงเกินตระกูลนักปรุงยาถึงเพียงนี้

“คุณหนูมู่ พวกข้าโง่เขลา ดึงพวกท่านเข้ามาเกี่ยวพัน ขอบคุณท่านที่คิดช่วยเหลือ แต่พวกท่านรีบออกไปจากที่นี่เสียเถอะ” เฟิงฉีเอ่ยขึ้นยามเข้ามาใกล้

มู่ไหลส่ายหัวขมวดคิ้ว “ข้าสัมผัสได้ว่าราชันอสรพิษทมิฬตัวนี้แผ่ไอสังหารออกมา ไม่ปล่อยข้าไปโดยง่ายแน่ หากข้าจากไปตอนนี้ ไม่เพียงแต่พวกเจ้าจะถูกสังหารกันหมด แต่มันจะยิ่งบ้าคลั่งจากการได้สังหารคน ยิ่งต้องการสังหารหมู่เพิ่มเป็นแน่ เมืองหลวงอยู่ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก มันต้องทำให้ผู้คนตื่นตกใจแน่”

“เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี? แต่นี่ไปตำหนักนักฆ่าก็จะหายไปอย่างสิ้นซากงั้นหรือ!?” เฟิงฉีเอ่ยพร้อมเสียงถอนหายใจเศร้า

มู่ไหลดวงตาทะมึน จากนั้นเอ่ยขึ้นเสียงเบา “หากข้าสามารถตามหาสหายของข้าพบ ไม่แน่….. ยังอาจพอมีหวัง นางรู้มนต์ดำและคำสาป อีกทั้งยังมีวิชาแพทย์เหนือกว่าข้า”

เฟิงฉีหลบการโจมตีเงาดำของงูยักษ์ พยายามพูดตอบนาง “จริงหรือ? แล้วสหายของท่านอยู่ที่ใด?”