ตอนที่ 87 ชอบเธอแบบน้องสาว

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 87 ชอบเธอแบบน้องสาว

เมื่อเห็นดังนั้นหญิงสาวก็ไม่อยากจะรนหาที่

เธอรีบหักเลี้ยวรถสามล้อกลับไปอีกทางแล้วตะโกนเรียกลูกค้าไปตามถนนว่า “ขายซาลาเปา ไข่ต้ม หมูสับต้นหอมลูกละ 1.5 เหมา หมูสับผักกาดดองลูกละ 1 เหมา ไข่ต้มดองซีอิ๊วฟองละ 1 เหมา”

ไม่นานนักผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็เริ่มโบกมือเรียกเพื่อซื้อซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว

หลินม่ายเติมซาลาเปาจากที่บ้านมาเพียง 100 ลูกเท่านั้น ทำให้อาหารทุกเมนูถูกขายจนหมดในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แม้แต่ไข่ที่ดองไว้ก็ไม่เหลือ

หญิงสาวเริ่มถูกใจการปั่นรถขายไปตามท้องถนนแบบนี้ นอกจากจะขายหมดไวแล้วยังหนีเทศกิจได้ง่ายกว่าอีกด้วย

เธอวางแผนจะไปขายที่ท่าเรือทุกวันถึง 7 โมงครึ่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องคอยเล่นซ่อนแอบกับเทศกิจทุก ๆ วันอีก

เมื่อกลับมาถึงบ้าน โจวฉายอวิ๋นก็นึ่งซาลาเปาไว้รออีกร้อยลูก

หญิงสาวบอกกับหลินม่ายว่า “ไส้หมูสับขายไปหมดแล้ว ตอนกลับให้แวะที่ตลาดมืด ซื้อเนื้อขาหมูมาเพิ่มอีกหน่อย”

หลินม่ายพยักหน้ารับแล้วฝากให้เธอช่วยทำไข่ต้มดองซีอิ๊วเตรียมไว้อีก 100 ฟอง สำหรับนำไปขายในช่วงบ่าย

คราวนี้ซาลาเปานับร้อยลูกขายหมดเร็วมาก เวลาเพิ่งจะสิบโมงเช้าเท่านั้น

เช้านี้พวกเธอขายซาลาเปาได้ 400 ลูก และไข่ต้ม 200 ฟอง ทำให้มีรายได้เข้ามามากกว่า 30 หยวนเป็นอย่างต่ำ

เมื่อหลินม่ายปั่นรถสามล้อไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อเนื้อมาเพิ่มอีก หญิงสาวก็กลับนึกถึงชายที่เธอเจอเมื่อตอนเช้ามืด

เขาพูดถึงพี่น้อง แต่ภายในบ้านกลับไม่ร่องรอยของคนอื่น พี่น้องของเขาจะรู้หรือเปล่าว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่นั่น

ถ้าพวกนั้นไม่รู้ จะมีใครเอาอาหารไปให้เขาหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าอดตายอยู่ที่นั่นหรอกนะ

ยิ่งบาดเจ็บอยู่ มีแผลทั่วตัวขนาดนั้น ไม่น่าจะออกมาซื้ออะไรกินเองไหว

พอคิดได้แบบนั้นหลินม่ายก็หยิบคูปองอาหารไม่กี่อันที่มีออกมา ซื้อซาลาเปาเนื้อหลายลูกที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ของรัฐ แล้วปั่นสามล้อตรงไปที่บ้านหลังนั้น

บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากชุมชน แทบจะไม่มีใครผ่านไปมา

หญิงสาวรวบรวมความกล้าก่อนจะก้าวลงจากรถสามล้อแล้วเคาะประตูบ้าน

แต่ทุกอย่างเงียบสนิท

ไม่แน่ใจว่าเขาออกไปแล้ว อาการกำลังแย่ลง หรือว่าตั้งใจไม่ตอบเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย

เธอขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งวิเคราะห์สาเหตุ จึงวางซาลาเปาที่ซื้อมาไว้ที่ข้างประตูแล้วตะโกนบอกคนด้านในว่า “ฉันเอาซาลาเปาวางไว้ที่ประตูนะ ถ้าคุณหิวก็มาเอาไปกินเลย”

ถึงเขาอาจจะอาการแย่จริง ๆ เธอก็ไม่ได้อยากจะพังประตูเขาไปช่วยเขา

หลินม่ายคิดว่าเธอคงช่วยเขาได้เพียงเท่านี้

คล้อยหลังจากหญิงสาวไปสักพัก ประตูบ้านที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออกช้า ๆ ร่างสูงของชายหนุ่มก็ปรากฏขึ้นจากด้านในบานประตู

เขาเหลือบมองซาลาเปาบนพื้น ก้มลงหยิบห่อกระดาษหนังสือพิมพ์นั้นขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วปิดประตูลง

ชายหนุ่มเดินกลับไปนั่งลงที่โซฟา บนโต๊ะตรงข้ามกันมีไก่ย่างสีเหลืองทองที่ถูกกินไปแล้วมากกว่าครึ่งวางอยู่

แต่ในตอนนี้เขาเปลี่ยนจากไก่ย่างชิ้นนั้นมาเป็นซาลาเปาที่เพิ่งได้รับมาจากหญิงสาวแทน

หลินม่ายไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อเนื้อขาหมูสำหรับทำซาลาเปา สันในหมูครึ่งชั่ง ตับหมูครึ่งชั่ง เต้าหู้สองสามชิ้นแล้วก็กลับ

มีเงินมากขึ้นก็ซื้อของกินดี ๆ ได้

มื้อเที่ยงวันนี้จึงไม่ได้มีเพียงซุปตับหมูใส่เต้าหู้แต่ยังมีหมูผัดขึ้นฉ่ายบนโต๊ะอาหารด้วย ทั้งสามร่วมโต๊ะกินอาหารด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย

หลังกินเสร็จหลินม่ายก็ออกไปขายของต่อ โดยบอกให้โจวฉายอวิ๋นนอนพักผ่อนสักงีบก่อนได้

ในช่วงบ่ายหญิงสาวขายซาลาเปาได้อีกหนึ่งร้อยลูก และไข่ต้มหนึ่งร้อยฟองก่อนที่จะเลิกงาน จบการขายของในวันนี้

เธอกลับบ้านไปนอนหลับพักผ่อน เพื่อที่จะตื่นแต่เช้ามาทำงานในวันถัดไป

ในวันรุ่งขึ้น หลินม่ายยังคงออกจากบ้านตอนหกโมงเช้า แต่แทนที่จะตรงไปท่าเรือเธอกลับอ้อมไปทางบ้านของผู้ชายคนนั้น

เมื่อเห็นว่าซาลาเปาที่เคยวางไว้ให้ที่หน้าประตูหายไปแล้ว เธอก็ไม่แน่ใจว่ามีสุนัขแอบมาขโมยไปหรือคนข้างในมาเอาไปกินแล้วกันแน่

คราวนี้เธอไม่ได้ส่งเสียง เพียงแค่เคาะประตูบ้านสองสามครั้ง วางซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊วที่ห่อด้วยหนังสือพิมพ์ไว้ที่เดิมแล้วจากไป

ชายหนุ่มยังคงรอให้เธอจากไปก่อนค่อยเปิดประตู หยิบซาลาเปาและไข่ต้มบนพื้นขึ้นมา แล้วกินมันหลังจากหับประตูปิด

เขาค้นพบว่าซาลาเปาของวันนี้อร่อยกว่าของเมื่อวานมาก ๆ และไข่ต้มดองซีอิ๊วก็ส่งกลิ่นหอมฉุยจนสร้างความพอใจให้คนกิน

วันนี้เหล่าเทศกิจเข้ามาจู่โจมแบบกระทันหันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า พวกเขาขี่จักรยานตรงเข้ามาไล่พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่

ช่วงที่ผ่านมาพวกเทศกิจไม่ค่อยเข้มงวดนัก พวกเขาจะมาถึงอย่างเช้าที่สุดคือเจ็ดโมงครึ่ง

แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า พอเทศกิจมา พวกพ่อค้าแม่ค้าทั้งหมดก็กระจายตัว

หลินม่ายรีบหนีไปได้เร็วที่สุดเพราะมีรถสามล้อ และป้าที่กำลังเข็นรถเข็นหนีก็เกือบจะถูกจับได้

จนกระทั่งถึงเวลาที่ฟางจั๋วหรานจะมาซื้ออาหารแล้วเหล่าเทศกิจก็ยังคงเดินไปเดินมารอบ ๆ ท่าเรือไม่ยอมไปไหน

เธอคงจะไปจอดรอเจอเขาที่ท่าเรือไม่ได้แล้ว

หญิงสาวจึงเปลี่ยนไปจอดรถสามล้อดักรอเขาตรงทางเดินแทนและได้พบฟางจั๋วหรานกำลังเดินมาทางนี้อย่างที่ตั้งใจไว้

ชายหนุ่มพูดคุยและหัวเราะกับเพื่อนร่วมงานหลายคนที่เดินมาด้วยกัน

หลินม่ายรู้สึกอายเล็กน้อย ไม่กล้าทักทายเขาเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาต้องเสียหน้า

ฟางจั๋วหรานก็เห็นเธอเช่นกัน เขาตรงเข้ามาทักทายเธอแบบไม่ถือตัว “ทำไมวันนี้ไม่ไปขายที่ท่าเรือแต่มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”

เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย เธอจึงไม่กล้าบอกตามตรงว่ามารอขายซาลาเปาให้เขา เพราะกลัวว่าจะถูกเข้าใจผิดได้

“ฉันหลบเทศกิจมา ก็เลยมาจอดอยู่ตรงนี้” หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้ม

“ขอซาลาเปาไส้ผักกาดดองสองลูกกับไข่ต้มหนึ่งฟอง” ฟางจั๋วหรานยิ้มตอบแล้วเริ่มสั่งอาหาร

จากนั้นก็เริ่มแนะนำเมนูของร้านให้กับเพื่อน ๆ หลายคนที่เดินมาด้วยกัน “ซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วของเสี่ยวหลินอร่อยมากเลยนะ อยากลองกันไหม”

เพื่อน ๆ ของเขาสั่งอาหารและจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย

มีเพียงหญิงสาวที่ทำงานอยู่ชั้นเดียวกันกับเขาเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย พร้อมกับพูดจาค่อนแคะเธอขึ้นมา “ฉันเกลียดซาลาเปานึ่งกับไข่ดองที่สุดเลย”

“ของโปรดผมเลยนะ” ฟางจั๋วหรานแย้งขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“ฉันก็ชอบกินเหมือนกัน” เพื่อนร่วมงานหลายคนเอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย

ทำเอาคนเริ่มประเด็นอย่างเพื่อนผู้หญิงคนนั้นหน้าเสียเล็กน้อย

ฟางจั๋วหรานชี้ไปทางด้านหลังแล้วหันมาพูดกับหลินม่ายอย่างอ่อนโยน “เดินต่อไปทางนั้นประมาณ 100 เมตร จะเป็นบ้านพักของพนักงานโรงพยาบาลผู่จี้ ถ้าปั่นไปขายซาลาเปาตรงนั้นต้องมีลูกค้ามาซื้อเยอะแน่”

พนักงานของโรงพยาบาลผู่จี้ เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สูง ซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วของหลินม่ายก็รสชาติดีมาก ถ้าขายได้ต้องเป็นแหล่งทำเงินที่ดีแน่นอน

หลินม่ายตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วปั่นสามล้อไปตามทางที่เขาบอกเพื่อไปที่บริเวณหน้าที่พักของพนักงานโรงพยาบาล

หลังจากที่หลินม่ายจากไปแล้ว หญิงสาวเพื่อนร่วมงานของฟางจั๋วหลานก็เริ่มถามเขา “ทำไมคุณถึงได้ไปรู้จักกับพวกแม่ค้าข้างทางได้ล่ะ”

“พูดแบบนี้หมายความยังไง” แม้ว่าชายหนุ่มจะถามคำถามไปอย่างนิ่ง ๆ แต่ก็เห็นชัดว่าเขาไม่ชอบใจนัก

“คุณเองก็เป็นคนมีการศึกษา แค่เรื่องง่าย ๆ ที่ว่าไม่มีอาชีพไหนสูงส่งกว่าหรือต่ำต้อยกว่ากัน ก็ยังไม่เข้าใจงั้นเหรอ แม่ค้าข้างทางแล้วไม่ดียังไง มีนักศึกษาของเราหลายคนที่มาจากครอบครัวด้อยโอกาส พ่อแม่ของพวกเขาก็เป็นคนใช้แรงงาน คุณดูถูกนักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจนหรือพ่อแม่ที่เลี้ยงดูพวกเขาจนมีความสามารถขนาดนี้ด้วยหรือเปล่า”

เพื่อนร่วมงานสาวที่ทั้งหน้าตาและการศึกษาดีอย่างฉีเยี่ยนเอ่ยตอบเขาพร้อมรอยยิ้ม “ฉันแค่ถามเล่น ๆ น่า ไม่คิดว่าคุณจะจริงจังขึ้นมา”

จากนั้นก็รีบเปลี่ยนประเด็นอย่างชาญฉลาด “คุณปกป้องผู้หญิงคนนั้นขนาดนี้นี่ บอกมาตามตรงเลยนะ แอบชอบหล่อนอยู่หรือเปล่า”

เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ที่ตอนแรกกำลังสนใจประเด็นที่ว่าฉีเยี่ยนพูดจาดูถูกคนอื่นก็หันเหไปที่ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายไปแทน

ฟางจั๋วหรานตอบคำถามนั้นด้วยท่าทีสุภาพ “เธอเป็นน้องสาวฝั่งย่าของผม เป็นคนที่ขยันทำงานแล้วก็เข้มแข็งมาก ผมชอบเธอมากแต่มันก็แค่ในแบบพี่ชายน้องสาว อย่าเข้าใจผิดไป”

ฉีเยี่ยนลอบถอนหายใจกับตัวเอง โชคดีไปที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาว

หลินม่ายที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนั่นก็ได้แต่ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

เธอประทับใจในตัวฟางจั๋วหราน เพราะเขามักจะคอยช่วยเหลือเธออย่างดีเสมอ

คงไม่แปลกที่เขาจะคิดแบบนั้น

เขาและเธอค่อนข้างจะต่างกันมาก คนหนึ่งเป็นปัญญาชน ชนชั้นสูง อีกคนเป็นแค่แม่ค้าข้างทางที่ต้องคอยหลบเทศกิจ แค่ได้เป็นเพื่อนกันก็ดีมากแล้ว

มันคงจะเกินตัวไปถ้าจะคิดมากกว่านั้นกับเขา

ตอนแรกหญิงสาววางแผนที่จะเอาเงินค่ารถสามล้อให้เขาในวันนี้ แต่เพราะมีเพื่อนของเขาอยู่ด้วยเธอเลยยังไม่กล้าให้

ถ้าอย่างนั้น…พรุ่งนี้ค่อยให้ก็ได้

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อย่าบอกนะว่าเธอก็ชอบพี่หมออยู่เหมือนกันน่ะฉีเยี่ยน

ถึงบอกไปว่าน้องสาว แต่ในใจคงไม่คิดว่าม่ายจื่อเป็นแค่น้องสาวสินะคะพี่หมอ

ไหหม่า(海馬)