ทั้งสองคนทะเลาะเหมือนเด็กๆ ไปครั้งหนึ่ง กระทั่งนั่งลงมาอีกครั้ง จิตใจและอารมณ์ก็สงบพอจะคุยกันได้แล้ว

เฉินลั่วนั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้าน รับมื้อเช้าพร้อมกับหวังซี

หวังซีเห็นเขากินซาลาเปาไส้ผักสองลูก ซาลาเปาไส้เนื้อสองลูกและโจ๊กขาวหนึ่งถ้วยคู่กับผักดองเค็มและผักดองน้ำปรุงรสถั่วเหลืองนั่นแล้ว ลอบรู้สึกไร้คำพูดอย่างห้ามไม่อยู่

ซาลาเปานั่นมิใช่แบบที่เรือนครัวเล็กของพวกนางทำออกมา ที่อย่างมากก็ใหญ่เท่าจอกสุราเท่านั้น แต่ซาลาเปาที่เรือนครัวบ้านเฉินลั่วทำออกมานั้น แต่ละลูกใหญ่เท่ากำปั้นบุรุษ เปลือกนอกหนาไส้ก็มาก น่าเชื่อถือกว่าที่ขายในหอสุราด้านนอก ยังมีผักดองเค็มและผักดองน้ำปรุงรสถั่วเหลืองเหล่านั้นอีก บรรจุไว้ในชามกระเบื้องขนาดใหญ่ หากตั้งไว้ในห้องของนาง นับรวมพวกไป๋กั่วด้วยแล้วก็ยังต้องกินสองถึงสามวันถึงจะหมด

หวังซีเคยได้ยินพี่ชายใหญ่ของนางกล่าวว่า คนทางเหนือเป็นคนจริง กินอะไรล้วนชอบใช้ชามกระเบื้องขนาดใหญ่ แต่ที่นี่คือจิงเฉิง ตอนนางไปกินข้าวที่หอสุราก็มิได้มีปริมาณเต็มมากขนาดนี้

นางตกใจ

นอกเสียจากว่าเป็นทหารในค่ายหรือไม่ก็คนใช้แรงงานเหล่านั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจกินข้าวปริมาณมากขนาดนี้ได้

แต่เฉินลั่วผู้นั้นกลับกินอย่างเป็นปกติ

นางใช้โอกาสตอนบ้วนปากหลังอาหารแอบถามไป๋กั่วว่า เจ้าเคยไปดูที่เรือนครัวมาแล้วใช่หรือไม่ พ่อครัวผู้นั้นเป็นคนเช่นไรหรือ

ไป๋กั่วกระซิบกล่าว เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ร่างไม่สูง แต่แข็งแรงกำยำยิ่ง ดูแล้วไม่เหมือนคนเป็นพ่อครัว ทว่ามือเท้ากลับคล่องแคล่วว่องไว ยามนวดแป้งคล้ายไม่ต้องใช้แรงอย่างไรอย่างนั้น ดูเบาและสบายมือเป็นอย่างมาก

แม้นอาหารที่ทำออกมาจะดูหยาบ ทว่ามีรสชาติเฉพาะของตัวเอง ไม่เหมือนทำออกมาอย่างลวกๆ

แปดถึงเก้าในสิบส่วนน่าจะเป็นพ่อครัวที่คุ้นชินกับการทำอาหารปริมาณมากในค่ายทหาร

แต่ในบ้านผุพังหลังหนึ่งของเฉินลั่วแบบนี้ เหตุใดต้องเชิญพ่อครัวเช่นนี้มาด้วย

ไหนจะท่าทางการกินข้าวของเฉินลั่วอีก ดูไม่เข้ากับสถานะและตำแหน่งของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

นึกถึงที่เฉินลั่วก้มศีรษะให้นางสองครั้งขึ้นมาอีก หวังซีพันนิ้วกับผ้าเช็ดหน้า ครู่ใหญ่ถึงกล่าวกับไป๋กั่วเสียงหนึ่ง เสร็จแล้ว เดินนำข้ารับใช้ข้างกายไปที่ห้องโถง

บ้านเล็กเกินไปก็มีข้อเสียที่ตรงนี้ จะกินข้าวดื่มน้ำชาก็ต้องอยู่ร่วมกัน

จานชามในห้องโถงถูกจัดเก็บไปหมดเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าในอากาศยังคงมีกลิ่นอาหารหลงเหลืออยู่

ไป๋กั่วจุดธูปดอกไป่เหอดอกหนึ่ง ไม่เห็นเฉินลั่วมีท่าทีไม่พอใจอะไร ถึงได้พาไป๋จื่อและคนอื่นๆ ถอยออกไป

หวังซีดื่มชาคำหนึ่ง

เปลี่ยนเป็นชายอดเหลืองของเหมิงซานที่ตัวเองเอามาด้วย

กลิ่นชาบริสุทธิ์ทำให้จิตใจนางแจ่มใสมีชีวิตชีวา

เฉินลั่วจิบไปคำหนึ่งกลับถามอย่างลังเลว่า นี่…คือชาเหมาเฟิงของเอ๋อเหมยหรือ

หวังซีประหลาดใจ

เฉินลั่ว…เขาไม่รู้เรื่องชา

นี่ไม่น่าเป็นไปได้

บุตรหลานของตระกูลชั้นสูงใดบ้างมิได้มีชีวิตอย่างหรูหรา มีอาหารการกินเสื้อผ้าและของใช้อย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งไปกว่านั้นจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นตระกูลทรงอำนาจมาโดยตลอด ไม่เคยตกต่ำมาก่อน เป็นไปไม่ได้ที่เฉินลั่วจะไม่รู้เรื่องพวกนี้

นางกดความรู้สึกผิดปกติเก็บไว้ในใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า นี่คือชายอดเหลืองของเหมิงซาน เจ้าดูสีน้ำชานี้ ใสกระจ่างเลยใช่หรือไม่ แล้วก็ดูใบชานี้ ล้วนเป็นสีเหลืองอ่อนทั้งสิ้น มันจึงได้ชื่อมาด้วยประการฉะนี้

เฉินลั่วมองแล้ว ร้อง อ้อ เสียงหนึ่งโดยไม่แสดงความคิดเห็น ท่าทางเหมือนไม่อาจบอกรายละเอียดหนึ่งสองได้ แล้วก็ไม่ค่อยสนใจด้วย

หวังซียังมีความสงสัยอยู่ ถือโอกาสหยั่งเชิงเขา กล่าวยิ้มๆ ว่า ปกติใต้เท้าเฉินชอบดื่มชาอะไรหรือ ครอบครัวของพวกข้าก็ทำการค้าใบชาด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าตลาดหลักๆ คือภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขายชาหมักมากกว่า แต่ชาเขียวและชาขาวอะไรต่างๆ นั้น หากต้องการนำมาสะสมที่บ้านเป็นการส่วนตัวก็มิใช่เรื่องยากอะไร

เฉินลั่วกลับถามขึ้นว่า เจ้าบอกว่าคนที่บ้านเจ้าชอบดื่มชาเหมาเฟิงของเอ๋อเหมยมิใช่หรือ

เป็นท่านปู่ของข้าที่ชอบดื่มมาก หวังซียิ้มตาหยีกล่าว แต่ข้านั้นอะไรก็ได้ ขอเพียงเป็นชาดี ข้าล้วนชอบทั้งสิ้น ช่วงเวลานี้นอกจากชาเขียวอย่างชาหลงจิ่งและชาปี้หลัวชุนประเภทนี้แล้ว ก็เป็นฤดูที่เหมาะกับการดื่มชาเหลืองและชาขาว ข้าไปวัดเจินอู่ครานี้ หลงจู๊ใหญ่ของพวกข้าร่วมทางไปกับข้าด้วยมิใช่หรือ เขามอบชาให้ข้ามาสองสามจิน[1] ข้าไม่ได้ดื่มมาระยะหนึ่งแล้ว จึงนำออกมารับรองท่าน อยากดูว่าท่านจะชอบหรือไม่

นางดื่มชาบรรณาการของเขาแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจอย่างสุภาพ ก็ย่อมนำชาดีมารับรองเขาด้วยเช่นกัน

เฉินลั่วพยักหน้า จบหัวข้อสนทนานี้ลงอย่างกะทันหัน เอ่ยถึงท่านหมอเฝิงขึ้นมา ข้าอยากให้เขาช่วยแนะนำหมอที่ยอมเข้าวังไปถวายการรักษาฮ่องเต้ให้ข้าสักคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาจะมีตัวเลือกในแวดวงนี้บ้างหรือไม่ หากไม่มี คงต้องขอให้ท่านหมอเฝิงช่วยคิดหาวิธีให้ข้าสักอย่างถึงจะดี

ฮ่องเต้มีอาการใจสั่น ความจริงแล้วการที่พวกขุนนางแนะนำท่านหมอผู้หนึ่งให้เป็นเรื่องไม่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง หากหมอผู้นี้รักษาหายได้ยังดี แต่ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้น คนแนะนำต้องถูกลากเข้ามารับผิดชอบด้วยเป็นแน่ แต่เฉินลั่วไม่เหมือนกัน นอกจากเขาจะเป็นขุนนางแล้ว ยังเป็นหลานชายของฮ่องเต้อีกด้วย หลานชายแนะนำหมอให้คนเป็นลุง ความเอาใจใส่นั่นก็นับเป็นความกตัญญู

เพียงแต่ว่าการเอ่ยถึงครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ ดูผิดปกติเล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้นยังเอ่ยต่อหน้านางอีก

หวังซียิ้มกล่าว นี่ท่านอยากให้ครอบครัวของข้าช่วยเจ้าหาหมอมาถวายการรักษาอาการพระทัยสั่นให้ฮ่องเต้อีกสักคนใช่หรือไม่

สติปัญญาล้ำเลิศอย่างที่คาดไว้จริงๆ

คุยกับคนเช่นนี้ไม่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรง

เฉินลั่วพยักหน้า กล่าวว่า เรื่องนี้สำคัญมาก

หวังซียิ้มแต่ไม่กล่าวสิ่งใด

สำคัญมากจริงๆ

ยิ่งเฉินลั่วได้รับตำแหน่งสำคัญต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้เท่าไร ก็เป็นผลดีต่อตระกูลหวังมากเท่านั้น

แต่เขาไม่บอกอะไรนางเลยสักอย่าง ก็เลยดูไม่จริงใจเล็กน้อย

คาดว่าเฉินลั่วเองก็คิดถึงข้อนี้แล้วเช่นกัน เขากระแอมไอเบาๆ อย่างอึดอัดใจครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า ที่ข้าไม่บอกเจ้า ก็เพื่อเป็นการดีต่อตัวเจ้าเอง บางครั้ง รู้มากเกินไปก็มิใช่เรื่องดี

หวังซียิ้มกล่าว ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

อย่างเรื่องที่สวนป่าของศาลากวางร้อง นางรู้มากเกินไปมิใช่เรื่องดี

แต่วันนี้ นางกับเฉินลั่วกำลังจะลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากยังไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ก็มิใช่เรื่องดีอะไรเช่นกัน

นางกล่าวต่อไปว่า ท่านปู่ของข้าชอบดึงคนรุ่นเด็กๆ อย่างพวกข้าไปเล่าเรื่องเก่าๆ สมัยเขายังหนุ่มให้ฟังเป็นที่สุด เขาเคยเล่าให้ข้าฟังว่า ตอนเขาเป็นเด็กเขาเกียจคร้านมาก ทำอะไรก็ชอบเดินทางลัดทั้งสิ้น ตอนที่เขาเพิ่งเริ่มเข้ามาแตะกิจการของตระกูลนั้น ถูกท่านปู่ทวดของข้าจับไปเป็นหลงจู๊รองที่ร้านขายของชำ ณ อำเภอไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่ง ท่านปู่ของข้าไม่ชอบที่ต้องตื่นแต่เช้าทำงานจนดึกดื่นเหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจตายทุกวันแต่ทำเงินได้เพียงไม่เท่าไร ทำได้ไม่กี่วันก็ไม่อยากทำแล้ว…

…จึงบอกท่านปู่ทวดของข้าว่า ให้ท่านปู่ทวดของข้ามอบร้านให้เขาหนึ่งร้าน ภายในเวลาหนึ่งปี หากเขาทำการค้าได้ดีกว่าหลงจู๊คนเก่า ท่านปู่ทวดของข้าต้องรับปากเขา ให้เขาไม่ต้องไปเป็นเด็กฝึกหัดอีก…

…ท่านปู่ทวดของข้ารับปาก…

…ท่านปู่ทวดของข้าจึงมอบร้านขายของชำที่เมืองแห่งหนึ่งให้ท่านปู่ของข้าลองฝึกปรือฝีมือ…

…ท่านปู่ของข้าเรียกเสมียนเล็กใหญ่และหลงจู๊ของที่ร้านมากินข้าวด้วยกันมื้อหนึ่ง บอกพวกเขาว่าปีหน้าต้องทำเงินให้ได้จำนวนเท่าไร จากนั้นแต่ละเดือนต้องทำเงินให้ได้จำนวนเท่าไร และแต่ละวันต้องทำเงินให้ได้จำนวนเท่าไร หากทำได้ไม่ถึงเป้า ต้องหักเบี้ยรายเดือนจำนวนเท่าไร แต่ถ้าทำถึงเป้า จะสมนาคุณเพิ่มเข้าไปในเบี้ยรายเดือนจำนวนเท่าไร…

…ให้ทุกคนคิดหาวิธีว่าจะทำเงินให้มากขึ้นได้อย่างไร…

…คนเหล่านั้นรู้ว่าท่านปู่อาจได้เป็นนายใหญ่ในอนาคต ทั้งยังได้เบี้ยรายเดือนเพิ่มขึ้นด้วย ทุกคนจึงเค้นเรี่ยวแรงเสนอความคิดให้ท่านปู่ ยังออกไปสำรวจตลาดและชักชวนลูกค้าด้วยตัวเองอีกด้วย ส่วนท่านปู่ของข้านั้น เพียงต้องรักษาความสัมพันธ์กับทางการไว้ให้ดี ไปมาหาสู่กับลูกค้ารายใหญ่สองสามเจ้าก็พอ แม้นจะต้องเข้าสังคมร่ำสุราอยู่บ่อยๆ ทว่าทุกวันนอนจนตะวันขึ้นสูงถึงสามปล้องไม้ไผ่ได้…

…ท่านปู่ของข้ารู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ถึงเรียกว่าชีวิต…

…ยิ่งไปกว่านั้นไม่ถึงครึ่งปีเขาก็ทำเงินที่เป็นรายได้ของปีก่อนทั้งปีกลับมาได้แล้ว…

…ทำเอาคนแก่หนึ่งกลุ่มตกใจจนดวงตาแทบกระเด็น…

…ท่านปู่ของข้าบอกว่า นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็รู้สึกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำการค้าคือการกำหนดเป้าหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อทุกคนรู้ว่าเป้าหมายอยู่ที่ใดแล้ว ถึงจะรู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น…

…ต่อมาเมื่อท่านปู่ของข้ารับช่วงดูแลกิจการของตระกูลต่อจากท่านปู่ทวดของข้าแล้ว ก็ขยับขยายกิจการของตระกูลพวกข้าให้ใหญ่ขึ้นไปอีกกว่าหนึ่งเท่าตัว…

…ข้าคิดว่า ใต้เท้าเฉินเองก็เรียนรู้จากท่านปู่ของข้าได้…

…ท่านคิดว่าอย่างไร

เฉินลั่วมองนางมิได้กล่าวอะไร ทว่าแววตาดูลึกล้ำเล็กน้อย

หวังซีลอบถอนหายใจ

หลงจู๊ที่ไม่ฟังคำแนะนำอย่างจริงใจ ไม่ใช่หลงจู๊ที่ดี

หากเฉินลั่วเป็นคนเช่นนั้น นางควรตัดความร่วมมือกับเขาดีหรือไม่

ขณะที่นางกำลังขบคิดใคร่ครวญอยู่ในใจนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าเฉินลั่วกลับเอ่ยขึ้นอย่างปุบปับว่า ที่เจ้ากล่าวมามีเหตุผล เนื่องจากปู่ของเจ้าทำสำเร็จ เห็นได้ชัดว่าวิธีการนี้ใช้ได้

หวังซีดีใจ

เฉินลั่วกล่าว อย่างที่เจ้ากล่าวมา อาการประชวรของฮ่องเต้กับการแต่งตั้งรัชทายาทเป็นสองเรื่องใหญ่ของราชสำนักในเวลานี้ แม้นบอกว่าเรื่องใหญ่สองเรื่องนี้แตกต่างกัน แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเรื่องเดียวกัน ถึงข้าจะเป็นหลานชายของฮ่องเต้ บรรดาองค์ชายทั้งหมดล้วนเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าทั้งสิ้น แต่เนิ่นนานหลายปีขนาดนี้ฮ่องเต้ก็ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาทเสียที ข้าเองก็อยากรู้เหลือเกินว่าพระทัยของฮ่องเต้ทรงคิดอย่างไรกันแน่…

…แต่หนึ่งเดือนก่อนหน้า มีวันหนึ่งที่ข้าปฏิบัติหน้าที่อยู่ ฮ่องเต้กลับทรงมีอาการพระทัยสั่นอย่างกะทันหัน คนที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ในเวลานั้นคือไป๋ต้าจิ่นที่ถวายการรับใช้ฮ่องเต้มาตั้งแต่ตอนที่ยังประทับอยู่ตำหนักเฉียนตี่ก่อนขึ้นครองราชย์ เขาไม่กล้าแพร่งพรายออกไป มาหาข้าด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ให้ข้าอย่าทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก รีบไปตามหมอหลวงหยางที่ตรวจชีพจรให้ฮ่องเต้บ่อยๆ มา…

…เพียงแต่ว่าตอนที่ข้ากับหมอหลวงหยางไปถึง ฮ่องเต้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว…

…ข้าค้นพบว่าในห้องทรงพระอักษรของพระตำหนักเฉียนชิงจุดธูปดอกหนึ่งเอาไว้…

…ข้าถวายการรับใช้อยู่ข้างวรกายฮ่องเต้เป็นประจำ ข้างวรกายฮ่องเต้มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียวคนที่ถวายการรับใช้อยู่ข้างวรกายอย่างพวกข้านี้สมควรต้องรู้ และต้องรู้ด้วยว่าของเหล่านั้นมาจากที่ใด…

…ปกติไป๋ต้าจิ่นไม่เคยปิดบังข้า…

…แต่ครั้งนี้ พอเขาค้นพบว่าข้าสังเกตเห็นธูปดอกนั้นแล้ว นอกจากไม่อธิบายที่มาของมันกับข้าแล้ว ยังแสร้งทำเป็นไม่มีความผิดปกติอะไรอาศัยจังหวะที่ข้าหมุนกายหยิบธูปดอกนั้นไปซ่อนเสีย…

…ข้าจึงรู้ว่าในเรื่องนี้มีความผิดปกติซ่อนอยู่…

…แต่ไป๋ต้าจิ่นเป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยที่สุด ทั้งยังไม่ผูกสัมพันธ์กับผู้ใด ต่อให้เป็นข้า ก็ไม่อาจล้วงสิ่งที่เขารู้ออกจากปากของเขาได้…

…แรกเริ่มข้าเพียงสงสัย อยากหาทางตามหาธูปดอกนั้นให้เจอ อยากรู้ว่าธูปดอกนี้มาจากที่ใด

กล่าวถึงตรงนี้ เขาหยุดครู่หนึ่ง นัยน์ตามีความคับข้องใจสายหนึ่งวาบผ่าน

ในหัวของหวังซีเริ่มคิดอะไรอย่างไร้ขีดจำกัดขึ้นมาอีกแล้วอย่างห้ามไม่อยู่ ยังช่วยกล่าวต่อคำของเขาด้วยว่า ผลปรากฏว่าเจ้าค้นพบว่าไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไรเจ้าก็หาที่มาของธูปดอกนี้ไม่เจอ หลังจากที่ตัดขุนนางในราชสำนักกับข้าราชบริพารใกล้ชิดออกแล้ว เจ้าสงสัยว่าธูปดอกนี้เป็นของพระสนมสักคนในวังที่ถวายให้

ไม่ผิด! เฉินลั่วมองหวังซีครั้งหนึ่ง แววตาสงบและราบเรียบ ทำให้หวังซีนึกถึงท้องฟ้าก่อนจะมีพายุฝนขึ้นมา นิ่งสงบทว่าฝืนระงับไว้อยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮาหรือว่าซูเฟย ล้วนมิใช่คนไม่รู้กฎระเบียบประเภทนั้น ที่ผ่านมาฮ่องเต้ไม่เคยรับยาหรืออาหารที่พวกนางถวายให้โดยไม่ผ่านสำนักกิจการภายใน

เร็วๆ นี้ฮ่องเต้เองก็มิได้โปรดปรานเหม่ยเหรินท่านไหน หวังซีกล่าว

หากในวังมีเหม่ยเหรินผู้โชคดีคนใหม่ เฉินลั่วย่อมจะสงสัยเหม่ยเหรินผู้นั้น คงไม่จับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนตอนนี้

หากธูปดอกนี้เป็นของที่พระสนมในวังหลังถวายให้ จะต้องเป็นคนเก่าแก่ในวังอย่างแน่นอน นางกล่าวต่อไป คนผู้นี้ถวายสิ่งของให้ฮ่องเต้อย่างลับๆ ได้ ฮ่องเต้ยังใช้มันในยามคับขันโดยไม่สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียวด้วย เห็นได้ชัดว่าพระสนมท่านนี้ต่างหากที่เป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยและโปรดปรานที่สุด!…

…หากนางมีโอรส ไม่แน่ว่าโอรสที่นางให้กำเนิดต่างหากคือคนที่ฮ่องเต้ทรงคิดจะแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท

เฉินลั่วมองหวังซีอย่างลึกล้ำ มิได้ปฏิเสธถ้อยแถลงของนาง แต่นิ่งเงียบขึ้นมาอีกครั้ง

………………………………………………………………..

[1] จิน หนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม

ตอนต่อไป