ตอนที่ 88 เพื่อนร่วมงานสาวของฟางจั๋วหราน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 88 เพื่อนร่วมงานสาวของฟางจั๋วหราน

ที่พักสำหรับพนักงานของโรงพยาบาลผู่จี้มีขนาดกว้างใหญ่ แถมลูกค้ายังมีกำลังซื้อมาก การที่หลินม่ายเข้ามาขายของบริเวณนี้ก็ทำให้ซาลาเปากับไข่ต้มหมดไปอย่างละครึ่ง

อีกทั้งยังไม่ค่อยมีใครเข้ามาขายของแถว ๆ นี้ หญิงสาวเลยวางแผนว่าจะมาที่นี่เพื่อขายของอีกบ่อย ๆ

วันรุ่งขึ้น หลินม่ายออกไปขายของที่ท่าเรือจนถึงเจ็ดโมงเช้า แล้วปั่นสามล้อต่อไปยังที่พักพนักงานโรงพยาบาลเพื่อขายอาหารเช้า

คนแถวนี้ที่กำลังจะไปเรียนหรือทำงานจะได้มาแวะซื้ออาหารเช้าจากเธอระหว่างทาง

ขณะที่กำลังขายของอยู่นั้นเธอก็พบฟางจั๋วหรานอีกครั้ง

หญิงสาวส่งยิ้มให้เขาทันทีที่สบตากัน

ชายหนุ่มเข้ามายืนข้างเธอด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกันแล้วเริ่มสั่งอาหาร “เอาซาลาเปาผักกาดดองสองลูกกับไข่ต้มหนึ่งฟอง”

แต่หลินม่ายส่งซาลาเปาหมูสับต้นหอมสองลูกกับไข่ต้มสองฟองให้เขาแทน “นาน ๆ ครั้งกินซาลาเปาผักกาดดองก็ดี แต่กินทุกวันจะขาดสารอาหารเอาได้”

ฟางจั๋วหรานยิ้มรับคำแนะนำนั้นอย่างเชื่อฟังแล้วรับอาหารจากมือแม่ค้าสาว

หลินม่ายยื่นเงิน 80 หยวนให้กับเขา “นี่เงินค่ารถสามล้อค่ะ”

เมื่อวานเธอไม่ได้ให้เงินจำนวนนี้กับเขา ฟางจั๋วหรานจึงคิดว่าเธอจะลืมและแอบหวังว่าเธอจะลืมไปตลอด แต่ไม่คาดว่าเธอจะเตรียมเงินมาให้เขาในวันนี้

เขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

ทั้งสองพูดคุยกันสักพักอาจารย์หนุ่มก็ขอตัวไปทำงานส่วนหลินม่ายก็ตั้งใจขายอาหารเช้าต่อ

ไม่มีใครทันได้สังเกตว่าฉีเยี่ยนแอบมองทั้งสองอยู่ไม่ไกลด้วยแววตาหึงหวง

ผู้หญิงคนนี้ช่างน่าไม่อาย อาจารย์ฟางแค่มองเธอเป็นเหมือนน้องสาวแต่กลับคอยยั่วยวนเขาไม่หยุด ทำให้อาจารย์สาวอดไม่ได้ที่จะเข้ามาสั่งสอนเสียหน่อย

ฉีเยี่ยนเดินเข้าไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง เปิดบทสนทนากับหลินม่ายด้วยน้ำเสียงและแววตาขุ่นเคือง “ซาลาเปากับไข่ต้มนี่ถูกสุขอนามัยหรือเปล่า กินได้แน่เหรอ”

หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองและจดจำอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว “คุณไม่ใช่เพื่อนร่วมงานของอาจารย์ฟางหรอกเหรอคะ ดูคุณไม่พอใจตอนที่ฉันคุยกับอาจารย์ฟางเมื่อวานนี้นะคะ ฉันก็อุตส่าห์เอาเก็บเอาไปคิดตั้งนาน ว่าเคยไปรบกวนความสงบของวิญญาณบรรพบุรุษคุณหรือเปล่า แต่ก็ไม่ เราไม่ได้รู้จักอะไรกันด้วยซ้ำ คุณจะมาจงเกลียดจงชังฉันเหมือนเป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่คุณไปทำไม เหตุผลก็คงจะมีแค่คุณชอบอาจารย์ฟาง แล้วก็มาตามอิจฉาที่ฉันสนิทกับเขามาก เพราะงั้นอย่าเอาเรื่องความสะอาดของอาหารมาเป็นข้ออ้างกันเลยดีกว่า คุณจงใจจะหาเรื่องฉันอยู่แล้วนี่ คุณเป็นถึงอาจารย์เลยเชียวนะ แต่ก็ไม่ได้เห็นว่าจะดีเด่กว่าแม่ค้าข้างทางอย่างฉันเท่าไรเลย”

หลังจากที่หลินม่ายพูดจบ ลูกค้าคนอื่น ๆ ที่กำลังซื้ออาหารอยู่ก็พากันมองไปที่ฉีเยี่ยนกันเป็นตาเดียว

ใบหน้าของฉีเยี่ยนเปลี่ยนสีด้วยแรงอารมณ์ เป็นภาพที่น่าขบขันนัก “ปัญหาอยู่ที่ความสะอาดของอาหารที่เธอขาย แต่เอาเรื่องนี้มาเถียงงั้นเหรอ”

หลินม่ายกล่าวต่อด้วยอาการสงบนิ่ง “เมื่อวานฉันก็มาขายอาหารเช้าที่นี่ มีใครกินเข้าไปแล้วปวดท้องบ้างไหมล่ะคะ เห็น ๆ กันอยู่ว่าตั้งใจจะมาใส่ร้าย แถมยังพูดจาหยาบคายใส่กันอีก ฉันว่าคุณควรทำตัวให้ดูน่านับถือกว่านี้หน่อยนะ”

ฉีเยี่ยนไม่คิดว่าหลินม่ายจะพูดออกมาตรง ๆ แบบนั้น

หล่อนไม่สามารถหาเรื่องมาเถียงต่อได้ ไม่รู้ว่าจะสู้กับแม่ค้าคนนี้อย่างไร จนเริ่มรู้สึกอาย

แต่ไม่รู้จะหาทางลงให้ตัวเองอย่างไรดี เลยพูดออกไปว่า “ฉันไม่ได้เป็นพวกไร้การศึกษาแบบเธอหรอกนะ”

พูดจบก็เชิดหน้าขึ้นสูงแสดงอาการหยิ่งผยองออกมา

หลินม่ายโต้กลับไปด้วยท่าทางนิ่งสงบ “ตั้งแต่เกิดมาฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินคนที่มีคำพูดคำจาแบบนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละค่ะ”

ได้ยินแบบนั้นความอดทนของฉีเยี่ยนก็หมดลง

หล่อนโกรธมากจนหน้าแดงจัด

จากนั้นก็เดินออกมา แต่ไม่ได้ตรงไปยังที่ทำงาน กลับแวะไปหา รปภ. ของบ้านพักแล้วถามว่า “ที่นี่ไม่มีใครดูแลเลยหรือไง”

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ” หัวหน้าหน่วย รปภ. ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ก็มีคนเฝ้าอยู่ที่ประตู แล้วก็ช่วยดูแลความเรียบร้อยอยู่แล้วนะครับ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”

“แล้วให้แม่ค้าคนนั้นเข้ามาขายของได้ยังไง”

ฉีเยี่ยนพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำไมถึงกล้าให้ใครก็ไม่รู้เอาอาหารเข้ามาขาย ถ้าไม่สะอาดแล้วคนกินท้องเสียจะทำยังไง”

หัวหน้า รปภ. ตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น “ผมกินซาลาเปากับไข่ต้มที่แม่ค้าคนนั้นขายไปเมื่อวาน วันนี้กินอีกรอบก็ไม่เห็นมีอาการอะไรนะครับ ผมว่าอาหารก็สะอาดดีนะ”

“ถึงจะสะอาด แต่คนขายก็ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน อยู่ ๆ ให้เข้ามาไม่กลัวอันตรายหรือไง ถ้ามีของหายใครจะรับผิดชอบ?”

หัวหน้า รปภ. ได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจได้ว่าลูกบ้านคนนี้ต้องการให้แม่ค้าคนนั้นออกไป

เขาไม่อยากมีปัญหากับลูกบ้านที่นี่เพียงเพราะแม่ค้าที่เข้ามาขายอาหารก็เลยต้องไปบอกให้หลินม่ายออกไป “ที่นี่ห้ามขายของ ออกไปเถอะ”

หลินม่ายหันมามอง รปภ. และเหลือบไปเห็นว่าฉีเยี่ยนยืนอยู่ที่ประตูห้องทำงานของเขา หล่อนแอบยื่นหน้ามามองแล้วหลบกลับไป หญิงสาวเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที

ทุกคนมีที่ที่เหมาะสมกับเรา

ถ้าตรงนี้ขายไม่ได้ ก็แค่ไปขายที่อื่น

ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยมาขายอาหารที่นี่มาก่อน แต่ก็ยังขายดิบขายดีอยู่ทุกวัน

หญิงสาวกล่าวขอโทษลูกค้าที่กำลังรอซื้ออาหารอยู่ “ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ แต่ฉันขายต่อไม่ได้แล้วค่ะ”

มือเล็กยกฝาถังบรรจุซาลาเปาและไข่ต้มมาปิด เพื่อจะออกจากบริเวณนี้

บรรดาลูกค้าที่ยืนมองอยู่จะปล่อยให้เธอไปได้อย่าง ถ้าแม่ค้าสาวคนนี้ไปแล้ว จะไปหาซื้ออาหารเช้าแสนสะดวกอย่างนี้ได้ที่ไหนอีก

ปัญญาชนเหล่านี้ให้ความสำคัญเรื่องความสะดวกสบายเป็นที่สุด

ลูกค้าหลายคนจับรถของเธอเอาไว้เพื่อห้าม “อย่าเพิ่งรีบไป”

มีลูกค้าคนหนึ่งหันไปถามหัวหน้า รปภ. ว่า “ที่บอกว่าห้ามขายของตรงนี้ ใครเป็นคนสั่งให้คุณมาดูแลเรื่องนี้”

หัวหน้า รปภ. ตอบอย่างตะกุกตะกักขึ้นว่า “เอ่อ…มีลูกบ้านแจ้งว่าไม่อยากให้มีคนแปลกหน้ามาขายของตรงนี้เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยน่ะครับ”

หลินม่ายจึงแก้ไขความเข้าใจผิดของเขา “ฉันไม่ใช่คนแปลกหน้านะ ฉันเป็นคนรู้จักของอาจารย์ฟางจั๋วหราน”

“เห็นไหม แบบนี้ก็ไม่ใช่คนขายของแปลกหน้าแล้วนะ” ลูกค้าอีกคนพูดขึ้น

“หรือต่อให้เป็นคนขายแปลกหน้าจริง ๆ คุณก็ไม่ควรจะมาไล่เขาออกไปเพียงเพราะลูกบ้านคนเดียวไม่เห็นด้วยกับการขายของที่นี่นะ ต้องถามความเห็นของพวกเราด้วยสิ เราก็เป็นลูกบ้านของที่นี่เหมือนกัน”

หัวหน้า รปภ. ต้องเงียบไปเมื่อเริ่มถูกคาดคั้น

หลินม่ายจงใจใส่ไฟเพิ่ม “ว่าแต่ คนที่ไม่อยากให้ขายคือใครเหรอคะ”

หัวหน้า รปภ. เงียบไป

หลินม่ายชี้ไปทางที่เห็นว่าฉีเยี่ยนแอบยืนอยู่ “เป็นหล่อนเหรอคะ?”

เขาหันมองตามไปทางฉีเยี่ยนแล้วไม่ได้ตอบอะไร เป็นการยอมรับอย่างยอมจำนน

หลินม่ายกระซิบ “หล่อนรู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นคนรู้จักของอาจารย์ฟาง แต่ถึงกับต้องไปแจ้งว่าฉันเป็นคนแปลกหน้าเชียวเหรอ”

คนอื่น ๆ ที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ก็เห็นว่าเป็นฉีเยี่ยน ไม่มีอะไรจะมาใส่ความหลินม่ายได้อีก

ตอนที่อีกฝ่ายมาหาเรื่องลูกค้าหลายคนก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น

แม้ว่าเธอจะได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าจำนวนมาก แต่หญิงสาวก็ไม่อยากจะขายที่นี่อีกต่อไป

ถ้าเธอไม่มาขายอาหารที่นี่ ลูกค้าที่อยากซื้ออาหารจากเธอก็จะไม่พอใจที่ฉีเยี่ยนเป็นต้นเหตุทำให้พวกเขาต้องลำบาก หญิงสาวอยากปล่อยให้หล่อนได้รู้รสชาติของการถูกกรรมตามสนองเสียบ้าง

แล้วเรื่องที่ฉีเยี่ยนไม่ยอมให้หลินม่ายมาขายของที่บ้านพักพนักงานของโรงพยาบาลผู่จี้ก็ไปถึงหูของฟางจั๋วหรานอย่างรวดเร็ว

ฟางจั๋วหรานและฉีเยี่ยนเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อมีเรื่องนี้เกิดขึ้น เขากลับไม่แสดงความโกรธเคืองต่อหล่อน แต่เมินเฉยใส่หล่อนแทน

การกระทำนั้นทำให้ฉีเยี่ยนเศร้าใจมาก เพราะหล่อนแอบชอบเขาอยู่

นอกจากนี้หล่อนยังมีประเด็นกับลูกบ้านคนอื่น ๆ มีเรื่องให้ต้องคิดมากมายจนเผลอเหม่อลอยขณะกำลังทำงานและเกือบจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างการรักษา เป็นผลให้หญิงสาวถูกส่งไปทำงานที่โรงพยาบาลสาขาแทน กลายเป็นเรื่องแย่หนักกว่าเดิม

ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่กำลังกินอาหารกลางวัน โจวฉายอวิ๋นก็บอกกับหลินม่ายว่า ตอนนี้ไข่ที่บ้านเหลือไม่เยอะแล้ว น่าจะเพียงพอสำหรับขายได้อีกหนึ่งวัน

หลินม่ายเอ่ยขึ้นพลางตักไข่และซุปเต้าหู้ลงในชาม “เดี๋ยวหลังมื้อเย็นฉันจะไปยืมโทรศัพท์ของหมู่บ้านโทรไปหาที่ทำการกองทหารเมืองซื่อเหม่ย ให้พวกเขาช่วยฝากข้อความถึงคุณปู่ฟาง ว่าให้คุณปู่ช่วยเตรียมไข่ให้ซัก 3,000 ฟอง ส่วนวันมะรืนฉันจะทำธุระก่อนช่วงเช้า แล้วตอนสิบโมงจะขับแทรกเตอร์กลับบ้านไปขนไข่กลับมา”

เธอตักไข่และซุปเต้าหู้ขึ้นมาหนึ่งคำแล้วถามต่อว่า “นอกจากไข่แล้ว ยังมีแป้งเหลืออยู่เยอะหรือเปล่า อยากให้ฉันเอาแป้งกลับมาด้วยไหม”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้า “ถ้าเธออยากเอามา ก็เอามาสัก 300 ชั่งก่อน”

หลินม่ายตอบตกลง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ว้าย เถียงก็แพ้แล้ว หาเรื่องไล่เขาไปก็ยังแพ้อีก เธอกับหลินม่ายมันคนละชั้นกันจ้ะ

ไหหม่า(海馬)