ตอนที่ 99 สารภาพรัก ความโกรธเคืองของเชียนเสวี่ย (4)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 99 สารภาพรัก ความโกรธเคืองของเชียนเสวี่ย (4)

เรื่องเหล่านั้นยังไม่ใช่สาเหตุสำคัญ สาเหตุสำคัญที่สุดคือ…

เมื่อสองปีก่อน ท่านผู้เฒ่าถงได้ทำเรื่องที่โง่เขลาอีกครั้ง

ปีนั้น ถงจื่อจิ้งเพิ่งอายุครบยี่สิบปี เห็นว่าถงจื่อจิ้งโตเป็นผู้ใหญ่นานแล้ว ท่านผู้เฒ่าถงทำการบุ่มบ่ามซื้อสตรีมาให้เขาหนึ่งคน เวลาเดียวกันที่อยากให้บุตรชายได้เปิดโลก คิดวางแผนว่าไม่แน่คราวนี้ตนอาจจะได้หลานชาย ตระกูลถงคงไม่ถึงขั้นไร้ผู้สืบสกุล

แต่ผู้ใดจะไปรู้ ถงจื่อจิ้งไม่เปิดใจ ไม่สนใจสตรี ทั้งยังไม่ให้นางเข้าใกล้

สุดท้ายท่านผู้เฒ่าถงโมโห หน้ามืด สั่งให้คนมัดเขา คิดจะให้สตรีผู้นั้นขืนใจบุตรชาย

ถงจื่อจิ้งถูกมัดเอาไว้บนเตียง ร้องไห้อย่างหนัก

อย่างไรเสีย จิตใจของมนุษย์ยังคงเป็นก้อนเนื้อ ท่านผู้เฒ่าถงอยู่ด้านนอกได้ยินเช่นนี้ ปวดใจยิ่งนัก บุกเข้าไปห้อง ลากตัวสตรีที่กำลังจะขืนใจบุตรชาย ด้วยความร้อนใจ กระชากแรงเกิน เกิดเสียงดังขึ้น ฉีกเสื้อของสตรีในชั่วพริบตา ได้ยินเสียงฉีกเสื้อ ถงจื่อจิ้งกับหยุดร้องไห้แล้วหัวเราะ

และเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น ถงจื่อจิ้งชอบเสียงฉีกเสื้อผ้า และหลังจากวันนั้น เขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลยแม้เพียงคำเดียว ได้ยินว่า ก่อนหน้านี้บางครั้ง พูดออกมาสองสามคำโดยไม่รู้ตัว

อีกทั้ง ถงจื่อจิ้งในตอนนี้ เกลียดการที่มีคนเข้าใกล้ โดยเฉพาะสตรี

มั่วเชียนเสวี่ยฟังแล้วสั่นเทาไปทั้งตัว ความสงสารสุดท้ายที่มีต่อท่านผู้เฒ่าถงกลายเป็นผุยผง

ดูท่า นางจำเป็นต้องคุยกับเขา ให้เขาเรียนรู้ว่าการให้เกียรติคืออะไร ให้เขารู้ว่าการคิดไปเองของเขานั้นน่ารังเกียจเพียงใด

เขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร คิดเช่นนั้นได้อย่างไร

ให้สตรีคนหนึ่ง ดูหมิ่นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเช่นนี้ มัดบุตรชายของตน ให้สตรีขืนใจ ช่างเหลือเชื่อจริงๆ!

เกรงว่า สุดท้ายแม้จะสามารถรักษาอาการออทิสซึมให้หายดี ทว่าก็เป็นมลทินไปทั้งชีวิต

อีกทั้ง คนปกติคนหนึ่งถูกขังสิบกว่าปี ไม่มีมิตรสหาย ไม่ได้พูดคุยกับผู้คุน ก็กลายเป็นคนโง่และวิปลาสได้

ขณะที่พ่อบ้านถงพูดแก้ตัวให้นายท่านของตนด้วยความกระอักกระอ่วน มั่วเชียนเสวี่ยพุ่งตัวออกไป

เป็นจริงตามที่คาด มองเห็นแผ่นหลังของท่านผู้เฒ่าถงอยู่ด้านนอกไม่ห่างจากประตูเท่าใดนัก ยืนอยู่บนทางเดิน

“ท่าน…”

เดิมทีเตรียมที่จะตำหนิท่านผู้เฒ่าถง ทว่าคิดไม่ถึงตอนที่ท่านผู้เฒ่าถงหันกลับมาใบหน้าของเขากลับเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ แล้วนางจะกรีดแผลในใจ เผชิญหน้ากับชายชรา ที่ทั้งเสียใจและน่าสงสารได้อย่างไร

ดังนั้นคำว่า ‘เจ้า’ ที่อยากพูดออกไป สุดท้ายกลับแปรเปลี่ยนเป็น ‘ท่าน’

เดิมทีเตรียมคำพูดที่ร้ายกาจเอาไว้ สุดท้ายกลับแปรเปลี่ยนเป็นคำพูดให้กำลังใจและปลอบโยน

หลังจากร่างสัญญากับท่านผู้เฒ่าถง มั่วเชียนเสวี่ยก็มาที่ห้องของถงจื่อจิ้ง

ถงจื่อจิ้งเหมือนกับที่นางเห็นเมื่อคราวก่อน ยังคงหัวเราะไปด้วย ฉีกผ้าไปด้วย

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้เข้าใกล้เขา นั่งอยู่ไม่ใกล้และไม่ไกลจากเขา หยิบม้วนภาพวาดขึ้นมา แล้วเลือกออกมาหนึ่งแผ่น

นั่นคือนิทานลูกหมูสามตัว

หมูน้อยและบ้านในภาพวาดล้วนเป็นวิธีการวาดภาพง่ายๆ พูดตามความจริง วาดซับซ้อน นางก็วาดไม่เป็น

ชี้ไปที่ภาพวาด มั่วเชียนเสวี่ยเล่นนิทานให้ท่านผู้เฒ่าถงฟัง เสียงของนางอ่อนโยน เชื่องช้า ขณะที่นางเล่า นางก็คอยถามคำถามท่านผู้เฒ่าถงเหมือนอาจารย์ในโรงเรียนอนุบาล

หลังจากเล่าเรื่องบ้านฟางของหมูตัวที่หนึ่ง นางก็ถามท่านผู้เฒ่าถง “เจ้าคิดว่าบ้านที่ทำด้วยฟางทนทานหรือไม่”

ท่านผู้เฒ่าถงให้ความร่วมมือเหมือนเด็ก ส่ายหน้าแล้วพูด “ไม่ทนทาน! ”

ความเป็นจริง เขาเองก็แปลกใจยิ่งนัก เขารู้สึกว่าตนร่ำเรียนมามากโข ทว่า เขากลับไม่เคยฟังนิทานเรื่องนี้มาก่อน ภาพเช่นนี้ เขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

ช่างน่าเกลียด จริงๆ! หัวหมูนั่น ใหญ่กว่าตัวเสียอีก หมาป่าตัวนั้นก็หัวโตมาก แต่ว่าบ้านที่วาดออกมาถือว่าปกติดี ทว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาให้เขาศึกษาภาพวาด

มั่วเชียนเสวี่ยตอบ “อืม ทนทานหรือไม่ทนทาน พวกเรายังไม่ต้องสนใจ พวกเราไปดูบ้านของลูกหมูตัวที่สองกันเถอะ”

มั่วเชียนเสวี่ยถามตอบกับท่านผู้เฒ่าถง นิทานเรื่องแรกใช้เวลานานมากกว่าจะเล่าจบ

ถงจื่อจิ้งหยุดหัวเราะแล้ว ทั้งยังฉีกผ้าช้าลงเรื่อยๆ

มุมปากของมั่วเชียนเสวี่ยเผยรอยยิ้ม มีปฏิกิริยาตอบโต้แล้ว นางหยิบนิทานเรื่องที่สองออกมา แล้วเริ่มเล่าช้าๆ

เล่านิทานเรื่องที่สองจบ ถงจื่อจิ้งค่อยๆ ขยับเข้ามาหา นั่งอยู่ตรงหน้านาง เหมือนท่านผู้เฒ่าถง ดวงตาทั้งคู่มองมาที่นางด้วยความคาดหวัง

แม้ใบหน้าจะคงความปัญญาอ่อน แต่หลังจากขจัดรอยยิ้มโง่เขลาไปแล้ว หน้าตาหล่อเหลา ดูสง่าผ่าเผย แต่เป็นเพราะไม่ได้ออกกำลังกายมาเป็นเวลานาน สีหน้าซีดเผือด ร่างกายซูบผอม ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสงสาร

นิทานเรื่องที่สาม พูดถึงลูกอ๊อดตามหาแม่

มั่วเชียนเสวี่ยชี้ไปยังปลาหลี่อวี๋ที่อยู่ในภาพวาดลูกอ๊อดแล้วถามท่านผู้เฒ่าถง “ท่านคิดว่าปลาตัวนี้ใช่แม่ของลูกอ๊อดหรือไม่”

ท่านผู้เฒ่าถงฐานันดรศักดิ์สูงส่ง จะเคยเห็นลูกอ๊อดได้อย่างไร เพียงแค่ส่ายหน้าไปมาเท่านั้น

มั่วเชียนเสวี่ยถามถงจื่อจิ้ง ถงจื่อจิ้งเพียงแค่จ้องมองภาพวาดในมือของนาง ไม่ได้ตอบคำถาม

ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่ได้ผิดหวัง เพียงแค่ดึงความสนใจมากจากเขาได้ ก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว อธิบายได้ว่าอย่างน้อยเขาก็มีความสามารถในกระบวนการคิด นางเห็นถงจื่อจิ้งไม่ตอบ จึงตอบเอง แล้วชักนำ “เรามาดูไปพร้อมกันเถอะ ลูกอ๊อดตัวสีดำ ทว่าปลาตัวนี้สีแดง พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาเหมือนกันหรือไม่”

ท่านผู้เฒ่าถงเข้าสู่บทบาทตัวละคร ส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว “ไม่เหมือน! ”

“เรามาดูกันต่อเถอะ ลูกอ๊อดตัวยาว มีหาง แต่ปลาหลี่อวี๋กลับตัวแบน พวกเจ้าคิดว่า พวกเขาเหมือนกันหรือไม่”

ยังคงเป็นท่านผู้เฒ่าถงตอบ “ไม่เหมือน! ”

หลังจากผ่านการถามตอบเช่นนี้หลายครั้ง ใบหน้าของถงจื่อจิ้งเผยความอยากลอง

นิทานเรื่องที่หก…ตอนเล่านิทานนกกระเรียนดื่มน้ำ มั่วเชียนเสวี่ยถามอีก “พวกเจ้าคิดว่า นกกระเรียนปากยาวเช่นนี้ สามารถดื่มน้ำในจานได้หรือไม่”

ท่านผู้เฒ่าถงกำลังจะตอบ ทว่ากลับถูกสายตาของมั่วเชียนเสวี่ยปรามเอาไว้

มั่วเชียนเสวี่ยหันไปมองถงจื่อจิ้ง พูดทีละคำ เอ่ยถามช้าๆ “หนูน้อย เจ้าคิดว่า นกกระเรียนปากยาวเช่นนี้ สามารถดื่มน้ำในจานได้หรือไม่ ช่วยบอกพี่สาวหน่อยได้ไหม”

ความคิดของถงจื่อจิ้งหยุดอยู่ที่ช่วงอายุสามถึงสี่ขวบ ยังไม่รู้ว่าตนโตแล้ว แน่นอนสรรพนามที่ใช้เรียกเขาจึงต้องเป็นคำว่าหนูน้อย เด็กน้อยเป็นต้น

ท่านผู้เฒ่าถงตกตะลึงกับสรรพนามไม่รู้จักแยกแยะ ที่นางใช้เรียก หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าแววตาของบุตรชายแปรเปลี่ยน เกรงว่าเขาคงสะบัดเสื้อแล้วเดินออกไปนานแล้ว

“ไม่…ได้! ” ในที่สุดถงจื่อจิ้งก็เอ่ยปากพูดแล้ว

อาจจะเป็นเพราะไม่ได้พูดมานาน สองคำนี้ พูดติดติดขัดขัด เสียงแหบพร่า แผ่วเบา หากไม่ตั้งใจฟัง ก็ไม่อาจได้ยิน

แต่ว่า เสียงแผ่วเบาเช่นนี้ เสียงค่อยเช่นนี้ เสียงทุ้มต่ำเช่นนี้ ก็เพียงพอให้มั่วเชียนเสวี่ยดีใจ เพียงพอให้ท่านผู้เฒ่าถงน้ำตารินไหล