ตอนที่ 169 ข้า ออกหมายจับนักโทษหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 169 ข้า ออกหมายจับนักโทษหรือ

ฉินหลิวซีฝังเข็มให้ลุงหลี่ จากนั้นให้ใบสั่งยา จึงหยิบเงินค่าเกี๊ยวมาวางเอาไว้

“ท่านดูท่านสิ เห็นลุงหลี่เป็นคนอื่นคนไกลแล้ว ท่านฝังเข็มให้ข้าไม่พอยังออกใบสั่งยาให้ด้วย เงินสักแปะเดียวข้าก็ไม่ได้จ่ายค่ารักษาของท่าน ท่านกลับจ่ายเงินค่าข้าวกับข้า เช่นนั้นข้าจ่ายเงินค่ารักษาให้ท่านด้วยดีหรือไม่” ลุงหลี่ตั้งมั่นว่าจะไม่เอา เอ่ย “ข้ารู้ว่าท่านผู้นี้มีเหตุและผล วันอื่นท่านกินแล้วจ่ายเงินก็ช่างเถิด ยามนี้ท่านยังมาจ่ายเงิน เช่นนั้นข้าก็ต้องจ่ายค่ารักษา”

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าท่านจะต้องเอ่ยอย่างนี้ ดังนั้นส่วนที่ข้าจ่ายคือส่วนของสหายข้า”

นางวางเงินสิบอีแปะเอาไว้ เอ่ย “ร้านเล็กๆ กำไรไม่มาก จะให้พวกท่านเสียเปรียบได้อย่างไร”

อวี้ฉังคงได้ยินคำว่าสหาย จึงหันมามองนาง

ลุงหลี่เก็บเงินสิบอีแปะขึ้นมา วางเงินไว้ในตะกร้า เอ่ย “ได้ เช่นนั้นข้ารับเอาไว้แล้ว”

ฉินหลิวซีพยักหน้า เอ่ย “เช่นนั้นข้าไปแล้ว วันหน้าค่อยมาใหม่”

“ได้ๆ มาบ่อยๆ นะ”

อวี้ฉังคงเดินออกมาจากร้านเล็กๆ พร้อมอีกฝ่าย เอ่ย “ท่านสนิทกับพวกเขามากทีเดียว”

“ใช่ ข้าเองก็เป็นลูกค้าประจำแล้ว กินมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ จะไม่คุ้นเคยได้อย่างไร” ฉินหลิวซีเอ่ย “เด็กที่ชื่อเจวียนเอ๋อร์นั่น ตอนที่ข้าเจอนาง ยังพูดไม่ได้เลย เพียงกะพริบตาก็โตเป็นสาวแล้ว”

“ท่านเอ่ยเช่นนี้ ดูราวกับอายุมากแล้ว” อวี้ฉังคงรอยยิ้มจืดเจื่อน เอ่ย “ข้าได้ยินลุงหลี่เรียกท่านว่าคุณชายเสี่ยวฉิน แม่นางหลี่ก็เรียกท่านว่าพี่ชายฉิน พวกเขาไม่รู้ว่าท่านคือปรมาจารย์ปู้ฉิวแห่งอารามเต๋าหรือ”

“ข้าแตกต่างจากนักพรตเต๋าทั่วไป ปกติไม่อยู่ในอาราม เดินไปเดินมาอยู่ในเมือง ดังนั้นจึงน้อยนักที่จะอยู่ในฐานะนักพรต นอกจากจำเป็นต้องทำ ลุงหลี่เองก็รู้ว่าข้าคือนักพรตอารามชิงผิง เพียงแต่ข้าไม่ชอบได้ยินที่พวกเขาเรียกท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ปกติแล้วให้พวกเขาเรียกแซ่ แซ่ของข้าคือแซ่ฉิน พวกเขายกย่องจึงได้เรียกว่าคุณชาย”

อวี้ฉังคงเอ่ยขึ้นอีก “ปกติพวกข้าก็เรียกท่านว่าท่านอาจารย์ ไม่รู้ว่าท่านไม่สะดวกใจหรือไม่”

“คำเรียกขานเท่านั้น อาจารย์ก็เพียงชื่อเสียงจอมปลอม คนมาทำบุญใช้เรียกกันเท่านั้น” ฉินหลิวซีไม่ใส่ใจ

อวี้ฉังคงเงียบไปชั่วครู่ “ท่านเป็นนักพรตในลัทธิเต๋า ข้าไม่รู้ว่าท่านต้องตั้งฉายา หรือใช้ฉายาทางเต๋าเป็นชื่อ เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าเสี่ยวฉินได้หรือไม่ หรือปู้ฉิวดีกว่า”

หรือชื่อจริงๆ

ฉินหลิวซีมองเขา มองความสงสัยในดวงตาของเขา ครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เอ่ย “เป็นเพียงการเรียกขานเท่านั้น เรียกเสี่ยวฉินเถิด ข้าอายุน้อยกว่าท่านคุณชายฉังคง”

“ได้” คิ้วของอวี้ฉังคงคลายออก “เช่นนั้นท่านก็ใช้คุณชายมาเรียกข้ามิได้ ต้องเรียกชื่อของข้า ชื่อจริงๆ ของข้าคืออวี้ลิ่งสือ”

ทั้งสองเดินออกมาจากตรอกสือชุ่น เดินมาถึงเขตเมืองถนนตะวันตก ที่กระดานป้ายประกาศ มีผู้คนรุมล้อมกำลังชี้ไม่ชี้มือพูดคุยกัน ท่าทางตื่นเต้น

“รางวัลร้อยตำลึง โอ้ ข้ายังจะขายข้าวไปทำไม ตามหาคนผู้นี้ให้เจอ ไม่ยากที่ครอบครัวจะมีชีวิตที่ดี”

“นั่นน่ะสิ เงินรางวัลหนึ่งร้อยตำลึง ถ้าได้มาแล้ว ซื้อที่ดินไม่กี่หมู่ก็เรียกว่ารวยที่ดินแล้ว”

“หากข้ามีหนึ่งร้อยตำลึง สตรีสองหมู่บ้านจะไม่มาต่อแถวให้ข้าเลือกเป็นภรรยาหรอกหรือ”

“ใช่แล้ว ไม่แน่ยังมีครอบครัวรองได้ข้าอีกด้วย”

“ยังช้าอยู่ไย รีบไปตามหาสิ ผู้ใดหาเจอก็เป็นของผู้นั้น เงินตั้งร้อยตำลึงเชียวนะ”

อวี้ฉังคงฟังคำเหล่านี้ จึงเอ่ย “คงเป็นประกาศจับนักโทษของหยาเหมิน คนเยอะ พวกเราเปลี่ยนเส้นทางหรือไม่ จะได้ไม่เดินชน”

“ประกาศจับนักโทษ เงินรางวัลหนึ่งร้อยตำลึง ยังมีเรื่องดีแบบนี้ด้วยหรือ ข้าต้องเอาด้วยสิ” ฉินหลิวซีตั้งมั่นว่าจะไม่พลาดโอกาสหาเงิน เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ไป พวกเราไปดูสักหน่อย ข้าเพียงดูหน้าตาของคนผู้นั้น ทำนายดูสักหน่อย เงินนี้จะต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน”

อวี้ฉังคง “…”

ไยจึงบ้าเงินถึงเพียงนี้

อวี้ฉังคงมองฉินหลิวซีเดินเบียดเข้าไป หันไปเอ่ย “ต้าฉยง พวกเจ้าระวังสักหน่อย อย่าให้คนไม่มีตาชนท่านอาจารย์”

“ขอรับ”

อวี้ฉังคงเดินตามเข้าไป หางตามองคนที่เข้ามาใกล้ คิ้วขมวดมุ่น สะบัดแขนเสื้อเลี่ยงออกสักหน่อย แต่เมื่อเขามองดู อีกฝ่ายกลับหายไปแล้ว

เท้าของอวี้ฉังคงหยุดชะงักเล็กน้อย ขยี้หางตาเบาๆ ดวงตาหายดี ต้องตาฝาดเช่นนี้หรือ

เขาไม่ได้คิดอะไรมาก หรี่ตาลง เดินตรงไปหาฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีใกล้เข้าไปถึงประกาศแล้ว

“โอ้ ทำอะไร อย่าเบียดสิ อยาก…” มีคนถูกนางเบียดออก รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมา เมื่อหันมาด่าหนึ่งประโยคพลางจ้องมองนาง จากนั้นจึงหันไปมองป้ายประกาศ ดวงตาฉายแววสงสัย

ฉินหลิวซียิ้มตาหยี เอ่ย “พี่ชาย ประกาศจับนักโทษเป็นเรื่องดีๆ ที่ประชาชนทำเพื่อแผ่นดินได้ พวกเราต้องเข้าร่วมอย่างกระตือรือร้นมิใช่หรือ ไม่ใช่เพราะเงิน ท่านหลบสักหน่อย ข้าเพียงอยากดูว่าคนผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร”

อีกฝ่าย “!”

มุมปากเขากระตุก ชี้มาที่นาง “เจ้า กินเมล็ดแตงหรือไม่”

ระหว่างที่เอ่ย ก็ควักเมล็ดแตงออกมาจากกระเป๋ายื่นไปให้

ฉินหลิวซีคิดในใจจะรับน้ำใจคนฝั่งถนนตะวันตกนี้ดีหรือไม่ ผู้คนที่นี่ช่างเป็นมิตร

นางยังไม่รับ แขนเสื้อก็ถูกดึง

“ทำไมหรือ”

“คุณชาย ท่านรีบดูสิ” เฉินผียื่นปากไปทางรูปภาพ เอ่ย “ไม่ถูกสิ ข้าดูรูปนี้ ไยจึงคล้ายท่านเล่า”

ฉินหลิวซี “…”

เล่นอะไรกัน

นางเดินเข้าไปเงยหน้ามองใกล้ๆ เอ๋

ภาพหน้าประตูจวนตระกูลจ้าว คนไม่กี่คนกำลังฉุดยื้อ อีกฝั่งเป็นกลุ่มคนที่มาดู หนึ่งในนั้นเป็นภาพบุคคลขนาดใหญ่อยู่ในชุดสีคราม มัดผมหางม้าสูง มีเมล็ดแตงจำนวนหนึ่งอยู่ในมือ คนในภาพยังแทะอยู่หนึ่งเมล็ด ยิ้มตาหยีมองคนเหล่านั้นฉุดยื้อกัน

ภาพกินเมล็ดแตงช่างวาดออกมาได้ละเอียดงดงาม

เพียงแต่ใบหน้านี้ นั่นเรียกว่าใบหน้าได้หรือ จมูกไม่ใช่จมูก ดวงตาไม่ใช่ดวงตา กระจุกรวมอยู่ด้วยกัน ขี้เหร่เป็นบ้า

“เป็นเจ้าหรือไม่” มีคนเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น

ฉินหลิวซีเอ่ย “นี่หากบอกว่าเป็นข้า ดูถูกข้าเกินไปหรือไม่ ข้าหน้าตาเช่นนี้หรือ ช่างผู้ใดวาดกัน มือพิการก็บอก ข้ารักษาได้”

เฉินผีปวดหัว

จุดสำคัญคือภาพเหมือนนี้ คือนางถูกคนเอามาแขวนไว้แล้วตั้งค่าหัวต่างหาก

“เป็นเจ้านี่นา เจ้าแยกแยะดูสิ ดวงตานี่ก็เหมือน อีกทั้งรูปร่างนี้ แม้แต่แถบชายชุดก็ยังเหมือนกัน อีกทั้งผมหางม้านี้ ดวงตาที่ดูเย่อหยิ่ง เป็นเจ้าไม่ผิดแล้ว”

ฉินหลิวซีมองชุดในภาพ จากนั้นมองการแต่งกายในวันนี้ เหมือนกันจริงด้วย

“ใช่ เป็นเจ้า เป็นเจ้าแน่ๆ”

“สวรรค์ นี่คือเงินร้อยตำลึงหรือ”

“ข้าบอกแล้วว่าข้ามีโชค เร็ว จับตัวไปรับเงินรางวัล”

คนรอบข้างมองฉินหลิวซีให้ชัด จากนั้นค่อยๆ ล้อมเข้ามา

ฉินหลิวซี “?”

นางเข้ามาทำอะไร จริงสิ จับนักโทษเอาเงินรางวัล

เช่นนั้นผู้ใดบอกนางได้บ้างว่าเมื่อนางจะจับนักโทษไยจึงกลายมาเป็นตนเองแล้วเล่า ยังถูกติดเอาไว้บนกำแพงนี้ด้วย

ไม่ใช่สิ นางมีค่าเพียงเงินหนึ่งร้อยตำลึงหรือ

คนตาพิการผู้ใดทำกัน ไสหัวออกมา มาคุยกันดีๆ

อวี้ฉังคง “!!!”

ตอนนางออกจากบ้านวันนี้ ได้ทำนายดวงให้ตนเองหรือไม่