“พักรบซะที”

“ก็แค่ช่วงสั้นๆ”

 

  เวลาล่วงเลยมาได้สองวันนับแต่การต่อสู้ช่วยชีวิตแวนเดล คณะของอินกองได้เดินทางมาถึงป้อมปราการที่สองเรียบร้อย

 

  กองกำลังที่แตกกระจายของแวนเดลก็เริ่มเคลื่อนตัวกลับมารวมพล ทั้งนี้ยังรวมถึงเหล่าทหารที่แตกทัพจากป้อมปราการที่แตกพ่ายด้วย เมื่อนับรวมโดยคร่าวกองกำลังของอินกองในตอนนี้มีราว 4000 ตน

 

‘เดิมที่ทัพของแวนเดลน่าจะราว 9000…  ได้กลับมาเกือบครึ่งก็ถือว่าไม่เลว’

 

  ใช้เวลาเพียงสองวันรวบรวมทหารแตกทัพกลับมาได้กึ่งหนึ่งถือเป็นความสำเร็จ และเมื่อมีข่าวกระจายออกไป เหล่าทหารที่ยังหลบซ่อนอยู่ก็จะกลับมาสมทบเพิ่มขึ้นอีก

 

“ถึงจะแค่สั้นๆแต่ก็เรียกว่าพักรบ แกยุ่งมาตลอดทำไมไม่ใช้เวลานี้พักผ่อนซักหน่อย?”

 

  คารัคยิ่มกล่าวพลางตบบ่าอินกอง

 

  วิ่งตระเวณกอบกู้ป้อมปราการหลายแห่ง ช่วยชีวิตแวนเดล รวบรวมกำลังพลที่แตกกระจาย ด้วยทัศนวิสัยร่วมกับกรีนวินด์ทำให้อินกองเห็นภาพรวมและลดการสูญเสียได้มาก ทั้งนี้สภาพจิตใจย่อมอ่อนล้าเป็นปกติ

 

“งั้น วันนี้ผมขอพักหน่อยละกัน”

 

  อินกองไม่สามารถผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่แต่อย่างไรเสียเขาก็ต้องให้ร่างกายพักผ่อน

 

  เขาพูดเสร็จก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้โยก

 

  ป้อมปราการที่สองเรียกได้ว่าเป็นปราสาทแนวหน้าของการรบ ต่างไปจากป้อมปราการที่หกกับเจ็ดซึ่งเป็นหน่วยเสบียง ทั้งขนาดโดยรวมของป้อม ความสูงทนทานของกำแพงแตกต่างลิบลับ และห้องรับรองสำหรับแม่ทัพและชนชั้นสูง

 

  คารัคจ้องมองอินกองครู่หนึ่งก่อนเดินไปนั่งพักที่เก้าอี้ ห้องที่ทั้งสองอยู่ตอนนี้มีลักษณะเป็นแผนกต้อนรับของโรงแรม มีโต๊ะเก้าอี้หลากหลายจัดอยู่ประปราย ครู่หนึ่งก็มีเสียงเปิดประตูเข้ามา

 

“เข้าไปละนะฉัตร”

 

  เสียงของเฟลิซีดังขึ้นพร้อมเจ้าของร่างกับองครักษ์เดินเข้ามาในห้อง ครู่ต่อมาเคทลินกับเซร่าก็ตามติดเข้ามา

 

“พักได้แล้วสินะ?”

 

  เฟลิซีเปรยหลังจากเห็นอินกองบนเก้าอี้โยก คำถามอย่างเป็นนัยสื่อว่าเก้าอี้ของนางอยู่ไหน คารัครีบนำเก้าอี้โยกอีกสองตัวมาจัดวางใกล้อินกอง

 

“ก็ประมาณนั้นครับ จะว่าไปนูนะดูผอมลงนะครับ ไม่สบายหรือครับ? ”

 

  เฟลิซีทิ้งตัวลงบนเก้าอี้โยกพร้อมส่งเสียงออกมา

 

“หึ 2-3 วันนี้ฉันถูกใครก็ไม่รู้ใช้งานเยี่ยงทาสเลยละ”

“แย่จังเลยนะครับ ผมต้องขอเสียใจด้วย”

“ก็รู้ตัวดีนี่นา”

 

  ทั้งสองจ้องกันพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา

 

“ยังไงซะฉันก็เป็นคนตัดสินใจเอง เป็นความรับผิดชอบในฐานะเจ้าหญิง”

 

  เฟลิซีใช้เวทมนตร์จนสุดกำลังติดต่อกันทุกวันราวสัปดาห์ หากไม่มีการเสียสละของนางแผนการของอินกองคงไม่สามารถลุล่วง

 

“ดาฟเน่ยังคงสลบไม่ได้สติ แต่สีหน้าของนางบ่งบอกว่าพอใจกับผลลัพธ์ ทั้งป้อมต่างๆ ทั้งแม่ทัพแวนเดล”

 

  เฟลิซีพึงพอใจกับผลลัพธ์เช่นกัน สีหน้าของนางไม่ต่างไปจากดาฟเน่ จะด้วยด้วยศักดิ์ศรีหรืออะไรก็ตาม

 

  อินกองพยักหน้าพยายามเข้าใจความคิดของนางก่อนหยิบขวดน้ำยาส่งให้นาง

 

“นี่สำหรับนูนะครับ พรุ่งนี้ก็รบกวนต่อด้วยครับ”

 

  ขวดแก้วบรรจุของเหลวสีใสโปร่งใสราวกับไม่มีอะไรบรรจุอยู่ภายใน เฟลิซีรับรู้ในทันทีว่านี่คือน้ำยาฟื้นฟูระดับสูง นางถอนหายใจก่อนชำเลืองไปทางอินกอง

 

“เธอนี่มัน…  จะแย่เกินไปมั้ย?”

 

  นางจะหันไปทางเคทลินเพื่อขอกำลังเสริม เคทลินพยักหน้าก่อนตอบด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างอ่อนล้า

 

“ฉัตร”

 

  คำตอบที่แฝงไปด้วยความหมายหลากหลาย ทำให้เฟลิซีหัวเราะอย่างแหบแห้ง

 

“นั่นสินะ ฉัตร”

“เอ่อ ผมจะขอบคุณมากถ้านูนะช่วยหยุดใช้ชื่อผมแทนคำตอบ”

 

  เคทลินหัวเราะก่อนลุกไปสวมกอดเฟลิซี แล้วเฟลิซีก็หันไปส่งสัญญาณให้กับเดเลีย

 

“หืม?”

 

  เดเลียนำกล่องบางอย่างส่งมอบให้กับอินกอง

 

“รับไว้สิ อาจจะช้าไปหน่อยแต่ก็สุขสันต์วันเกิด”

 

  ตัวกล่องเรียกได้ว่าหรูหราในระดับหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งของที่จะสามารถสรรหาได้อย่างฉุกละหุก

 

  ยิ่งทำให้อินกองรู้สึกประหลาดใจ ก่อนเคทลินเริ่มอธิบาย

 

“ฉันคุ้นๆจากงานเลี้ยงน้ำชาว่าใกล้ถึงวันเกิดฉัตร พอถึงเมืองทาก้าพวกเราก็เลยเดินเลือกหาของขวัญให้เธอ”

 

  งานเลี้ยงน้ำชาจัดขึ้นก่อนพวกเขาเดินทางออกจากวังจอมมารเล็กน้อย ทำให้ไม่มีเวลาพอเลือกหาสิ่งของจากที่วัง

 

“อย่างนั้นหรือครับ?”

“ใช่แล้ว ฉันก็คิดว่าจะหาของขวัญให้เธออยู่เหมือนกัน พวกเราก็เลยไปเดินหาด้วยกัน”

 

  เฟลิซีกล่าวอมยิ้ม

 

  ในที่สุดอินกองก็เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อพวกเขาถึงเมืองทาก้า ทั้งหมดจึงแยกตัวออกไปซื้อของโดยทิ้งให้เขาอยู่กับคารัค

 

“นี่เป็นของขวัญจากฉัน เคทลินมีให้เธออีกชิ้นต่างหาก เปิดดูซะสิ”

 

  อินกองรับกล่องมาอย่างตื้นตันใจ

 

“เปิดเร็วๆได้แล้ว”

 

  คารัคเร่งเร้า เมื่ออินกองเปิดกล่องเขาก็ประหลาดใจอีกครั้ง

 

“เอ่อ ขวดแก้ว?”

 

  ภายในกล่องอันหรูหราเป็นขวดบรรจุไวน์สีน้ำเงินแก่

 

“เธอครบ 15 ปีแล้ว สามารถดื่มเมรัยได้”
เมรัย เครื่องดื่มแอลกอฮอลที่ไม่ได้เกิดผ่านกระบวนการกลั่น  

 

  อินกองไม่อาจรับรู้ได้ว่านี่เป็นพิธีบรรลุนิติภาวะตามธรรมเนียมของเอลฟ์รัตติกาล? ของเผ่าคนธรรพ์? หรือของทางวังจอมมาร?

 

เฟลิซีกล่าวเพิ่มเติม

 

“เมรัยแรกเปรียบเป็นอาจารย์สอนโลก ฉันก็เรียนรู้ผ่านไวน์นี้เหมือนกัน นี่เป็นไวน์ที่ดี ฉะนั้นเรียนรู้ให้เข้าใจซะ”
สอนน้องดื่มเหล้า/ไวน์/เบียร์/บลา บลา บลา นั่นเอง

 

  หลังจากอธิบายเสร็จสิ้นเฟลิซีก็ขยิบตาให้อินกอง ดูเหมือนว่านางต้องการให้ไวน์ขวดนี้เป็นเมรัยแรกของอินกองอย่างแท้จริง แม้แต่เจ้าออร์คคารัคก็แสดงท่าทางไม่ต่างไปจากเฟลิซี

 

  อินกองสังเกตทั้งสองก่อนหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขามิได้รังเกียจเครื่องดื่มมึนเมา และในขณะเดียวกันก็รู้สึกขอบคุณความหวังดีของเฟลิซี

 

“ฉัตร เปิดของขวัญฉันด้วย”

 

  เคทลินกล่าวแทรกขึ้นพลางส่งสัญญาณให้เซร่า

 

  กล่องขนาดใหญ่ทำให้อินกองรู้สึกแปลกประหลาดใจอีกครั้ง

 

“เอ่อ… หมอน?”

 

  หมอนที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ หุ้มด้วยปลอกหมอกสีม่วงอ่อนให้ความรู้สึกอ่อนโยนเหมือนไหม

 

“ใช่แล้ว หมอนนี่จะช่วยให้ฝันดี นอกจากจะช่วยชำระความเหน็ดเหนื่อยแล้วมันยังมีคุณสมบัติพิเศษด้วย เธอรู้มั้ย?”

 

  เคทลินถามปนหัวเราะ ท่าทางนางต้องการทำให้ตื่นเต้นมากกว่าหวังว่าเขาจะรู้จริง

 

  อินกองสัมผัสกับหมอนแล้วข้อความก็ผุดขึ้นเช่นเดียวสิ่งของทั้งหลาย

 

[หมอนจำลองฝัน]

[อาคมในตัวหมอนช่วยให้ผู้ใช้สามารถกำหนดควบคุมความฝันได้ตามใจปรารถนา
[ใช้เวลารวบรวมพลังเวทสามวัน]
[*ความฝันจะสมจริงมากจนทำให้ผู้ใช้ยากแก่การแยกแยะระหว่างความจริงและความฝัน]
[*พลังเวทที่ตัวหมอนบรรจุได้มีจำกัด ทำให้ระยะเวลาความฝันขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของความฝัน]
[*อาคมสามารถคงทนใช้งานได้เพียงสิบครั้ง]

 

  เคทลินกล่าวไว้ว่านี่มิใช่เพียงหมอนทั่วไป เป็นหมอนที่เหนือกว่าหมอน

 

“หมอนวิเศษที่ช่วยให้ผมฝันได้ตามใจนึก?”

“อุ เธอรู้ได้ไง?”

 

  เคทลินตาโต กลับกลายเป็นนางเสียเองที่เป็นฝ่ายตกตะลึง เฟลิซีเดาะลิ้นก่อนตอบคำถามของนาง

 

“ฉัตร”

 

  เรียกได้ว่าเป็นคำตอบสำหรับทุกสถานการณ์ที่พบเจอเลยทีเดียว

 

“ฉันจะขอเตือนไว้ก่อนว่านี่เรียกเป็นสารเสพติดก็ว่าได้ ถ้าใช้บ่อยๆจนยึดติดกับมันมากไประวังจะแยกความเป็นจริงไม่ออก แล้วก็-”

“แล้วก็?”

“หมอนนี่ไม่ใช่ของถูกๆที่จะหาได้ทั่วไปหรอกนะ? เคทโชคดีมากที่บังเอิญเจอในร้านค้าของวิเศษโบราณ เจ้าของร้านคิดว่าเป็นแค่หมอนหรูหราฟุ่มเฟือยอย่างเดียวด้วยซ้ำ ไม่งั้นคงไม่อยู่ในร้านแต่ขึ้นลานประมูลไปแล้ว”

“ฝันเสมือนจริงที่สมจริงเกินกว่าจะแยกแยะความจริงได้”

 

  แม้แต่เจ้าของร้านก็ไม่รับรู้ถึงคุณสมบัติของมัน หากมิใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญอย่างเฟลิซีอยู่ด้วยเคทลินก็คงไม่อาจรับรู้เช่นกัน

 

“ใช่แล้ว พวกเราโชคดีมาก หรือต้องบอกว่าฉัตรโชคดีมากกว่า? เพราะเราจะหาของขวัญให้ฉัตรก็เลยเจอหมอนนี่กัน”

 

  เคทลินยิ้มอย่างอบอุ่น อินกองตบหมอนอย่างชอบใจ

 

“ขอบคุณมากครับ นี่แค่ฟังสรรพคุณก็สุดยอดแล้ว”

“แล้วอย่าลืมบอกฉันด้วยละ ว่าฝันอะไรบ้าง”

 

  เคทลินพูดต่ออย่างใสซื่อทำให้คารัครีบพูดโพล่งขัดขึ้นมาทันที

 

“นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีซักเท่าไรนะองค์หญิง องค์ชายไม่ใช่เด็กๆแล้ว”

“หา?”

 

  เคทลินยังคงสับสนก่อนจะหันไปมองเซร่ากับเดเลีย ทังสองไม่กล้าสบตานางแต่แสดงอาการเขินอายออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

‘บ้าบอที่สุด?! ไอ้ออร์คนี่ทำทุกคนเข้าใจผิดกันหมดแล้ว!’

 

  อินกองคิดสบถอยู่ในใจ คารัคหันมาสบตาส่งยิ้มชูนิ้วโป้งให้กับเขา

 

  เฟลิซีกางพัดออกปกปิดใบหน้าเขินอายของนางแล้วกล่าวต่อ

 

“เรื่องนั้นไว้ก่อน เธอรู้สภาพร่างกายของแม่ทัพแวนเดลแล้วใช่มั้ย? ราชาบาบาเรี่ยนนั่นทำเอาฉันหวั่นใจไม่น้อยเลย”

 

  ไม่ว่าจะพยายามสรรหาคำใดมาอธิบายก็บอกได้แต่เพียงว่าวิกฤติ แม้จะได้รับเวทมนตร์รักษารวมถึงพรฟื้นฟูและน้ำยาวิเศษ สภาพของแวนเดลก็ไม่กลับคืนมาเป็นปกติ ต้องของคุณสายเลือดโอเกอร์ที่ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่ หากจะให้ฟื้นตัวสมบูรณ์ แวนเดลจำต้องใช้เวลามากกว่านี้

 

  อินกองรู้สึกผิดต่อแวนเดลอยู่บ้าง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการฟื้นตัวของแวนเดลคือแผนการของราชาเคราโตส

 

“นาตาช่าน่าจะกลับมาพร้อมรายงานในเร็วๆนี่”

 

  ผลลัพธ์จากการสอบสวนเชลยศึก ทหารปลายแถวอาจไม่รับรู้อะไรมากมายนัก แต่หากรวบรวมข้อมูลมากพออาจสามารถปะติดปะต่อบางอย่างได้

 

‘แล้วก็พลังนั้น รณการ’

 

  ไอพลังสีแดงที่ปกคลุมชนเถื่อนมาจากไหน? เหล่าชนเถื่อนร่วมมือกับอาชาแห่งรณการ? หรือที่เลวร้ายที่สุดคือตัวราชาชนเถื่อน ราชาเคราโตสคืออาชาแห่งรณการ?

 

  อินกองต้องการข้อมูล แม้จะมากน้อยเพียงไรก็ตาม

 

“งั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อนต่อ?”

 

  เฟลิซีลุกจากเก้าอี้โยก ตามด้วยเคทลินกับเหล่าองครักษ์ อินกองเก็บของขวัญทั้งสองเข้าช่องเก็บของแล้วลุกขึ้นส่งทั้งสอง

 

  ก่อนจะออกจากห้องเคทลินหันมาจับมือเขาแล้วกล่าวเล็กน้อย

 

“ฉัตร เธอสูงขึ้นนะ”

 

  แรกเริ่มเดิมทีอินกองเตี้ยกว่าเคทลินเล็กน้อย ทว่าในตอนนี้เขากลับสูงกว่านางเสียแล้ว

 

“บางทีผมอาจจะสูงกว่าเฟลิซีนูนะในอนาคต”

“โฮ่ อย่างนั้นฉันต้องรอดูสินะ?”

“องค์ชายต้องโตขึ้นอีกแน่นอน”

“แน่นอน ก็นี่คือว่าที่จอมมารรุ่นถัดไปนี่นา”

 

  เฟลิซีพูดอย่างทีเล่นแต่ก็แฝงทีจริงเอาไว้ด้วย แล้วทั้งหมดก็แยกย้ายกันพักผ่อนต่อ

 

  ว่าที่จอมมาร ความรู้สึกที่เหล่าทหารร่วมต่อสู้ภายใต้ธงสีขาวต่างรับรู้ได้

 

  หลังจากพวกอินกองพักผ่อนได้อีกครู่หนึ่ง ก็มีทหารเร่งรีบมารายงานข่าว

 

  แผนการของราชาชนเถื่อน