ตอนที่ 49

Silver Overlord

49 – สัญญาณแรกของอันตราย

หลังจากที่เอี้ยนลี่เฉียงออกจากคฤหาสน์ตระกูลลู่แล้ว นายผู้เฒ่าลู่และพ่อบ้านใหญ่ก็กลับไปที่ห้องโถงโบตั๋นอีกครั้ง

เมื่อทั้งคู่นั่งลงแล้วสาวใช้ก็ยกน้ำชามาให้พวกเขาก่อนจะเดินออกจากห้องด้วยมารยาทอันเคร่งครัด

พวกเขาสองคนเริ่มคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ หลังจากการแลกเปลี่ยนบทสนทนาสองสามครั้งนายผู้เฒ่าลู่ก็ถามพ่อบ้านใหญ่ขึ้นว่า“ เจ้าเจ็ดเจ้าคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?

“ เด็กคนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนเที่ยงธรรมและมีเกียรติเขาไม่ใช่คนปลิ้นปล้อนอย่างแน่นอน นอกจากนั้นวิธีที่เขาปฏิบัติต่อผู้คนก็เต็มไปด้วยความชาญฉลาดและจริงจัง

และด้วยวัยแค่ 14 ปีกลับสามารถผ่านขั้นตอนท่าม้าได้สำเร็จ จากจุดนี้เพียงอย่างเดียวก็ไม่มีเด็กคนใดที่อายุต่ำกว่า 20 ปีในมณฑลสามใกล้เคียงจะเทียบได้ อย่างไรก็ตามในอนาคตแต่ละคน … “

มือที่นายผู้เฒ่าลู่ถือถ้วยน้ำชากระตุกเล็กน้อย “มันคืออะไร?”

“เด็กชายคนนี้อ้างว่าเมืองหลิวเหอจากมณฑลชิงไห่เป็นบ้านเกิดของเขาและเขาอาศัยอยู่กับพ่อที่เป็นช่างตีเหล็ก

อย่างไรก็ตามจากสิ่งที่ข้าได้เห็นในวันนี้ถ้าเด็กชายคนนี้อาศัยอยู่ที่นั่นจริง ชื่อเสียงของเขาคงโด่งดังมานานมาแล้วจากทักษะที่เขาแสดงให้เราเห็นในวันนี้จะไม่มีใครในสามมณฑลบริเวณโดยรอบจะไม่รู้จักชื่อของเขา แต่ด้วยความสัตย์จริงพวกเราไม่เคยได้ยินชื่อของเขาเลย ข้าคิดว่ามันแปลกไปหน่อย! “

“ เจ้าคิดว่าเขาโกหกเหรอ?”

“ หรือบางทีเขาอาจอยู่ในสถานการณ์บางอย่างที่เราไม่รู้!”

นายผู้เฒ่าลู่กวาดฝาถ้วยเหนือถ้วยน้ำชาสองครั้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าคิดว่าเราจะรู้เมื่อเราส่งคนไปถามที่เมืองหวงหลงในวันพรุ่งนี้

ลองขอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูมิหลังของเอี้ยนลี่เฉียง ข้าจะฝากเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ เราไม่อาจปล่อยให้เขาตกอยู่ในมือของคนอื่นได้! “

“เข้าใจแล้วนายผู้เฒ่ามั่นใจได้ ข้าจะทำเรื่องนี้ให้ดีที่สุด!” หลังจากจบประโยคพ่อบ้านใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นมองนายผู้เฒ่าลู่แล้วถามว่า “ข้าขอถามบางอย่างได้หรือไม่ ทำไมนายผู้เฒ่าถึงสนใจเด็กคนนี้?”

ใบหน้าของนายผู้เฒ่าลู่กลายเป็นรอยยิ้ม “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับการให้เอี้ยนลี่เฉียงแต่งงานกับเป่ยเอ๋อ?”

“คุณหนูเก้า! ” ท่าทางประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพ่อบ้านใหญ่ตระกูลลู่ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เตรียมตัวไว้สำหรับเรื่องนี้

คุณหนูเก้าเป่ยเอ๋อร์เป็นหลานสาวที่นายผู้เฒ่ารักมากที่สุด มิหนำซ้ำยังเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนนี้ พ่อบ้านใหญ่ตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่ก็หายเป็นปกติในไม่ช้า

“คุณหนูเก้าอายุสิบเก้าปีแล้วในขณะที่เอี้ยนลี่เฉียงอายุเพียงสิบสี่ปีช่องว่างระหว่างอายุนี้ค่อนข้างจะ…”

“เมื่อปีก่อนข้าได้ให้แม่เฒ่ามุขมนตรีประจำมณฑลทำนายเกี่ยวกับคู่ครองของยัยหนู นางบอกว่าเป่ยเอ๋อเกิดในปีซินโหย่วจะได้คู่ครองที่เกิดในปีปิงเฉิน นี่เป็นคู่ครองที่สวรรค์ประทานจะทำให้ทั้งสองเกื้อหนุนส่งเสริมกันจนเป็นคู่มงคล

เอี้ยนลี่เฉียงอายุสิบสี่ปีในปีนี้ถือว่าเป็นบุคคลตรงตามคำทำนาย จึงเหมาะสมกับเป่ยเอ๋อมากที่สุดพวกเราจะต้องค้นหาเบื้องหลังของเขาออกมาก่อนจะตัดสินใจ

หากเบื้องหลังของเขาใสสะอาดปราศจากมลทิน เขาจะเป็นตัวเลือกการแต่งงานที่ดีสำหรับเป่ยเอ๋อร์อย่างแน่นอน

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้มากในอนาคต แต่ข้าก็ยังสบายใจได้เพราะเป่ยเอ๋อร์จะไม่ทุกข์ใจอย่างแน่นอนถ้านางอยู่กับเขา… “

เมื่อพูดถึงจุดนี้ นายผู้เฒ่าลู่ก็หยุดชะงักก่อนที่เขาจะพูดต่ออย่างเด็ดเดี่ยว“ แม้ว่าเป่ยเอ๋อจะอายุมากกว่านิดหน่อย แต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะมีปัญหาใดๆ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางก็เป็นลูกหลานของตระกูลลู่ “

เอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้เลยว่านอกเหนือจากการช่วยชีวิตระหว่างการเดินทางไปที่คฤหาสน์ตระกูลลู่ เขายังได้รับการวางตัวให้เป็นหลานเขยของนายผู้เฒ่าลู่ในอนาคตอีกด้วย

“เอี้ยนลี่เฉียงบอกข้าว่าเฉียนซูเป็นลุงของเขา ข้าจะหาเวลาพูดคุยเรื่องนี้กับเฉียนซูอีกครั้งเมื่อมีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงตีเหล็กในครั้งต่อไป…”

“ อย่างนี้ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นายผู้เฒ่า มันคงเป็นเรื่องไม่ปกติหากนายท่านไปหาเฉียนซูโดยตั้งใจมากเกินไป…”

“ เข้าใจแล้ว…”

ตอนที่เอี้ยนลี่เฉียงลงจากรถม้าส่วนตัวที่หรูหราของตระกูลลู่ที่ ทางเข้าย่านโรงตีเหล็ก เขาและพ่อบ้านลู่ก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแม้ว่าอายุของพวกเขาจะห่างกันมากก็ตาม

หลังจากได้สนทนากันสักพักเอี้ยนลี่เฉียงก็ได้รู้เกี่ยวกับตระกูลลู่ไม่น้อย และได้รับความเข้าใจใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับพวกเขา

เอี้ยนลี่เฉียงลงจากรถม้าพร้อมกับหีบที่เต็มไปด้วยทองคำและพ่อบ้านลู่ก็ลงจากรถม้าเพื่ออำลาเขากลับไป

รถม้าสองล้อคันนี้ใช้ได้ดีมากหากใช้ในการเดินทางระยะสั้นอย่างไรก็ตามมันจะเริ่มรู้สึกอึดอัดเมื่อเวลาผ่านไป

บนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อไม่ว่ารถม้าจะได้รับการตกแต่งอย่างดีเพียงใดหรือมีเบาะรองนั่งอยู่ในนั้นมากแค่ไหนมันก็ยังคงทำให้ผู้โดยสารรู้สึกไม่ดี

มันแย่ยิ่งกว่ารถลากวัวเสียอีก เนื่องจากรถลากวัวเคลื่อนที่ได้ช้าเรื่องความสั่นสะเทือนจึงไม่เลวร้ายนักเมื่อเทียบกับรถที่ถูกลากไปด้วยมาแรดขนาดใหญ่

“โอ้ใช่แล้วพ่อบ้านลู่ทำไมนายผู้เฒ่าลู่ไม่สร้างรถม้าสี่ล้อสำหรับออกไปเที่ยวนอกบ้าน ด้วยทรัพยากรทางการเงินของนายผู้เฒ่าลู่เขาสามารถซื้อรถสี่ล้อสำหรับตัวเองได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียวมันจะทำให้การเดินทางสบายขึ้นมาก” เอี้ยนลี่เฉียงถามพ่อบ้านลู่อย่างไม่เป็นทางการเมื่อพวกเขาอำลากัน

“ ฮ่าๆ เจ้าจะหารถม้าสี่ล้อได้ที่ไหน…?” พ่อบ้านลู่หัวเราะเสียงดังขณะที่เขาส่ายหัว ราวกับว่าเขาเพิ่งได้ยินอะไรที่น่าขบขันที่สุดในโลก

“ เป็นไปได้อย่างไรที่คนอย่างนายน้อยเอี้นจะสับสนในเรื่องแบบนี้ถ้ารถม้ามีสี่ล้อมันจะเลี้ยวได้ยังไง?!”

“มันยากขนาดนั้นเลยเหรอไม่ใช่แค่ว่า … ” เอี้ยนลี่เฉียงตัวแข็งอย่างกะทันหันในขณะที่เขาพูดเพราะเขาเข้าใจว่าทำไมไม่มีรถม้าสี่ล้อในยุคนี้

ในบรรดารถม้าทั้งหมดที่เขาเคยเห็นล้อของพวกมันติดอยู่กับตัวรถโดยไม่มีเพลา สิ่งนี้ทำให้ล้อที่ติดอยู่สองล้อสามารถเปลี่ยนทิศทางได้ง่าย แต่ถ้ามีสี่ล้อจะเลี้ยวได้ยากมาก

เขาคุ้นเคยกับการเห็นรถสี่ล้อในชีวิตที่ผ่านมาซึ่งเขามักจะคิดว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เขาไม่คาดคิดว่ารถสองล้อที่มีล้อติดอยู่จะถูกนำมาใช้ในโลกนี้

“นายน้อยเอี้ยนท่านยังมีปัญหาอีกหรือไม่?”พ่อบ้านลู่ถามเมื่อเห็นเอี้ยนลี่เฉียงยืนอยู่ด้วยความงุนงง

“โอ้ไม่ไม่มีอะไรอีกแล้ว!” เอี้ยนลี่เฉียงรีบตอบออกมาทันที”พ่อบ้านลู่โปรดเดินทางกลับอย่างปลอดภัย!”

“ขอลาแล้ว!”

หลังจากพ่อบ้านลู่และผู้คุ้มกันจากตระกูลลู่กลับไป เอี้ยนลี่เฉียงก็ส่ายหัวจากนั้นก็หัวเราะก่อนที่จะเดินไปทางเข้าย่านโรงตีเหล็ก

แต่ทันใดนั้นใบหน้าของเอี้ยนลี่เฉียงก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง สัมผัสอันตรายเกิดขึ้นในหัวใจของเขาคล้ายกับว่ามีใครบางคนกำลังซุ่มดูอยู่

ทางเข้าหลักของย่านโรงตีเหล็กหันหน้าเข้าหาถนนสายหลัก ท้องฟ้ามืดลงแล้วและถนนเกือบจะร้าง สองข้างทางของถนนใหญ่มีไร่ข้าวโพดเป็นหย่อมๆ

ข้าวโพดที่เต็มทุ่งมีขนาดสูงเท่ามนุษย์ มีเนินเขาอยู่ไม่ไกลเกินไปล้อมรอบด้วยป่ายูคาลิปตัส เนื่องจากเป็นช่วงดึกแล้วทุกอย่างในระยะไกลจึงมืดมนทำให้เอี้ยนลี่เฉียงไม่สามารถระบุได้ว่าสายตาที่จ้องมองมานั้นมาจากไหน

ในตอนนี้เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังตกเป็นเหยื่อของงูพิษที่ดุร้ายซึ่งดูเหมือนว่ามันพร้อมจะพุ่งเข้าใส่เขาได้ทุกเมื่อ เส้นขนที่อยู่หลังคอของเอี้ยนลี่เฉียงลุกตั้งชันในทันที

ความรุนแรงของวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ทำให้หัวใจของ เอี้ยนลี่เฉียงเต้นแรง แม้แต่ฝ่ามือของเขาก็ยังมีเหงื่อไหลซึมออกมาเล็กน้อย

แต่เขาไม่ได้มองไปรอบๆยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไปที่ทางเข้าย่านโรงตีเหล็กซึ่งอยู่ไม่ไกลเกิน 10 วา

ทหารที่ดูแลย่านโรงตีเหล็กทักทายเอี้ยนลี่เฉียงอย่างอบอุ่นเมื่อเห็นการกลับมาของเขา เอี้ยนลี่เฉียงก็แสดงท่าทีเหมือนกับปกติโดยการสนทนากับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

เอี้ยนลี่เฉียงรอจนกระทั่งเขาก้าวเข้าสู่ทางเข้าหลักของย่านโรงตีเหล็ก ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกได้ถึงความกระสับกระส่ายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก่อนหน้านี้หายไปอย่างกะทันหันราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น