เฟิ่งชิงหัวหลับอยู่ในห้องมาตลอด รอจนตอนที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว ท้องร้องออกมาเป็นเพลงผังเมืองที่ว่างเปล่าได้เลย
เฟิ่งชิงหัวหวนคิดกลับไปทีหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าตอนเวลากลางวันตนเองไม่ได้ทำอะไรที่เป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง หลังจากใช้วิธีการตัดตัวเลือกไปแล้วก็เหลือแต่เพียงการเขียนกฎตระกูลข้อเดียวเท่านั้น
นี่มันช่างเป็นกิจกรรมที่ทั้งสิ้นเปลืองสมองและกำลังกาย อีกทั้งยังสิ้นเปลืองอายุวัฒนะด้วย
ท้องว่างเปล่าเช่นนี้นอนไม่หลับ เฟิ่งชิงหัวก็เลยต้องพลิกตัวลุกขึ้นนั่งและแอบเดินไปทางด้านห้องครัว แม้ว่าจะลับๆ ล่อๆ แต่ว่าเฟิ่งชิงหัวเคยชินกับการทำกิจกรรมในช่วงเวลากลางคืน เส้นทางที่เดินต่างก็เป็นเส้นทางมืดมิดที่หลบเลี่ยงจากองครักษ์ลาดตระเวนทั้งนั้น รับรองว่าปลอดภัยอย่างแน่นอน
และในตอนที่กำลังยกมือจะผลักเข้าไปในห้องครัว ก็ได้ยินเสียงองครักษ์ดังมาจากด้านหลัง: “มีคนมุ่งหน้าไปทางห้องครัวแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวสงสัยว่านางซ่อนตัวไปลึกลับมากแล้ว ทำไมจึงยังถูกคนพบเห็นได้อย่างไม่ทันรู้ตัว?
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็หลบซ่อนตัวเข้าไปหลังต้นไม้ที่สูงใหญ่ต้นหนึ่ง ตอนที่เพิ่งเข้ามาก็เห็นว่าด้านหลังต้นไม้นั้นมีคนแอบซ่อนไว้อยู่คนหนึ่งนานแล้ว
คนผู้นั้นกำลังจะกรีดร้องก็ถูกเฟิ่งชิงหัวเอามืออุดปากเอาไว้แน่น: “อย่าร้องตะโกนส่งเดช ร้องเรียกคนมาอับอายขายขี้หน้าไหม?”
คนที่อยู่ด้านหน้านี้ไม่ใช่คนอื่นไกลเลย แต่กลับเป็นองค์หญิงเหออานที่ถูกเฟิ่งชิงหัวใส่ร้ายไปเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง และตอนนี้ก็ได้ใช้สายตาอาฆาตอย่างรุนแรงราวคนร้ายที่ฆ่าพ่อก็ไม่ปานจ้องมายังเฟิ่งชิงหัว
ทั้งสองคนสบตาซึ่งกันและกัน รอจนคนที่ลาดตระเวนอยู่รอบๆ หายไปหมดแล้ว เฟิ่งชิงหัวจึงปล่อยมือออกจากองค์หญิงเหออาน ก็ได้ยินองค์หญิงเหออานกล่าวออกมาด้วยเสียงโมโหว่า: “เจ้าทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่ที่นี่ฮะ?”
เฟิ่งชิงหัวชี้ไปยังจมูกของตนเองอย่าน่าขำ: “ข้า?”
“ไม่ใช่เจ้าจะเป็นใคร ดึกดื่นค่ำมืด ปรากฏตัวอยู่ที่นี่รับรองว่าไม่ได้หวังดีเป็นแน่!” องค์หญิงเหออานกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชา: “ข้าจะไปบอกเสด็จพี่!”
ขณะที่พูดอยู่องค์หญิงเหออานก็ยืนขึ้นมาจากหลังต้นไม้เตรียมจะจากไป เพิ่งจะหันหน้าไปก็ถูกเฟิ่งชิงหัวจับไหล่ไว้แน่นแล้วให้หันกลับมา เฟิ่งชิงหัวก้มหน้ามองมายังห่อหนึ่งที่นูนๆ ออกมาตรงบริเวณหน้าอกขององค์หญิงเหออาน เลยยื่นมือเข้าไปควักด้านในเสื้อของนางออกมา
องค์หญิงเหออานตกใจไปครู่หนึ่ง และยื่นมือไปปิดหน้าอกของตนเองเอาไว้ตามสัญชาตญาณ แล้วหลุดปากกล่าวออกมาว่า: “ทะลึ่ง!”
เฟิ่งชิงหัวเขย่าไปมาก็ได้ไก่ย่างหนึ่งชิ้นออกมาจากด้านในเสื้อของนาง จึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า: “ตอนนี้ใครกันแน่ที่ลับๆ ล่อๆ? คิดไม่ถึงว่ากล่าววิ่งมาขโมยของในจวนอ๋องของพวกเราได้ เจ้าว่าหัวขโมยจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างไรกันนะ?”
“เจ้าอย่าพูดจาส่งเดชนะ ข้าเป็นถึงองค์หญิงคนหนึ่ง ข้าจะไปขโมยได้อย่างไรกัน อันนั้นเรียกว่าหยิบเอามา! จวนอ๋องแห่งนี้ก็เป็นของเสด็จพี่ของข้า หยิบเอาของไปนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป?” องค์หญิงเหออานทำเป็นเสียงดังข่ม ก็เพียงเพื่อจะกลบเกลื่อนความละอายใจของตนเท่านั้นเอง
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าและกล่าวว่า: “อ๋อ งั้นก็ได้ งั้นข้าจะไปเรียนเสด็จพี่ของเจ้าเสียเดี๋ยวนี้เลย”
ในขณะที่พูดอยู่เฟิ่งชิงหัวก็เตรียมที่จะจากไป เหออานรีบคว้านางเอาไว้แน่น: “เจ้ากล้าเหรอ!”
เสด็จพี่มีคำสั่งห้ามไม่ให้นางทานอาหาร หากทราบว่านางวิ่งมาที่ห้องครัว เกรงว่าพรุ่งนี้ก็ยังไม่หายโกรธเลย นางไม่อยากอยู่ในสถานที่ผุพังบ้าๆ แบบนี้เต็มทนแล้วจริงๆ
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า: “เจ้าดูละกันว่าข้ากล้าหรือเปล่า”
“รอก่อน เจ้าต้องการแบบไหนกันแน่ถึงจะทำเป็นว่าไม่ได้เห็นข้ามาก่อน?” องค์หญิงเหออานกล่าวออกมาด้วยการฝืนทนอย่างขบกรามกัดฟัน
เฟิ่งชิงหัวมองมายังองค์หญิงเหออานด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า: “นี่ตอนนี้เจ้ากำลังขอร้องข้าอย่างนั้นหรือ?”
“พวกเราก็แค่ทำข้อตกลงที่เสมอกันก็เท่นั้น” องค์หญิงเหออานกล่าวออกมาอย่างวางอำนาจ แม้ว่าจะเป็นในที่มืดก็ไม่ลืมที่จะยกตนข่มท่าน ท่าทางที่น่าเกรงขามของราชวงศ์ไม่อาจฝ่าฝืนได้เลย และลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ไปทั้งหมดแล้วว่าลับๆ ล่อๆ มาตลอดทางจนขโมยไก่ในห้องครัวได้อย่างไรจนเกือบถูกคนจับได้
เฟิ่งชิงหัวแกว่งผ้าในมือไปมาด้วยรอยยิ้ม: “อ๋อ ข้อตกลงงั้นเหรอ? ข้าไม่ได้มีแผนการว่าจะทำข้อตกลงมาก่อน ข้าก็แค่ชอบให้คนมาข้อร้องข้าแบบปกติเท่านั้นเอง ยังไงคนต่ำต้อยก็เป็นจนชินเสียแล้ว ก็ชอบอยากจะถูกยกเอาไว้เป็นคนสูงศักดิ์บ้าง อย่างเช่นพวกท่านอ๋องอะไรบ้างล่ะ องค์หญิงบ้างล่ะ หรือเหนียงเหนียงบ้างล่ะ”
“เจ้าฝันไปเถอะ!”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า: “ข้าก็คิดว่าข้าคิดไว้สวยหรูเกินไป งั้นข้าไม่รบกวนเวลาขององค์หญิงแล้วล่ะ ขอตัวไปก่อน เดี๋ยวหากว่าดึกกว่านี้ ข้าเป็นกังวลว่าท่านอ๋องจะหลับไปเสียก่อน”
เฟิ่งชิงหัวเดินไวมาก พริบตาเดียวก็เดินออกไปถึงลานเรือนด้านนอกนี้แล้ว องค์หญิงเหออานไล่ตามขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง สีหน้าท่าทางไม่เต็มใจที่จะพูดเท่าไรนัก: “ก็ได้ ข้าขอร้องเจ้า ขอร้องเจ้าอย่าเอาเรื่องคืนนี้ไปบอกคนอื่น”
“ขอร้องข้ามันใช่ท่าทีแบบนี้เหรอ?”
“งั้นเจ้าจะเอายังไง?”
“องค์หญิงปราดเปรื่องเช่นนี้ น่าจะเรียนรู้เสียงร้องของสัตว์ได้นะ? ร้องมาให้ฟังสัก 2 คำ?”
“หนานกงเยว่ลั่ว คิดไม่ถึงว่าเจ้ากล้าดูถูกข้าเหรอ?” องค์หญิงเหออานกล่าวออกมาด้วยความโมโห
“นี่จะไปเรียกว่าดูถูกได้อย่างไรกัน นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทางอารมณ์ เป็นการแสดงออกถึงความเป็นมิตร เจ้าขอร้องข้าก็มีความต้องการ ข้าช่วยเจ้าก็มีความต้องการเช่นกัน นี่ถึงจะเรียกได้ว่าเท่าเทียมกันนะ อีกอย่างข้าให้เจ้าร้องเสียงสัตว์ออกมาสองคำ ไม่ได้จำกัดชนิดของสัตว์เสียงหน่อย เจ้าก็แค่ร้องอะไรออกมาก็ได้ ข้าก็แค่ฟังไปก็แค่นั้นก็จบแล้ว?”
องค์หญิงเหออานเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงหัวที่ไม่ได้คิดอะไร ก็เหมือนกับว่าจะมีท่าทางที่ไม่ยากที่จะเข้าใจได้ อีกทั้งยังนึกถึงผลลัพธ์ว่าหากเรื่องนี้ทราบถึงหูเสด็จพี่ เลยทำได้เพียงทำหน้าบึ้งตึง ก้มศีรษะลง แล้วร้องออกมาเบาๆ สองคำ: “จู๊ดๆๆ”
เฟิ่งชิงหัวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็มีความประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าองค์หญิงเหออานน่าจะเรียนเสียงที่ค่อนข้างจะไฮโซเสียหน่อย อย่างเช่นพวกเสียงนก เสียงแพะเสียงแมว คิดไม่ถึงว่าจะมีความเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้
หลังจากที่องค์หญิงเหออานร้องออกมาแล้วนั้นก็กลับคืนมาเป็นสีหน้าท่าทางที่ดุดันเช่นเดิม: “พอหรือยัง?”
“พอแล้วๆ ไว้พบกันใหม่นะองค์หญิง” เฟิ่งชิงหัวยิ้มอยู่แล้วก็เดินอ้อมเหออานไปทางด้านนอกต่อ
“เดี๋ยวก่อน เอาของทิ้งเอาไว้ด้วย” องค์หญิงเหออานกล่าวออกมาอย่างไม่ยินดีนัก นั่นเป็นสิ่งที่นางยอมเสียชื่อเสียงและเกียรติยศอันสูงส่งเพื่อให้ได้มันมาเลยนะ
เฟิ่งชิงหัวกวัดแกว่งไปมาครู่หนึ่งและกล่าวว่า: “องค์หญิงไม่เคยได้ยินเหรอ? หัวขโมยต้องโทษโบย 50 ที ติดตามทรัพย์สินที่ขโมยไปกลับมาทั้งหมด พวกนี้น่ะเหรอแน่นอนว่าต้องถูกยืดเป็นของกลางไป องค์หญิงรีบกลับไปนอนเถอะ หลับไปแล้วก็ไม่หิวแล้วล่ะ”
ในขณะที่พูดอยู่ก็ตบไปยังบ่าขององค์หญิงเหออาน และจากไปอย่างสง่าผ่าเผยมาก
องค์หญิงเหออานมองดูร่างของเฟิ่งชิงหัวที่จากไปด้วยตาปิบๆ แทบอยากจะพุ่งเข้าไปสู้ตายกับนางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ว่าพอนึกถึงท่าทางเย็นชาที่รายล้อมอยู่รอบตัวเสด็จพี่ก็กลัวจนตัวสั่นไปเลย ได้เพียงลูบท้องของตนเองไว้เท่านั้น แล้วก็ยกเท้าที่แสนจะหนักอึ้งก้าวกลับไปยังสถานที่พำนักชั่วคราวของนางอย่างยากลำบาก
ภายในห้องหนังสือ หลิวหยิ่งรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างละเอียดยิบให้นายท่านของตนฟัง ในใจกลับแอบแปลกใจอยู่ว่าเมื่อไหร่กันที่นายท่านของตนเริ่มให้ความสนใจเรื่องเล็กน้อยอย่างการถลกขนไก่เช่นนี้ในจวนอ๋องขึ้นมา
จ้านเป่ยเซียวในตอนนี้ไม่ได้มีอารมณ์จะนอน หลังจากได้ยินคำพูดของหลิวหยิ่งแล้วก็มองไปยังหลังคาที่ส่องสว่างเป็นประกายที่ถูกแสงจันทร์สาดส่องอยู่นอกหน้าต่างตามความรู้สึก เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า: “ข้าว่าน่าจะต้องหางานให้นางทำเสียบ้างแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงให้นางไม่มีธุระก็เที่ยวชอบไปรังแกผู้น้อย”
หลิวหยิ่งได้ฟังก็ยิ้มขึ้นจางๆ ในใจคิดว่าที่นายท่านพูดนั้นถูกต้องที่สุดจริงๆ เพียงแต่ว่าท่านอย่าใช้สายตาท่าทางที่จริงจังเช่นนี้พูดคำพูดที่ดูปรนเปรอตามใจเช่นนี้ได้หรือไม่?
“แม้ว่าพระชายาจะมีศักดิ์สูงกว่าองค์หญิงหนึ่งรุ่น แต่ว่าอายุของทั้งสองคนใกล้เคียงกัน ก็ไม่นับว่าเป็นการรังแก อย่างมากก็แค่นิสัยเข้ากันไม่ได้เท่านั้นเอง” เจตนาเดิมของหลิวหยิ่งเดิมคืออยากจะพูดแทนพระชายาสักสองสามประโยค ใครจะไปคาดคิดว่าวินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงอันเคร่งขรึมของฝ่ายชายจู่ๆ ก็ดังขึ้นมาเหนือศีรษะของเขาทันที
“ความหมายของเจ้าก็คือข้าอายุมากแล้วงั้นหรือ?”