บทที่ 106 หัวหน้าจงเจริญ

บทที่ 106 หัวหน้าจงเจริญ

หนึ่งเรื่องราว มาเร็วและไปเร็ว เว้นแต่บรรดาเถ้าแก่ที่กำลังเก็บของกันด้วยสีหน้าเศร้ามอง ส่วนคนที่เหลือไม่คิดใส่ใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น กระทั่งอู๋ฝานก็เช่นเดียวกัน

อู๋ฝานย่อมทราบเจตนาของพี่หนิวและพรรคพวก แท้จริงแล้ว อู๋ฝานครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา หากว่าพวกพี่หนิวไม่มาจัดการกับบรรดาเถ้าแก่ในวันนี้ อู๋ฝานอาจหาโอกาสล้างแค้นแทนเสียเอง คนเหล่านี้รวมหัวกันเป็นกลุ่ม กลั่นแกล้งผู้อื่นอย่างเปิดเผย หากว่าไม่ตอบโต้พวกเขาคงนึกคิดว่าอีกฝ่ายรังแกง่าย สุดท้ายภายหน้าพวกเขาจะหาโอกาสสร้างปัญหาอยู่เรื่อยไป จนเรื่องราวย่อมมีแต่แย่ลงและแย่ลง

แต่แล้ว การมาถึงของพวกพี่หนิววันนี้เพื่อสั่งสอนบทเรียนแก่พวกเขา จึงทำอู๋ฝานคาดหวังว่าคนกลุ่มนี้จะเก็บบทเรียนและจำเอาไว้ ว่าการทำการค้าต้องตรงไปและตรงมา ไม่ใช่ไปก่อกวนผู้อื่น

อู๋ฝานและหลิวอี้เตายังต้องยุ่งกันต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงเที่ยงคืน จึงค่อยเริ่มเก็บร้านแผงลอย

แท้จริงแล้ว ช่วงเวลานี้ในถนนคนเดินยังมีคนสัญจรไปมา หากว่าอู๋ฝานไม่เก็บร้านเขาก็ยังคงขายต่อได้ เพียงแต่เขาไม่อาจปล่อยให้ดึกไปกว่านี้ เพราะยังมีเรื่องของอีกโลกหนึ่งให้ต้องห่วง

ที่อีกโลกหนึ่ง อู๋ฝานเข้าไปอยู่ภายในค่ายทหาร หากว่ามีคนพบเห็นว่าหลังรุ่งสางตัวเขาหายไป บางทีอาจเกิดปัญหา ดังนั้นอู๋ฝานจึงเลือกที่จะเก็บร้านให้เร็วขึ้นดีกว่าปล่อยจนเกิดเรื่องราวเป็นปัญหาตามมา

เมื่อกลับถึงบ้านพัก อู๋ฝานจึงอาบน้ำในเวลาอันสั้น ก่อนจะเข้าไปยังอีกโลกหนึ่ง

เมื่ออู๋ฝานกลับมายังโลกอีกแห่งหนึ่งก็พบว่าเพิ่งเป็นช่วงรุ่งสาง

“ตื่นกันได้แล้ว รวมพล!” เสียงดังขึ้น เป็นโจวซานที่กำลังส่งเสียงดังจากภายนอกเต็นท์

“ตรงเวลาดีเสียจริง” อู๋ฝานเร่งรีบจัดแจงเสื้อผ้า พร้อมกับลอบนึกขอบคุณ

อู๋ฝานมาถึงจุดรวมพลเป็นคนแรก ขณะที่คนอื่นยังคงยุ่งกับการแต่งชุด ทว่าตัวเขาคือผู้ที่ทั้งคืนไม่ได้หลับนอนจึงไม่ได้ถอดชุดออกแต่อย่างใด ดังนั้นจะรวดเร็วกว่าคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

โจวซานมองอู๋ฝานด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถัดจากนั้นจึงมองทิศทางที่มีเต็นท์ตั้งอยู่ จนสุดท้ายต้องตะโกนเร่งเป็นครั้งที่สอง

“หัวหน้า เร็วเกินไปแล้ว” เจิ้งเสี่ยวลิ่วมายืนด้านหลังของอู๋ฝาน พลางกระซิบบอกเสียงเบา

เขาคิดว่าตนเองไม่ได้เชื่องช้าแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ได้ อู๋ฝานก็ยังมาถึงก่อนตนเอง

“หัวหน้าต้องเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว” อู๋ฝานกระซิบตอบ

“ขอรับ พวกเราต้องเรียนรู้จากหัวหน้าให้มากขึ้น” หนิวเอ้อเร่งรีบตามมาสมทบ

สมาชิกหน่วยคนอื่น ต่างร่วมพยักหน้ารับอย่างเห็นพ้อง

“ยืนนิ่ง หยุดพูดคุย” อู๋ฝานย้ำคำ

จุดรวมพลยิ่งผ่านไปก็ยิ่งมีคนมารวมตัวกันมากขึ้น เสียงก็เริ่มดังมากขึ้นด้วยเช่นกัน ในอดีตที่ผ่านมาพวกเขาส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวไร่ชาวนาธรรมดา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดมีระเบียบอย่างกะทันหันทันทีทันใด ขณะนี้ยืนรวมตัว บ้างก็พูดคุย บ้างก็บ่นถึงเรื่องความง่วงหาว

ในทางกลับกัน หน่วยของอู๋ฝานดูเบิกบานมากกว่า ทุกคนในหน่วยยังยืนนิ่งอย่างเชื่อฟัง ไม่มีใครพูดอะไรอีกแม้ครึ่งคำ

ไม่ว่าจะฝึกทหารในมหาวิทยาลัย หรือว่าการฝึกทหารที่แสดงในบทบาทละครทีวี รวมถึงภาพยนตร์ อู๋ฝานมีความเข้าใจต่อการรวมพลเป็นอย่างดี นั่นคือยืนให้นิ่ง อย่าได้ส่งเสียงใด

แน่นอนว่าโจวซานที่พบเห็นเรื่องราว ใบหน้าย่อมยิ่งดำมืดทมิฬ

“ยืนเข้าแถวให้เป็นระเบียบ! ไม่อนุญาตให้ใครก็ตามส่งเสียง!” โจวซานตะโกนดัง

หัวหน้าหน่วยหลายคนยืนตรงและช่วยจัดระเบียบ มีเพียงการทำเช่นนี้เสียงอึกทึกและความเกียจคร้านภายในหน่วยจึงสงบลงได้

“ยกเว้นหน่วยที่สี่กองร้อยที่สอง ทุกคนที่เหลือวิดพื้นห้าสิบครั้ง!” โจวซานสั่งการทันทีที่ทุกหน่วยสงบลง

“เดี๋ยวสิ ทำไมกันล่ะ?”

“ทำไมพวกเขาได้รับการยกเว้นล่ะ?”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ”

ทุกคนต่างแสดงท่าทีไม่พอใจกันออกมา

“คนละหกสิบครั้ง!” โจวซานเผยสีหน้านิ่งเฉยไม่แปรเปลี่ยน

“เดี๋ยวสิ ทำไมหน่วยนั้นได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษล่ะ?”

“หกสิบ สวรรค์โปรด ข้าจะทำได้ยังไง”

ยังคงมีเสียงร้องเรียนดังขึ้น แต่ก็เรียกได้ว่าลดน้อยลงกว่าก่อนหน้า

“คนละเจ็ดสิบครั้ง!” เสียงของโจวซานดังขึ้นอีกครั้ง

“คนของกองพันอื่นยังไม่ตื่นกันเลยด้วยซ้ำ พวกเราตื่นกันก่อนแท้ ๆ”

“พวกเราก็แค่ทหารลำเลียงขนส่ง จะเอาจริงอะไรขนาดนั้น”

เสียงบ่นไม่พอใจยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่เริ่มลดน้อยลงแล้ว ราวกับบุคคลที่พูดกันเมื่อครู่จะไม่มีความกล้ามากพอ

“คนละแปดสิบ!” เสียงของโจวซานยังคงดัง

ปัจจุบัน กลายเป็นว่าไม่มีใครกล้าพูดขึ้นมาอีก เพราะพวกเขาได้เห็นแล้วว่ายิ่งพูดตอบออกไปเท่าใดโจวซานก็จะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่านั้น

“ยังไม่รีบทำอีก! ถ้าหากยังไม่ทำ จะเพิ่มเป็นคนละเก้าสิบ!” โจวซานตะโกนดัง “วันนี้ ยังไม่จบแค่นี้ ยกเว้นหน่วยที่สี่กองร้อยที่สอง ไม่อนุญาตให้ใครได้กินข้าว!”

ทุกคนแตกตื่นตระหนก พร้อมกับล้มร่างลงกับพื้นเพื่อเริ่มการวิดพื้น พวกเขาทั้งไม่กล้าบ่น รวมถึงไม่กล้าที่จะชักช้าอีกต่อไปด้วย

พบเห็นทุกคนเริ่มลงมือ โจวซานจึงตอบออกมา “ทราบหรือไม่ ว่าทำไมหน่วยสี่กองร้อยที่สองได้รับการยกเว้น?”

“ไม่ทราบขอรับ!” มีเสียงหนึ่งดังตอบ เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ยินดียอมรับ และต้องการทราบถึงสาเหตุ

“คนละเก้าสิบ!” โจวซานตอบกลับด้วยเสียงที่เบาลง

“เขาพูดคนเดียว ทำไมพวกเราโดนไปด้วย?” อีกคนหนึ่งทักท้วง

“คนละหนึ่งร้อย!” โจวซานตอบกลับอีกครั้ง “เพราะพวกเจ้าเป็นหนึ่งเดียว ภายในกองทัพไม่ใช่มีเพียงตัวเจ้า แต่เป็นทั้งหมด พวกเจ้าเป็นสมาชิกของกองพันที่สาม หากว่ายังทำอะไรผิดพลาด ทุกคนก็จะต้องถูกลงโทษ”

ขณะนี้ไม่มีใครกล้าตอบอะไรอีก เพราะหากยังพูด มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย

พบเห็นทุกคนหยุดพูดกันได้แล้ว โจวซานจึงเริ่มเอ่ยคำต่อ “สำหรับการรวมพลในเช้าวันนี้ มีเพียงหน่วยที่สี่จากกองร้อยที่สองที่ทำได้ดีเยี่ยม ขณะพวกเจ้ายืนกันไม่มีระเบียบและกระซิบกระซาบ พวกเขากลับยืนตรงไม่ขยับเคลื่อนไหวใดทั้งสิ้น พวกเจ้าควรทราบดีว่าที่นี่ไม่ใช่ตลาดสด ไม่ใช่บ้านของพวกเจ้า ดังนั้นจงเรียนรู้จากพวกเขาเสีย”

ทุกคนต่างมองยังอู๋ฝานและหน่วยของเขา เพื่อรับชมว่าหน่วยของพวกเขายืนนิ่งตรงกับที่ ไม่มีใครพูดแม้ครึ่งคำ

ความไม่พอใจของทุกคนจึงเริ่มเลือนหายไป กระทั่งนึกนับถือ

สมาชิกหน่วยเช่นหนิวเอ้อจึงยิ่งเกิดนับถือสายตากว้างไกลของอู๋ฝานอยู่ภายใน หากว่าอู๋ฝานไม่เตือนพวกเขา พวกเขาก็คงยืนกันไร้ระเบียบ พูดคุยกันภายในหน่วยอย่างไม่สนอะไร สุดท้ายคือต้องร่วมวิดพื้นกับทุกคน ไม่ใช่การได้ยืนนิ่งสบายเช่นตอนนี้

“มีความเห็นอะไรอีกหรือไม่?” โจวซานเอ่ยถาม

ครั้งนี้ไม่มีเสียงใดตอบรับแล้ว

“วันนี้ สมาชิกหน่วยสี่จากกองร้อยที่สอง แต่ละคนจะได้รับน้ำซุปหนึ่งถ้วยเป็นอาหารเช้า” โจวซานยังคงพูดต่อไป

ทันใดนี้เอง ที่จุดรวมพลจึงเกิดเสียงฮือฮากันขึ้นมา

มีเพียงหัวหน้าหน่วยที่ได้รับน้ำซุปไปซด ขณะนี้สมาชิกของหน่วยที่สี่ได้ซดน้ำซุป ทุกคนจึงเกิดความอิจฉาริษยากันออกมา

หนิวเอ้อและคณะต่างลอบกลืนน้ำลายสายตาของพวกเขาเบิกกว้างประหนึ่งวัวกระทิง เมื่อคืนที่ผ่านมาอู๋ฝานแบ่งปันน้ำซุปให้พวกเขาทุกคน รสชาติของน้ำซุปนั้นยังคงวนเวียนในความทรงจำของพวกเขา และหาได้คาดคิดไม่ว่าวันนี้พวกเขาแต่ละคนจะได้รับซุปกันคนละถ้วย

ความยินดีจึงบังเกิด

หัวหน้าจงเจริญ!