ตอนที่ 170 สัตว์ร้าย เจ้ากล้าหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 170 สัตว์ร้าย เจ้ากล้าหรือ

เห็นฉินหลิวซีถูกล้อม อวี้ฉังคงตัดสินใจทันใด “ต้าฉยง”

ต้าฉยงถีบตัวขึ้น ลอยขึ้นมาเหยียบศีรษะของคนที่ล้อมเอาไว้ไม่กี่คน ลอยตัวมาหยุดยืนตรงหน้าฉินหลิวซี เสียงดังชิ้ง

กระบี่ออกจากฝัก

“ผู้ใดกล้าเข้ามา สังหารให้สิ้น”

เอ่อ

ชาวบ้านรีบหยุดเท้า มองกระบี่เงินสะท้อนกับแสงแดดเงาวับ ใบหน้าซีดขาว

ดาบกระบี่ไร้ดวงตา นี่ ใครจะกล้าขยับเล่า

อยากได้เงินก็รักชีวิตมิใช่หรือ

ซื่อฟังคุ้มกันอวี้ฉังคงแหวกผู้คนเข้ามา มายืนอยู่ข้างกายฉินหลิวซี

“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” อวี้ฉังคงถามฉินหลิวซี

ฉินหลิวซี “ไม่เป็นไร เรื่องใหญ่ ข้าถูกคนเอามาติดไว้บนกำแพงแล้ว”

นางฉีกภาพบนกำแพงลงมา เอ่ย “ที่สำคัญก็คือวาดน่าเกลียดมาก ไหนเลยข้าจะหน้าตาเยี่ยงนี้ ท่านดูสิ” นางนำภาพยื่นมาตรงหน้าอวี้ฉังคง มองเห็นสายตาของเขา พลันนึกขึ้นมาได้ “อ้อ ดวงตาท่านยังไม่หายดีนี่ คงจะดูไม่ออก”

อวี้ฉังคงจนคำพูด มองผู้คนเบียดเสียดตรงหน้า เอ่ย “ออกไปจากที่นี่ก่อน”

คนมาก ชุลมุนง่าย

เขาส่งสัญญาณให้ต้าฉยงเปิดทาง ให้ซื่อฟังตามหลัง เขาเดินอยู่ด้านข้างฉินหลิวซี พวกเขาเดินออกมาจากกลุ่มคนพร้อมกัน

“ท่านไปล่วงเกินผู้ใดแล้ว” อวี้ฉังคงถอนหายใจพลางถาม ชี้ไปยังภาพในมือของอีกฝ่าย เอ่ย “มิเช่นนั้น จะตามจับท่านเช่นนี้หรือ”

ฉินหลิวซีส่งเสียง อ้อ ขึ้นมา เอ่ย “ได้อย่างไร ข้าผู้นี้มีไหวพริบที่สุดแล้ว”

ซื่อฟังเดินเข้ามา เอ่ย “ท่านอาจารย์ไม่ทำนายดวงให้ตนเองสักหน่อยหรือ”

ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “นักพรตเต๋า ทำนายดวงให้ผู้อื่นไม่ทำนายให้ตนเอง แต่ข้าสัมผัสได้ ว่าปัญหากำลังพุ่งมาหาข้า”

ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นอย่างไร ก็คือหมาหนึ่งตัว เจ้าไปแย่งกระดูกมัน มันมีความแค้นในใจ เมื่อเห็นเจ้าก็จะพุ่งเข้ามาราวกับหมาบ้า

ความรู้สึกนี้นับวันยิ่งรุนแรง นับวันยิ่งใกล้เข้ามา

“คนเล่า อยู่ที่ใด ดูไม่ผิดใช่หรือไม่ ไม่ได้ปล่อยให้หนีไปกระมัง” น้ำเสียงตื่นเต้นดังขึ้น ดังมาจากมุมหนึ่งของถนน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ชุดสีแดงเพลิง ผมประดับอัญมณี สวมกวน[1]สีม่วงทอง ทั่วทั้งร่างมียันต์คุ้มภัยแขวนอยู่

มู่ซี ลูกหลานชนชั้นสูงคนพาลผู้นั้น นำมาอยู่ด้านหน้า

เขามาแล้วๆ ขี่ม้าตัวใหญ่ นำกำลังคนมามากมาย

แม้อวี้ฉังคงจะมองไม่ชัด แต่หูได้ยินชัดเจน อีกทั้งเห็นกลุ่มคนที่เคลื่อนตัวเข้ามาโดยเร็ว ขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้

คนมากมาย

เขาควรเรียกองครักษ์เงาที่ติดตามมาด้วยออกมาหรือไม่

มิเช่นนั้นหากต่อสู้ กลัวฝ่ายตนเองจะเสียเปรียบ

“เป็นเจ้าจริงด้วย ฮ่าๆ ตามหาจนทั่วแผ่นฟ้า ยามจะมาก็ไม่ต้องเสียแรง ดูสิว่าเจ้าจะหนีไปที่ใดได้อีก” สายตามู่ซีดี มองเห็นฉินหลิวซีมาแต่ไกล ทั้งยังดูออกทันที รีบควบม้าเข้ามาใกล้

ม้าของเขาเป็นม้าชั้นดี ฝีเท้าเร็วและยังเป็นม้าที่มู่ซีเลี้ยง นิสัยบ้าเหมือนเขายิ่ง สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของเจ้านาย ชั่วพริบตาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี มันยกข้าหน้าขึ้น

เหยียบลงข้างๆ นาง

ต้าฉยงก้าวเข้าไปขวางหน้า ทว่าถูกฝ่ามือของฉินหลิวซี คลื่นพลังที่มองไม่เห็นผลักเขากระเด็นออกไป กระทั่งดันให้เหล่าเจ้านายต้องก้าวถอยหลังไปสองก้าว

ต้าฉยงตกใจไม่น้อย

อวี้ฉังคงมองเห็นม้าเหยียบลงมา ระเบิดความโกรธ เอ่ยเสียงดัง “สัตว์ร้าย เจ้ากล้าหรือ”

เขากำลังจะพุ่งตัวเข้าไป ฉินหลิวซีพลันยกมือตีเข้าไปที่ขาของม้าที่กำลังเหยียบลงมา ไม่รู้ทำไม เท้าของม้าพลันโค้งงอ เปลี่ยนทิศทาง ล้มลงไปด้านข้าง

ม้าล้ม มู่ซีไม่ทันตั้งตัวจึงร่วงตามลงมาด้วย

องครักษ์ต่างพากันตื่นตกใจ “ท่านซื่อจื่อ”

แย่แล้ว ชีวิตของพวกเขาจะจบแล้ว

ผู้คนรีบกรูกันเข้าไปช่วยทว่าไม่ทันเงาสีดำที่ลอยเข้ามา คว้ามู่ซีที่กำลังร่วงลงพื้นขึ้นมา วางลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง กระทั่งทุกคนได้สติกลับมา เงาสีดำนั้นก็ไม่เห็นแล้ว

ฉินหลิวซีหันมองไปยังทิศทางหนึ่ง

สติของทุกคนยังไม่ทันนิ่ง หนุ่มน้อยรับใช้ข้างกายและซวงเฉวียนเดินเข้ามาอยู่ข้างกายมู่ซีด้วยใบหน้าซีดขาว เอ่ยถามรัวเร็ว “ท่านซื่อจื่อ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”

“ไม่เป็นไร” มู่ซีผลักเขาออก เดินตรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี ยังไม่ทันเอ่ยปาก ตรงหน้าอีกฝ่ายก็มีคนเดินเข้ามาขวางไว้

มู่ซีชะงัก เยหน้าขึ้นไปมอง ชายผู้นี้หล่อเหลา เพียงแต่สีหน้าไม่ดีเท่าใดนัก ดูเจ็บป่วยและอ่อนแอ อืม ไม่ใช่รสนิยมของเขา

“เจ้าเป็นใคร หลีกไปเสีย”

อวี้ฉังคงยกมือประสาน เอ่ยเสียงเรียบ “ควบม้าไปในถนน ท่านไม่สนใจความเป็นตายของผู้คน”

มู่ซีไม่พอใจที่ถูกสั่งสอน อารมณ์เด็กๆ พุ่งทะยานขึ้นมา เอ่ยด้วยใบหน้าทะมึน “เจ้าเป็นใครกัน ข้าเป็นอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าแส่หาเรื่องเกินไปแล้วกระมัง รีบไสหัวไป”

อวี้ฉังคงไม่สนใจเขา เพียงหันไปเอ่ยถาม “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

ฉินหลิวซีเห็นเขายืนอยู่ด้านหน้า ดวงตาโค้งลง “ไม่เป็นไร”

นางเดินออกมา มองมู่ซีพองขน เอ่ย “มู่ซื่อจื่อหรือ”

อวี้ฉังคงได้ยินชื่อนี้ หัวคิ้วขมวดขึ้น มองไปยังมู่ซี เอ่ย “มู่ซื่อจื่อหรือ จวนเฉิงเอินโหวนั่นน่ะหรือ”

“เป็นข้าเอง ยังไม่หลบไปอีกหรือ”

อวี้ฉังคงยิ้มเย็น “ได้ยินมานานว่าซื่อจื่อเพียงหนึ่งเดียวในจวนเฉิงเอินโหวนิสัยดื้อรั้น ไม่เห็นกฏหมายอยู่ในสายตา ยามนี้ได้เห็น ไม่ผิดไปเลยจริงๆ ควบม้าบนถนน ไม่สนใจชีวิตความปลอดภัยของผู้คน นี่คือนิสัยของคนจวนเฉินอันโหว หรือจวนของท่านคิดว่าแผ่นดินนี้เป็นของตระกูลมู่กัน”

น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือก กระทั่งแฝงความหงุดหงิดทำให้มู่ซีนิ่งค้าง

แต่ไม่นาน มู่ซีก็ได้สติ กระทืบเท้าชี้หน้าเขา “เจ้า เจ้าเป็นใคร กล้าเอ่ยไร้สาระต่อหน้าข้า”

“สกุลอวี้ ฉังคง” อวี้ฉังคงเอ่ยบอกฐานะของตนเสียงเรียบ

มู่ซีไม่ตอบสนองชั่วขณะ ทว่าซวงเฉวียนกลับนึกขึ้นมาได้ เขาก็ว่าคนตรงหน้านั้นคุ้นตา เหมือนเคยเจอที่ไหน ยามนี้อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น เขาจึงนึกขึ้นมาได้แล้ว

เมืองหลวงมีกิจการชื่อร้านซวงเจวี๋ย ด้านในมีศิลปะสี่แขนงยอดเยี่ยมครบครัน ทุกอย่างล้วนเป็นของดี และร้านซวงเจวี๋ยแห่งนี้ ยังมีการจัดอันดับผู้มีความสามารถฝั่งบุรุษและสตรี ต้าเฟิงห้าสิบอันดับแรกต่างก็อยู่ในนั้น

อันดับฝั่งบุรุษ สกุลอวี้ ฉังคงอยู่อันดับสอง ไยจึงไม่เป็นอันดับหนึ่ง ก็เพราะอวี้ฉังคงเป็นคนตาบอด

เนื่องด้วยความชอบของคุณชายของตน ซวงเฉวียนก็ติดตามมู่ซีไปด้วย เคยเห็นภาพวาดของอวี้ฉังคงอยู่ในการจัดอันดับ ตอนนั้นเขาเพิ่งสิบห้ากระมัง หล่อเหลามีความสามารถ ทว่าน่าเสียดายพิการ ร่างกายอ่อนแอ และตาบอดทั้งสองข้าง

ยามนี้ได้เห็น อวี้ฉังคงผ่านวัยสวมกวนมาแล้ว ความคมถูกสกัดเอาไว้ ใบหน้าเย็นชา กระบี่อยู่ในฝัก ทว่ากลับทำให้คนไม่กล้าสบตาตรงๆ

ซวงเฉวียนรีบเอ่ยรายงานกับมู่ซีเสียงเบา

มู่ซีเลิกคิ้ว มองไปยังอวี้ฉังคง “ที่แท้เจ้าก็คือคุณชายฉังคนตาบอดผู้นั้น มิน่าเพียงอ้าปากก็ขุดหลุมให้ข้าเสียแล้ว”

อะไรคือแผ่นดินเป็นของตระกูลมู่ นี่กำลังขุดหลุมให้เขาหรือ

คนงามมีพิษไม่โกหก คนรูปงามอ่อนแอผู้นี้เห็นได้ชัดว่ากำลังใส่ร้ายเขา

[1] กวน หรือกวาน คือเครื่องหัวที่ใช้บอกชนชั้น