พอเฉินลั่วเงียบ บรรยากาศภายในห้องพลันหยุดชะงักไปด้วยเล็กน้อย
หวังซีรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ
เฉินลั่วคงไม่พูดเรื่องพวกนี้กับนางโดยไม่มีเหตุผล เขาต้องการทำอะไรกันแน่
หากอันตรายมาก นางควรจะรับปากหรือควรจะหาข้ออ้างหนึ่งเพื่อปฏิเสธดี?
หวังซีไม่รู้ตัวว่าวิธีคิดของตัวเองในเวลานี้กับก่อนหน้านี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อก่อนหากนางพานพบกับเรื่องเช่นนี้ คงวิ่งหนีจนไม่เห็นเงาไปนานแล้ว วันนี้กลับยังครุ่นคิดอยู่ตรงนี้ว่าสุดท้ายแล้วตนควรจะให้ความช่วยเหลือหรือไม่…
นางนึกถึงเรื่องไม่ปกติบนตัวของเฉินลั่วเหล่านั้นแล้ว อดถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจไม่ได้
ผู้อื่นต่างอิจฉาที่เฉินลั่วถือกำเนิดมาจากตระกูลดี แต่เกรงว่าเฉินลั่วจะเป็นตะกั่วที่ฉายแสงเหมือนเงิน มีเพียงสถานะเท่านั้นที่ดูดี
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว นางก็รู้สึกว่าเฉินลั่วสู้ตัวเองไม่ได้ขึ้นมาอีกครั้ง
ตนมีเรื่องอะไร ทั้งมีญาติพี่น้องในครอบครัวปกป้องและมีบ่าวรับใช้ข้างกายคอยช่วยเหลือ แต่เฉินลั่วกลับเหมือนคนโดดเดี่ยวเดียวดายผู้หนึ่ง
หวังซีพลันบังเกิดความเห็นใจ ไม่อยากคิดบัญชีเรื่องก่อนหน้าเหล่านั้นแล้ว เอ่ยขึ้นก่อนว่า ใต้เท้าเฉิน เช่นนั้นต่อจากนี้ไปท่านมีแผนการอะไรหรือ
มีแผนการอะไรอย่างนั้นหรือ
เฉินลั่วพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เขามองหวังซีอย่างว่างเปล่า
ลูกตาของหวังซีดำแวววาว คล้ายเลี้ยงปรอทดำไว้ในปรอทขาว ไม่เพียงมีสีดำตัดขาวชัดเจน ยังกลอกไปมาอย่างว่องไว แค่มองก็ทำให้คนรู้สึกได้แล้วว่าเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ
เฉินลั่วหลุดยิ้มออกมาอย่างกะทันหัน
ตนแสวงหาความเฉลียวฉลาดนี้ของนางมิใช่หรือ
เหตุใดพอเรื่องราวมาอยู่ตรงหน้าแล้ว กลับรู้สึกพูดไม่ออกอีกแล้ว
เพราะกลัวว่านางจะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย? หรือเพราะรู้สึกว่าหากความกังวลใจเล็กน้อยนั่นของตนถูกตีแผ่ออกมาต่อหน้านางแล้ว อาจทำให้นางดูแคลน?
เฉินลั่วก้มหน้าลง
แต่ต่อให้เขาวางมือตอนนี้ หากจิงเฉิงต้องวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ด้วยความขี้ขลาดของจวนหย่งเฉิงโหวแล้ว คงปกป้องนางไม่ได้ ส่วนเรื่องอัตตา จากที่เขาหันกลับไปกล่าวขอโทษนางสองครั้ง…ก็น่าจะไม่มีอัตตาหลงเหลือมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ตนยังจำเป็นต้องหาข้ออ้างให้กับความขี้ขลาดอ่อนแอของตัวเองอีกหรือ
เขาต้องปีนขึ้นมาจากโคลนตม ยังมีอะไรที่สำคัญไปกว่านี้อีก
เฉินลั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองหวังซี
เวลานี้ ดวงหน้าของเขาประดับรอยยิ้ม ในดวงตามีชีวิต สีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน องอาจกล้าหาญ ราวกับกลายเป็นเด็กหนุ่มที่รำกระบี่อยู่ในป่าไผ่ผู้นั้นอีกครั้ง
หวังซีมองแล้วตะลึงงันไปเล็กน้อย
เฉินลั่วกล่าว คุณหนูหวังคงจำเฉาอวิ๋นที่วัดต้าเจวี๋ยได้กระมัง
หวังซีพยักหน้า
หากมิใช่เพราะเฉินลั่วสอดเท้าเข้ามากลางทาง นางก็คงจับเฉาอวิ๋นโยนเข้าคุกหลวงไปตั้งนานแล้ว
เจ้ายังให้เขาช่วยทำเครื่องหอมให้เจ้าด้วยนี่! นางกล่าว
น้ำเสียงเป็นทุกข์ คล้ายแมวที่ขออาหารไม่ได้ตัวหนึ่ง ทำให้เฉินลั่วใจอ่อนยวบ เกือบจะหัวเราะออกมา
ก่อนหน้านี้ที่ข้าไปวัดต้าเจวี๋ยก็เพราะอยากใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของเฉาอวิ๋น เขากล่าว หลายปีมานี้เฉาอวิ๋นอาศัยวัดต้าเจวี๋ย ขายเครื่องหอมได้เป็นอย่างดี นายหญิงของตระกูลใหญ่ทรงอำนาจชั้นสูงต่างๆ ไม่มีที่เขาไม่รู้จัก ตำหนักในวังหลังนั้นไม่เหมือนบ้านของคนทั่วไป การจะเอาของสักชิ้นหนึ่งเข้าไปมิใช่เรื่องง่าย ต่อให้เป็นจวนชิ่งอวิ๋นโหวนำของอะไรเข้าวังไปถวายฮองเฮาก็ตาม แต่หากมีคนเจตนาจริงๆ ก็รู้ได้ดุจเดียวกัน
แต่ภิกษุนักพรตนั้นเป็นคนที่มีสถานะค่อนข้างพิเศษ
ปกติผู้คนทั้งไม่เห็นพวกเขาเป็นสตรีและไม่เห็นเป็นบุรุษ
ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา บรรดาป้ารับใช้ในเรือนชั้นในของตระกูลหวังเหล่านั้น สำหรับบุรุษพวกนางไม่ละสายตาเลยแม้แต่ครู่เดียว สำหรับแขกสตรีก็คอยระแวดระวังเงียบๆ อย่างไม่ให้ซุ่มเสียง มีเพียงภิกษุนักพรตเท่านั้น มักรู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนละทางโลก ไม่ข้องเกี่ยวกับโลกมนุษย์ ไม่เพียงให้ความเคารพอย่างสูงเท่านั้น ยังชอบช่วยทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ตนมีกำลังทำได้ให้พวกเขาอีกด้วย โดยหวังว่าพวกเขาจะช่วยพูดอะไรให้พวกนางต่อหน้าพระพุทธองค์สักสองประโยค ให้ชาติหน้าพวกนางได้ไปเกิดยังท้องที่ดี ได้เป็นคนวาสนาดีมีความสุขผู้หนึ่ง
ดังนั้นพวกผู้อาวุโสในบ้านทุกคนจึงกล่าวเตือนคนรุ่นหลังอยู่เสมอว่า ภิกษุนักพรตแม่ชีนั้นเป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัววุ่นวายได้ง่าย หากอยากไหว้พระขอพร ทำข้างนอกได้ แต่ไม่อาจให้พวกเขาเข้ามาในเรือนชั้นในได้
หวังซีพลันเข้าใจเรื่องราว
รู้สึกว่าการปรากฏตัวที่วัดต้าเจวี๋ยของเฉินลั่ว อีกทั้งยังพยายามปกป้องเฉาอวิ๋นทั้งซ้ายและขวานั้น บัดนี้ได้รับคำอธิบายกระจ่างแล้ว
นางถาม เจ้าสืบเจออะไรมาใช่หรือไม่
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่จับตามองวัดต้าเจวี๋ยและไม่จับตามองเฉาอวิ๋นเอาไว้
เฉินลั่วพยักหน้า ตอบ ข้าตรวจสอบบันทึกการเข้าออกวังทั้งหมดของวังหลังแล้ว ในสองเดือนนั้น มีเพียงภิกษุจากวัดต้าเจวี๋ยเท่านั้นที่ส่งธูปไหว้พระเข้ามาจำนวนหนึ่งผ่านสำนักพระราชวัง โดยแบ่งแจกจ่ายไปให้พระสนมแต่ละตำหนัก นอกเหนือจากนี้แล้ว ก็ไม่มีความผิดปกติอะไรอีก เนื่องจากระยะก่อนพระพลานามัยของฮ่องเต้ไม่สู้ดี เพื่อให้ฮ่องเต้ได้พักผ่อนดีๆ แล้ว ฮองเฮาเหนียงเหนียงถึงกับมีรับสั่งห้ามมิให้หกตำหนักไปรบกวนโดยไม่จำเป็น ทำให้พระสนมที่หกตำหนักต่างพร่ำบ่นกันเล็กน้อย
หวังซีเอ่ยถามอย่างลังเลว่า แต่เฉาอวิ๋นเองก็ไม่รู้จักผงธูปหอมนี้เหมือนกันมิใช่หรือ
เฉินลั่วกล่าว รู้หรือไม่รู้นั้น ยังบอกไม่ได้ ข้าเองก็เพียงทดสอบเขาดูเท่านั้น ต่อมาเมื่อรู้สาเหตุที่พวกเจ้าตามหาเขาแล้ว ข้ารู้สึกว่าเขาผู้นี้เป็นคนศีลธรรมต่ำ มิใช่คนที่ขอความช่วยเหลือได้ ข้าจึงไม่ได้พูดเรื่องผงธูปหอมกับเขา แต่ข้าก็กลัวว่าอาจมีเรื่องราวไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ จำต้องใช้เรื่องทำเครื่องหอมเป็นข้ออ้างรั้งเขาเอาไว้ มิให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่าพอเขาถูกพวกเจ้าจับโยนเข้าคุกหลวงไปจริงๆ แล้ว ข้าไม่มีคนให้ใช้งานได้แม้แต่คนเดียว
หวังซีได้ยินแล้วมีแสงสว่างวาบเข้ามาในหัว เอ่ยถามอย่างราบเรียบว่า เจ้าไม่มีคนให้ใช้งานได้เลยใช่หรือไม่
ไม่อย่างนั้นคงไม่จำเป็นต้องฝืนบีบจมูกปล่อยให้เฉาอวิ๋นมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อยทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาเป็นคนเนรคุณ
เฉินลั่วไม่กล่าวอะไร
นี่ก็เป็นการยอมรับกลายๆ แล้ว
บุตรชายของจวนกั๋วกงผู้หนึ่ง อยากสืบอะไรลับๆ สักหน่อยก็ไม่มีมือมีเท้าช่วยวิ่งไปทำให้เลยแม้แต่คนเดียว
ตระกูลหวังของพวกเขานั้นไม่ต้องพูดถึงพี่ชายใหญ่ของนางเลย แค่พี่ชายรองของนาง คลอดออกมาก็หาบ่าวชายเด็กและผู้ติดตามที่เป็นลูกของบ่าวในบ้านมารับใช้อยู่ในเรือนของเขาได้หลายคนแล้ว กระทั่งเริ่มเข้าเรียน ยังเลือกอีกสองสามคนมาเรียนหนังสือเป็นเพื่อนเขาด้วย เมื่อโตขึ้นอีกสักหน่อย บ่าวชายเด็กและผู้ติดตามสมัยที่เขายังเด็กโตเป็นผู้ใหญ่ สมควรแต่งงานมีอาชีพแล้ว ค่อยเลือกคนที่โดดเด่นจำนวนหนึ่งไปช่วยงานที่ร้านของตระกูลพวกเขา…จนกระทั่งพี่ชายรองของนางโตเป็นผู้ใหญ่ คนเหล่านี้จะเป็นคนของเขา เชื่อฟังคำสั่งของเขา และช่วยทำธุระให้เขาทั้งหมด
หาไม่ญาติผู้พี่ชายที่ไม่เอาไหนของนางท่านนั้นไปเล่นการพนันอยู่ข้างนอก ก็คงปิดบังจากท่านพ่อของนางไม่ได้นานขนาดนั้น
นั่นก็เพราะข้างกายของญาติผู้พี่ชายไม่เอาถ่านท่านนั้นของนางมีบ่าวชายและผู้ติดตามที่จงรักภักดียามบุบสลายก็ยอมบุบสลายไปด้วยกัน รุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ไปด้วยกันกลุ่มหนึ่งคอยช่วยปิดบังและแบกรับความผิดแทนเขาอยู่นั่นเอง
ชีวิตของเฉินลั่วยังสู้ญาติผู้พี่ชายไร้ความสามารถของนางผู้นั้นไม่ได้เลย!
นางอดถามไม่ได้ว่า เพราะเป็นเช่นนี้เจ้าถึงได้อยากประสบความสำเร็จอยู่ข้างมังกร?
เฉินลั่วส่ายศีรษะ ดวงหน้ามีความขมขื่นแฝงอยู่หลายสาย เสียงพูดก็สลดลงหลายส่วน กล่าวว่า เจ้าน่าจะรู้ ในประวัติศาสตร์องค์ชายที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาทไม่เคยได้ขึ้นครองราชย์ ไม่มีสักคนที่มีชีวิตรอด
เจ้าหมายความว่าเจ้าไม่มีสิทธิเลือก? ในใจของหวังซีเห็นคนผู้นี้เป็นดั่งคนของตัวเองไปแล้ว การพูดจาหรือการกระทำล้วนค่อนข้างสบายๆ ไม่ได้ระแวดระวังมากขนาดนั้น ความในใจนางก็กล่าวออกมาอย่างไม่ระมัดระวังนัก ใต้หล้านี้มีเรื่องไม่มีสิทธิเลือกที่ไหนกัน ก็แค่เพราะอยากถือครองทุกอย่างเอาไว้ทั้งหมด ไม่ยอมละวางก็เท่านั้น
เฉินลั่วไม่ค่อยชอบฟังคำพูดเช่นนี้เท่าไรนัก
ไร้ประสบการณ์ก็ไร้คุณวุฒิ
เขารู้สึกว่าหวังซีไม่ได้เจอกับตัวก็พูดได้
ข้าเองก็อยากเป็นคนมีอิสรเสรีเหมือนกัน แต่ข้าทำได้หรือ เขาปรายตามองหวังซีครั้งหนึ่ง กล่าวว่า เดิมทีมารดาข้าไม่อยากแต่งงาน เป็นเสด็จลุงของข้าที่อยากให้นางแต่ง ถึงนางแต่งงานแล้ว ทว่าจิตใจกลับไม่อยู่ในจวน บิดาของข้ายิ่งเข้าใจไม่ยาก เขามีบุตรสาวคนโตและบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกอยู่แล้ว ความจริงไม่คิดจะมีบุตรชายคนรองต่างมารดาจากภรรยาเอกอีกคนเพิ่มแล้ว ทั้งยังเป็นบุตรชายของจ่างกงจู่อีก ไม่อย่างนั้นจวนเจิ้นกั๋วกงก็คงไม่ยื้อเวลาการขอแต่งตั้งซื่อจื่อมายาวนานหลายปีขนาดนี้ เสด็จลุงของข้านั้น อันดับแรกเป็นฮ่องเต้ ต่อมาเป็นบิดา และถัดจากนั้นถึงจะเป็นลุงของข้า ข้าทำได้แค่วางแผนเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ใต้หล้านี้ที่ไหนมีแป้งทอดไส้เนื้อที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อบ้าง
โอ๊ย!
หวังซีเอามือทาบหน้าอก
เฉินลั่วพูดตรงเกินไปแล้ว นางตกใจเล็กน้อยไปชั่วขณะ
ไม่แปลกที่ความสัมพันธ์ระหว่างเป่าชิ่งจ่างกงจู่กับเจิ้นกั๋วกงถึงได้ย่ำแย่ขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม เป่าชิ่งจ่างกงจู่แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงย่อมดีกว่ารั้งอยู่ที่ตระกูลจิน
อย่างไรเสียนางก็ไม่อาจแต่งให้จินซงชิงได้
เรื่องที่น้องสามีแต่งพี่สะใภ้อะไรนั้น ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคตะวันตกเฉียงใต้มีให้พบเห็นอยู่บ่อยๆ แต่คนในจิงเฉิงย่อมทำไม่ได้ กล่าวไปกล่าวมา ยังคงเป็นเพราะภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคตะวันตกเฉียงใต้ยากจนเกินไป ต้องให้ปากท้องอิ่มก่อน จากนั้นถึงพูดเรื่องมารยาทความเหมาะสมได้
แต่คำพูดนี้หวังซีไม่กล้าเอ่ย
นางพึมพำกล่าว สุดท้ายแล้ว ยังคงเป็นเพราะบุรุษอย่างพวกเจ้ามักคิดแต่เรื่องสร้างผลงานประสบความสำเร็จ การมีชีวิตอยู่มิใช่เรื่องสำคัญ จะใช้ชีวิตอย่างไรต่างหากที่สำคัญ หากเจ้าสลัดมือทิ้งไม่สนใจจริงๆ ผู้ใดจะกล้าบีบบังคับเจ้าได้ ตระกูลพวกเจ้าก็มิได้มีราชบัลลังก์ให้ต้องสืบทอดต่อเสียหน่อย
ถ้อยคำนี้กล่าวได้อาจหาญไม่เกรงกลัวยิ่งนัก
เฉินลั่วมองนางอย่างโง่งม คล้ายถูกทำให้ตกใจไปแล้ว
มิใช่กระมัง
เขากล้าตรวจสอบเรื่องวังหลังของฮ่องเต้ จะถูกคำพูดเลื่อนเปื้อนไม่กี่ประโยคของนางทำให้ตกใจได้เชียวหรือ
หวังซีเห็นเขาไม่ขยับอยู่ครู่ใหญ่ จึงยื่นมือออกมาโบกสะบัดอยู่ตรงหน้าเขา เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า เจ้า…เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง ข้าเองก็แค่พูดไปอย่างนั้นเท่านั้น เจ้าไม่ถึงกับต้องเป็นเช่นนี้กระมัง ข้าพูดมากไปบ้างจริงๆ แต่ถึงคำพูดข้าจะไม่เรียบร้อยแต่ก็ไม่ไร้เหตุผล เจ้าลองไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนดู ว่าใช่เหตุผลนี้หรือไม่…
เฉินลั่วกุมหน้าอย่างกะทันหัน
หวังซีตกใจเป็นการใหญ่
เฉินลั่วเปล่งเสียงหัวเราะฮ่าออกมาระลอกหนึ่ง
นี่อะไรกัน ประเดี๋ยวทำหน้าดุดัน ประเดี๋ยวหัวเราะ นางคงมิได้ไปจี้จุดอะไรของเขาเข้าหรอกกระมัง
ท่านย่าของนางมักจะให้นางอย่าพูดจาตรงเกินไป
ข้าไม่เป็นไร เฉินลั่วเงยหน้าขึ้นมามองหวังซี แววตาระยิบระยับ ยังมีรอยยิ้มหลงเหลืออยู่อีกหลายส่วน
คุณหนูใหญ่ของตระกูลหวังท่านนี้ ช่างกล้าพูดจริงๆ!
แต่เพียงหนึ่งประโยคก็ปลุกคนให้ตื่นจากความฝันได้
เรื่องที่เขาเก็บงำไว้ในกระเป๋าเสื้อมาโดยตลอด ถูกนางพูดให้แตกสลายได้ในหนึ่งประโยค
สามหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว นางพูดไม่ผิดจริงๆ
บางทีการได้พบนางและได้ฟังเสียงพูดจ้อไม่หยุดของนางต่างหากที่เป็นความโชคดีของเขา
หากมิใช่เพราะชายหญิงต้องมีระยะห่าง เฉินลั่วคงก้าวออกไปกอดนางสักครั้งแล้ว
เหตุใดเขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน จวนเจิ้นกั๋วกงยังมีเรื่องเน่าๆ อีกหนึ่งกองใหญ่ให้ต้องจัดการ เขาไม่สนใจเรื่องในบ้านของตัวเอง กลับไปสนใจเรื่องจักรพรรดิจะแต่งตั้งใครเป็นรัชทายาท คิดว่าจะหลบเลี่ยงวิกฤตการณ์นี้อย่างไร และจะมีชีวิตรอดจากวิกฤตการณ์นี้อย่างไรแทน
เส้นผมบังภูเขา ที่กล่าวมาคือสถานการณ์ของเขาในเวลานี้ชัดๆ!
เฉินลั่วเห็นหวังซีเบิกดวงตารูปเมล็ดซิ่งกลมโต สีหน้าระแวดระวัง คล้ายมีความผิดปกติอะไรสักอย่าง ท่าทางของนางเหมือนต้องการกระโดดแล้ววิ่งหนี เขาอดไม่ได้หัวเราะเสียงดังลั่นออกมาอีกครั้ง เนื่องจากหัวใจที่ตึงเครียดมาตลอดได้ผ่อนคลายลงมา เขาจึงบังเกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับหวังซีขึ้นมาอีกหลายส่วน
หวังซีกระแอมไอเบาๆ สองสามครั้ง กระเถิบเก้าอี้ไปด้านหลังเล็กน้อยอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
เฉินลั่วฝึกวิทยายุทธ์มาตั้งแต่เด็ก หูตาว่องไว นางคิดว่าเขาไม่รู้ ทว่าถูกเขามองทะลุปรุโปร่งไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
เขารู้สึกว่าตัวเองยังหัวเราะได้อีกคำรบหนึ่ง
แต่เขาคิดว่า หากเขายังหัวเราะต่อไปอีก หวังซีต้องหาข้ออ้างขอตัวลาเป็นแน่
เขากดทับความเบิกบานเอาไว้ในใจ ถึงระงับความยินดีที่มีเต็มหัวใจเอาไว้ได้ ไม่คิดจะบอกสิ่งที่ตนค้นพบให้หวังซีรู้ แต่เอ่ยขึ้นว่า ครอบครัวของพวกเจ้าในตอนนี้ พี่ชายใหญ่ของเจ้าเป็นคนดูแลกิจการอยู่ข้างนอกใช่หรือไม่
อื้อ! หวังซีนึกถึงหวังเฉิน เผยรอยยิ้มหวานออกมา
เฉินลั่วกล่าว ข้าอยากพบเขา เจ้าช่วยข้าส่งจดหมายให้พี่ชายใหญ่ของเจ้าสักฉบับหนึ่งได้หรือไม่
หวังซีระแวดระวังขึ้นมาในทันที
เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า เจ้าไม่ต้องตระหนก ข้าอยากเจรจาการค้ากับพี่ชายใหญ่ของเจ้าสักครั้งหนึ่ง รับรองว่าพี่ชายใหญ่ของเจ้าจะต้องสนใจมากเป็นแน่
…………………………………………………………………
ตอนต่อไป