บทที่ 101 ทำงานที่ศาลาว่าการพระนคร

พลิกชะตาหมอยา

หน้าผากของหลิวหยิ่งปรากฏเหงื่อซึมออกมา และยังรู้สึกหนาวสันหลังอีกด้วยจึงรีบกล่าวว่า “ท่านอ๋องยังเป็นหนุ่มอยู่ แน่นอนว่าไม่ใหญ่ ความหมายของบ่าวคือพระชายาเป็นคนที่มีนิสัยร่าเริง การล้อเล่นกับพวกเราเป็นเพียงแค่การคบหากันธรรมดาเท่านั้น”

จ้านเป่ยเซียวจ้องเขาอย่างไร้อารมณ์ เพื่อดูว่าเขาจะกลิ้งกลอกไปทางไหน

หลิวหยิ่งกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยปากว่า “เจ้านาย ข้าน้อยคิดว่า พระชายาชอบการสืบคดีไม่ใช่หรือ อย่างนั้นท่านก็จัดคดีให้ทางสักสองคดีดีหรือไม่”

จ้านเป่ยเซียวหรี่ตา “ความหมายของเจ้าคือ ให้ข้าไปฆ่าคนสักสองคนเพื่อให้พระชายาตามสืบหาคนร้ายงั้นหรือ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ ที่กรมคลังมีคดีเก่าเก็บนานปีเป็นจำนวนมากไม่ใช่หรือ นายท่านสามารถให้พระชายาใช้เวลาที่มีไปลองตรวจสอบดูเล่นๆ” หลิวหยิ่งพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก

จ้านเป่ยเซียวลูบคาง เขาไม่ได้ตอบปฏิเสธออกมาทันที จากนั้นจึงโบกมือให้หลิวหยิ่งออกไปข้างนอก

เขาต้องการใช้ความคิดอยู่ในห้องคนเดียว

“อะไรนะ?” วันรุ่งขึ้น เฟิ่งชิงหัวกำลังกินอาหารเช้าอยู่ และได้ยินคำพูดของจ้านเป่ยเซียวโดยที่นางไม่ได้ตั้งตัว นางจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ท่านให้ข้าปลอมตัวเป็นผู้ชายไปทำงานที่ศาลาว่าการพระนครหรือ”

จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วเป็นการบ่งบอกว่าเจ้าฟังไม่ผิดหรอก ยังไม่รีบขอบคุณข้าอีกหรือ

เฟิ่งชิงหัวหัวเราะแห้งๆ “ท่านอ๋อง ท่านนี่มีความคิดใหม่ๆ ตลอดเลยนะ”

จะจัดการข้าให้ถึงตายเลยใช่หรือไม่?

จ้านเป่ยเซียวกล่าวว่า “เจ้าอยู่ในจวนทั้งวันทั้งคืนก็เบื่อเปล่าๆ คิดๆ ดูแล้วให้เจ้าคัดกฎระเบียบจวนทั้งวันก็คัดไม่เสร็จอยู่ดี ไม่สู้ให้เจ้าไปทำในสิ่งที่เจ้าชอบจะดีกว่า”

เฟิ่งชิงหัวเอานิ้วมือชี้หน้าตัวเอง “ท่านเอาตาข้างไหนดูว่าข้าชอบ”

จ้านเป่ยเซียวเอานิ้วทั้งสองชี้ดวงตาของตนเอง แสดงให้เห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างนี้

เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะกลอกตา แสดงให้เห็นว่านางอับจนคำพูดแล้ว

เมื่อชาติที่แล้ว นางเรียนวิทยาศาสตร์เพราะนางสนใจ หลังจากนั้นเมื่อนางข้ามภพมาที่นี่แล้ว ท่านอาจารย์ก็รับเลี้ยงดูและเริ่มศึกษาวิชาแพทย์เพื่อต้องการเอาชีวิตรอด ด้วยเหตุนี้นางจึงแอบทำงานอดิเรกมากมาย ตอนนี้นางอุตส่าห์ได้เป็นพระชายาที่อยู่ว่างๆ สองวันแล้ว ผู้ชายคนนี้กลับเริ่มทรมานนางอีกแล้ว

เฟิ่งชิงหัวส่ายหน้าไม่หยุด “ข้าไม่ชอบ ข้าไม่ไป”

จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึม “ทำไม?”

เฟิ่งชิงหัวเริ่มพล่ามยาว “ข้าเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว ให้ข้าออกไปออกหน้าออกตาอยู่ข้างนอกทั้งวันคงไม่ดีกระมัง”

“ในเมื่อเจ้ายอมรับแล้วว่าตนเองเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว อย่างนั้นวันนี้เราก็นอนร่วมห้องกันได้แล้วกระมัง” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเรียบๆ จากนั้นจึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา พร้อมเอาฝาถ้วยน้ำชาวนรอบถ้วยด้วยท่าทางที่สง่างามอย่างที่สุด

เฟิ่งชิงหัวรีบกล่าวว่า “ข้ารู้สึกขึ้นมาว่า สตรีก็ควรมีอาชีพเป็นของตนเอง อืม ศาลาว่าการพระนครใช่หรือไม่ ให้ข้าไปเมื่อไหร่ล่ะ พรุ่งนี้ไหม?” เฟิ่งชิงหัวยิ้มแล้วยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบ นางจ้องจ้านเป่ยเซียวด้วยดวงตากลมโตสีดำอันเป็นประกายล้ำลึก

จ้านเป่ยเซียวกล่าวว่า “กินอาหารเช้าเสร็จ เจ้าก็ไปได้เลย”

“เร็วไปไหมเนี่ย?” เฟิ่งชิงหัวน้ำตาคลอ
“เร็ว? อย่างนั้นคืนวันนี้พวกเราก็ร่วมห้องกันเสียเลย แล้วเจ้าค่อยไปพรุ่งนี้” แววตาของเขาเป็นการเยาะเย้ยเล็กน้อยแล้วเหล่มองนาง

เฟิ่งชิงหัวรีบเปลี่ยนคำพูด “ข้ารู้สึกว่าความคิดนี้ของท่านอ๋องก็ดีเหมือนกัน ไปวันนี้เลยก็ได้ ไปทำความคุ้นเคยเอาไว้ก่อนก็ดีเช่นกัน”

“อืม ก่อนจะไป ต้องมาทำความเข้าใจเรื่องกฎกันก่อน”

“ท่านอ๋อง ไม่ต้องหรอกกระมัง เรื่องนี้ข้าไม่ได้อยากไปอยู่แล้ว……” เฟิ่งชิงหัวเตรียมจะปฏิเสธทางอ้อม แต่ชายคนนี้ก็ปฏิเสธขึ้นมาอย่างไม่มีเยื่อใย

“ข้อแรก ห้ามให้ใครรู้สถานะพระชายา ข้อสอง ห้ามให้ใครรู้ว่าเป็นสตรีแต่งชาย ข้อสามห้ามหาเรื่องผู้ชายอื่น”