บทที่ 102 เสื้อผ้าขาดๆ 1

พลิกชะตาหมอยา

เฟิ่งชิงหัวอ้าปากเตรียมจะกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ลึกซึ้งราวมหาสมุทรของเขา นางก็กลืนคำพูดทุกอย่างกลับลงไป ได้แต่กล่าวตอบรับอย่างอ้ำอึ้งไม่กี่ประโยค

เพิ่งจะกล่าวจบ หลิวหยิ่งก็หอบชุดเข้ามา เฟิ่งชิงหัวเมื่อเห็นชุดสีเทาเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วมองจ้านเป่ยเซียวอย่างไม่สบอารมณ์

ทันใดนั้นก็ได้ยินหลิวหยิ่งกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “พระชายา นี่คือชุดที่ตั้งใจเตรียมมาให้พระชายาขอรับ”

เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ให้ข้าแต่งกายเป็นชายยังไม่พอ ยังให้ข้าแต่งชุดน่าเกลียดขนาดนี้อีก รสนิยมของพวกท่านไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”

หลิวหยิ่งก้มหน้ามองพื้น ไม่กล้าสบตากับใคร เพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้

เจ้านายทะเลาะกัน คนเป็นบ่าวอย่างเขาไม่อยากเอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย

หลิวหยิ่งคงพยายามลืมความจริงที่ว่า นี่คือความคิดที่เขาเป็นคนเสนอออกมาเอง

เฟิ่งชิงหัวรับเสื้อผ้าสีเทาชุดนั้นมา จากนั้นจะพลิกดูชุดจึงเห็นว่ามีผ้าสีเข้มปะอยู่อย่างเห็นเด่นชัด แสดงว่านี้เป็นเพียงเสื้อขาดๆ ชุดหนึ่งเท่านั้น

เฟิ่งชิงหัวถลึงตา จากนั้นจึงหันไปทางจ้านเป่ยเซียว “ทำไมท่านไม่เอาชุดขอทานมาให้ข้าเลยล่ะ ท่านใช้ให้ข้าไปทำงาน อย่างน้อยๆ ก็ควรหาเสื้อผ้าดีๆ มาให้ข้าสักชิ้นนะ คำโบราณว่าเอาไว้ว่าคนอาศัยเสื้อผ้า ม้าอาศัยอาน เสื้อผ้าเป็นความประทับใจแรกระหว่างมนุษย์ด้วยกัน”

สายตาของเฟิ่งชิงหัวกำลังส่งสาส์นว่า “ท่านกำลังแกล้งข้าอยู่”

จ้านเป่ยเซียววางถ้วยน้ำชาลง แล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “ไปลองดูสิ”

เฟิ่งชิงหัวไปลองอย่างไม่เต็มใจ หลังจากเดินออกไปได้สักพัก จ้านเป่ยเซียวที่กำลังกวาดตามองไปรอบๆ ก็หยุดชะงัก

ผู้ชายตรงหน้างดงามราวภาพวาด ริมฝีปากแดงตัดกับฟันขาวสะอาด ท่าทางของเขาสง่างามสะอาดสะอ้าน ดวงตาคู่นั้นยังปรากฏความไม่พอใจจ้องมาที่ตน

มือของจ้านเป่ยเซียวที่วางอยู่บนต้นขายกขึ้น เขาเหล่ตาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ยังขาดอะไรบางอย่าง”

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็เอามือกอดอกไว้แน่น แล้วเหล่ตาไปมองหลิวหยิ่ง “ได้ยินไหม เจ้านายเจ้าบอกว่ายังขาดอะไรบางอย่าง ยังไม่รีบไปเอาถ้วยพังๆกับไม้เท้าผุๆ มาให้ข้าอีก หากข้าได้อีกสองอย่างนี้มาเติมข้าก็สามารถกลายเป็นขอทานได้แล้ว และบางทีข้าอาจจะไปหาทำเลที่คึกคักหน่อยเพื่อหารายได้ วันหน้าตำหนักอ๋องเจ็ดอันใหญ่โตแห่งนี้อาจจจะต้องพึ่งพาข้าก็ได้นะ”

หลิวหยิ่งได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าละอายใจ เขาอยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็พยายามอดกลั้นเอาไว้ โดยเอามือจิกเข้าที่ต้นขาของตน

จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “ไปเอาหน้ากากในห้องข้ามา”

หลิวหยิ่งเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็เอาหน้ากากสีดำที่จ้านเป่ยเซียวเคยใส่ที่วางไว้ในกล่องผ้ายกออกมา

โลหะสีดำสนิทที่ให้ความรู้สึกราวมี เปล่งประกายหนาวยะเยือกออกมาถึงภายนอก

“ใส่เสียซิ” จ้านเป่ยเซียวหันไปกล่าวกับเฟิ่งชิงหัว

เฟิ่งชิงหัวชี้เข้าที่หน้าของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ท่านให้ข้าใส่หน้ากากของท่านออกจากจวนงั้นหรือ”

ไปทำงาน ลำพังแค่ใส่หน้ากากพังๆ ก็ว่าแย่แล้ว ตอนนี้แม้แต่หน้านางก็ไม่ให้ใครเห็นด้วยหรือ

“เจ้าอยากจะใส่หน้ากากออกจากบ้านหรือว่าอยากให้ข้าวาดหน้าให้ก่อนออกจากจวนล่ะ” จ้านเป่ยเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเงียบสงบและจริงจังเป็นอย่างมาก

เฟิ่งชิงหัวใส่หน้ากากเข้าไปทันที หน้ากากนั้นบดบังใบหน้าของนางไปครึ่งหนึ่ง ทำให้ใบหน้าของนางเหลือให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้างและริมฝีปากของนางเท่านั้น ตอนนี้นางจึงดูเป็นคนที่ลึกลับมากทีเดียว

จ้านเป่ยเซียวจ้องไปที่ดวงตาของเฟิ่งชิงหัว คิ้วของเขาขมวดแน่น ในใจของเขากำลังสับสน ตอนนั้นเขารู้สึกจดจำใบหน้าที่แท้จริงของนางไม่ได้

ตอนนี้รู้สึกแค่ว่าผู้หญิงคนนี้มีสายตาที่ดื้อรั้น ริมฝีปากมีรอยยิ้มเย้ยหยันและดื้อดึงไม่สนใจใคร

เฟิ่งชิงหัวมองสำรวจตนเองตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง เสื้อขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างอันผอมบางของนางเอาไว้ หน้าอกก็ถูกผ้าปกคลุมเอาไว้จนไม่เห็นส่วนเว้าส่วนโค้ง ดูแล้วไม่ต่างจากผู้ชายคนหนึ่งจริงๆ