ตอนที่ 98 สารภาพรัก ความโกรธเคืองของเชียนเสวี่ย (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 98 สารภาพรัก ความโกรธเคืองของเชียนเสวี่ย (3)

หนิงเซ่าชิงหวีผมให้นางพร้อมกับพูดขึ้น “ในตอนนั้น ข้าเปี่ยมไปด้วยความเสียใจ คิดว่าชีวิตนี้จะเป็นเช่นนี้แล้ว ฟื้นขึ้นมา ก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่นานเท่านั้น จะมีสิทธิ์ไปชอบเจ้าได้อย่างไร…วันนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจเขวี้ยงถาดน้ำชา หลังจากดึงสติกลับมา ข้าเสียใจอย่างมาก ทว่าก็ไม่ได้ลุกขึ้นไปปลอบเจ้า คิดแค่ว่า อาจจะไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้อีก เหตุใดจึงต้องเพิ่มปัญหาเหล่านี้ให้กับเจ้า…”

น้ำเสียงนิ่งงันของหนิงเซ่าชิงไหลเวียนด้วยความรัก มั่วเชียนเสวี่ยที่เมื่อครู่โมโหแทบเป็นแทบตายเวลานี้กลับรู้สึกประหม่าขึ้นมา เพราะถึงอย่างไร นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสารภาพรักกับตน แม้จะไม่ได้พูดคำว่า ‘ข้ารักเจ้า’ สามคำนั้นออกมาตรงๆ

ทว่า ความรักใคร่ที่อยู่ในคำพูดของเขากลับยาวนาน ลึกล้ำ เทียบกับสามคำที่เบาบางนั้นแล้ว ดีกว่าไม่รู้เท่าใด

“ตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เห็นเจ้ามองข้าเช่นนั้น ทำให้ข้ารู้สึก…”

หนิงเซ่าชิงพูดด้วยความรัก ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับรู้สึกเลี่ยน ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดขึ้น “ตอนนั้นท่านรู้สึกว่าข้ารักท่านมาก เหมือนความห่วงใยที่มารดามีต่อบุตรใช่หรือไม่”

หนิงเซ่าชิงถลึงตามองไปที่นาง “เจ้าจะฟังข้าพูดต่อหรือไม่ หรือว่าเจ้าอยาก…” เผยฟันออกมา

มั่วเชียนเสวี่ยมองเห็นฟันขาวที่อยู่ระหว่างริมฝีปาก ผลักเขาออกไป “ฟัง! ข้าฟัง”

หนิงเซ่าชิงเหยียดตัวลุกขึ้นไปตามแรงผลัก ก้าวเดินไปมาในห้อง พูดขึ้นเงียบๆ

เขาพูดถึงความรู้สึกของตนในตอนนั้น บอกว่าวันนั้นฟื้นขึ้นมา นางมอบความอบอุ่นให้เขาเป็นความอบอุ่นที่เขาไม่เคยมีมาก่อน แล้วเล่าต่อว่าแท้จริงแล้วมารดาในจวนตระกูลหนิงไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดเขา เรื่องนี้เมื่อคราวก่อนเขาพูดเพียงผิวเผิน ทว่าครั้งนี้กลับพูดอย่างละเอียด

มั่วเขียนเสวี่ยนอนฟังบนตั่งเงียบๆ

เขาบรรดาศักดิ์สูงส่งแต่กำเนิด มีรูปโฉมโดดเด่น พากเพียรตั้งแต่เล็ก ปราดเปรื่องเหนือผู้คน เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของภรรยาเอก จึงถูกกำหนดให้เป็นหัวหน้าตระกูลตั้งแต่ยังเล็ก

แต่เพราะเหตุนี้ ผู้อื่นเคารพเขา หวาดกลัวเขา เขาจึงโดดเดี่ยวตั้งแต่เล็ก ไม่มีเพื่อนเล่น ไม่มีมิตรสหาย ข้างกายเขานอกจากสาวใช้และผู้ติดตาม ก็ไม่มีใครอื่นอีกเลย

จำได้ดีตอนที่เขารู้ว่ามารดาเลี้ยงมีน้องชายให้เขา เขาดีใจมากเพียงใด ในที่สุดก็มีคนสามารถร่วมเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับตน เขาโอ้อวดไปทั่วว่าตนมีน้องชายแล้ว คุยโวว่าน้องชายของตนหล่อเหลามากเพียงใด ฉลาดหลักแหลมมากเพียงใด

จำได้ว่าตอนที่เพิ่งเข้าเรียนสำนักศึกษาตระกูล รุ่นพี่ในตระกูลเดียวกันในสำนักศึกษาตระกูลคนหนึ่งบอกว่า ทารกบนโลกใบนี้ล้วนเหมือนกัน ได้แต่ร้องไห้ งอแง หน้าตาน่าเกลียดเหมือนผู้เฒ่า เขาโมโหอย่างมาก คว้าตัวคนผู้นั้นมาแล้วสั่งสอน หลังจากนั้น โดนบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลลงโทษให้คุกเข่าที่ศาลบรรพบุรุษ แต่ว่าเขาไม่เสียใจ เขายังคงยิ้ม

มารดาเลี้ยงดีกับเขามาก อ่อนโยนมาโดยตลอด ใบหน้าของนางมักจะเปื้อนยิ้ม ตอนที่เขาไม่สบายก็คอยดูแล ยามอากาศหนาวเย็นก็คอยกำชับให้เขาใส่เสื้อผ้าเพิ่ม น้องชายก็ติดเขามาก มักจะคลานมาเล่นอยู่ข้างๆ เขา สิ่งนี้ทำให้เขาสัมผัสถึงความรู้สึกของครอบครัว

นานวันเข้า เขาคิดว่านางรักตนเหมือนบุตรในไส้ เขาเองก็รักนางเหมือนมารดาผู้ให้กำเนิด รักน้องชายเหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน

พูดถึงตรงนี้ เขาหยุดพูด เปลี่ยนบทสนทนาไม่พูดถึงเรื่องในอดีตอีก แล้วพูดขึ้นเบาๆ “เชียนเสวี่ย นับตั้งแต่วันนี้ ครอบครัวของข้าก็คือเจ้า ชีวิตนี้…มีเจ้าก็เพียงพอแล้ว! ”

ถ้อยคำนี้ก้าวกระโดดเกินไป คำปลอบโยนมากมายที่มั่วเชียนเสวี่ยเตรียมเอาไว้ติดอยู่ที่คอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในเวลาเดียวกันที่นางทรมานจนน้ำตาคลอเบ้า เหยียดตัวขึ้นนั่งแล้วเกาศีรษะ

คำพูดเหล่านี้ นางเพิกเฉยไปโดยปริยาย

นางไม่ค่อยอยากจะเชื่อ คำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากชายหนุ่มโบราณที่แสนจะงุ่มงาม นี่คือ? ประกาศว่าจะไม่ไปจากนางไม่ทอดทิ้งนาง?

หนิงเซ่าชิงเห็นนางก้มหน้าลงไม่พูดสิ่งใด ทอดถอนหายใจแล้วโน้มตัวลงกอดเอวของนาง อุ้มนางขึ้นมา หันหน้าเข้าหาตน

นางไม่เชื่อเขาหรือ

เป็นเพราะ…ตอนนี้เขายังไม่ได้ร่วมหลับนอนกับนางหรือ

หรือว่า…

คำพูดบางอย่าง เขาไม่กล้าพูดตอนกลางคืน เรื่องบางเรื่อง เขาไม่กล้าทำตอนกลางคืน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เขากลัว ไม่อาจหยุดยั้งได้!

เมื่อครู่ เขาเกือบอดใจไม่ไหวอยากจะร่วมรักกับนางแล้ว

ก้มหน้าลงประทับจุมพิตลงบนหน้าผากนวลเนียนของมั่วเชียนเสวี่ย โน้มตัวลง จุมพิตดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตา หัวใจสั่นเทา จูบนั่นช่างเบาบาง ทั้งยังทะนุถนอม

มีคนคอยเห็นใจช่างเป็นความรู้สึกที่งดงาม เจ้าเจ็บนางก็เจ็บ เจ้าร่ำไห้นางก็ร่ำไห้

……

หลังจากผ่านการพยายามอยู่หลายวัน มั่วเชียนเสวี่ยรวบรวมนิทานบางส่วน ในที่สุดก็วาดนิทานภาพกว่าสิบแผ่นเสร็จ นั่งเกวียนมายังเรือนตระกูลถง

เหมือนว่าผู้ที่มีอาการออทิสซึมรุนแรงล้วนกลัวที่จะสื่อสารกับโลกภายนอก ปิดตัวเองเอาไว้ มีความสุขตามลำพัง…นิทานเหล่านี้ของนาง ผ่านการคัดเลือกแล้วคัดเลือกอีก

ตอนเด็กๆ มั่วเชียนเสวี่ยเคยมีเพื่อนที่ป่วยเป็นออทิสติก อยู่ในห้องไม่เคยเป็นฝ่ายพูดคุยกับใครก่อน และไม่เข้าห้องน้ำ เวลาถามอะไรก็เพียงแค่จ้องมองตนเท่านั้น ทั้งยังเรียนไม่เก่ง

แต่ อาจารย์ประจำชั้นในตอนนั้นดีมาก ทั้งยังเป็นคนมีความคิดเปิดกว้าง อาจารย์ให้นักเรียนที่ป่วยเป็นออทิสติกนั่งแถวแรก ดูแลทั้งเรื่องเรียนและเรื่องในชีวิตประจำวันเป็นอย่างดี เวลาทำคะแนนได้ดีขึ้นก็จะให้กำลังใจ ทั้งยังสนับสนุนนักเรียนให้ชอบเพื่อนคนนั้น คอยดูแลเธอ และเล่นเกมกับเธอ หลังจากผ่านการเรียนหนึ่งถึงสองภาคการศึกษา มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่าเธอดีกว่าเมื่อก่อนมาก หากไม่มองอย่างพิจารณาก็ไม่มีอะไรแตกต่างกับคนอื่นเป็นพิเศษ แค่เพียงพูดน้อยไปหน่อย ดูซื่อบื้อเล็กน้อยเท่านั้น

ตอนนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าน่าจะอาการดีขึ้นมากจนกลายเป็นปกติแล้ว

เหมือนนางจะเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง เหมือนว่าไอสไตน์ก็มีอาการออทิสซึม ความเป็นจริงคนที่เป็นออทิสติกมีสติปัญญาสูงมาก ประสบความสำเร็จในบางด้าน แต่ไม่ใช่ว่าคนที่เป็นออทิสติกทุกคนจะสามารถหายดีได้ คนที่ไม่อาจดูแลตนเอง ไม่พูดคุย ไม่สนใจใคร ไม่สามารถพูดคุยกับคนอื่นก็มีมาก

ดังนั้นมั่วเชียนเสวี่ยเองก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำให้คุณชายถงหายดี จึงทำได้แค่ลองเท่านั้น หากได้ผล ก็จะพัฒนาไปอีกขั้น หากไม่ได้ผล เช่นนั้นนางก็ทำได้เพียงถอดใจ

หลังจากเสวนากับท่านผู้เฒ่าถง ท่านผู้เฒ่าถงยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยบอกว่าจะรักษาลูกชายด้วยตนเอง สีหน้าของท่านผู้เฒ่าถงไม่สู้ดีนัก เดิมทีเขาคิดว่า เพียงแค่สอนวิธีบางอย่าง หรือไม่ก็จ่ายยา

ในตอนนั้น มีคำพูดบางอย่างไม่สะดวกที่จะพูด จึงอ้างเหตุผลแล้วออกไป มีพ่อบ้านมาเป็นตัวแทน แม้พ่อบ้านจะอายุมากแล้ว ทว่าเป็นคนมีไหวพริบในการพูด พูดได้อย่างมีเหตุมีผล เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างชัดเจน

แท้จริงแล้ว ตอนนี้คุณชายถงจื่อจิ้งไม่เพียงแค่หัวเราะและไม่ยอมพูดจา แต่ยังกลัวที่จะเข้าใกล้ผู้คน อีกทั้ง กลัวสตรีเข้าใกล้มาก ตอนถงจื่อจิ้งยังเล็ก ท่านผู้เฒ่าถงคิดว่าเมื่อเติบใหญ่อาการป่วยของเขาจะหายไป จึงไม่ให้เขาออกจากห้องมาโดยตลอด

เดิมที ตอนที่เพิ่งถอนพิษ ประมาณสิบกว่าวันถึงครึ่งเดือนถงจื่อจิ้งจะพูดบ้างเป็นบางครั้ง ร้องขอสิ่งต่างๆ เป็นต้น ในตอนหลัง เขาเงียบ จากนั้นไม่นาน อาการก็หนักกว่าเดิม

หลังจากนั้น ก็เพียงแค่หัวเราะ มีบ้างบางครั้งที่จะพูดแต่ก็พูดไม่ได้ทั้งประโยค

ในตอนหลัง เมื่อเขาโตขึ้น ท่านผู้เฒ่าเกรงว่าเขาออกไปข้างนอกแล้วจะขายหน้า จึงยิ่งไม่ให้ถงจื่อจิ้งออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว