ผ้าพันคอพริ้วไหวแผ่ขยายออก ฮูกราตรีในตอนนี้มีลักษณะไม่ต่างไปจากของเหลวขยายตัวห่อหุ้มทั่วร่างอินกอง ก่อนจะหดตัวหายไปราวกับถูกดูดเข้าช่องว่างอากาศ

 

  ในเวลาเพียงชั่วพริบตา

 

  อินกองได้อันตรธานหายไป ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันในบริเวณที่เขาเคยอยู่

 

  ฝุ่นควันเหล่านี้แผ่กระจายคละคลุ้งกลืนกินในรัศมีราวยี่สิบเมตร

 

  ฝุ่นควันเหล่านี้คืออินกอง ร่างกายของเขาเปลี่ยนสภาพเป็นบางสิ่งที่ไร้รูปร่าง! อินกองสามารถรับรู้ถึงทุกสิ่งที่อยู่ในบริเวณฝุ่นควันนี้ และเมื่ออินกองคิดจะโจมตี ฝุ่นเหล่านี้ก็ควบตัวเป็นคมมีดเข้าทิ่มแทง

 

ฟึบฟับฟึบฟับฟึบฟับ!

 

  เสียงราวกับนกนับพันตัวกระพือปีกบินพร้อมกัน ปะปนด้วยเสียงร้องจากเหล่าชนเถื่อน พวกมันถูกเชือดเฉือนในจุดที่ยากแก่การป้องกัน

 

  ละอองเลือดคละคลุ้งปะปนในหมอกควัน หากใช้คำศัพท์ของเกม นี่เรียกว่าเป็นการโจมตีแบบตรึงพื้นที่(Zone control) ผู้ใช้สามารถเคลื่อนย้ายจู่โจมได้ในอาณาบริเวณอย่างรวดเร็ว เสมือนบริเวณนี้เป็นอาณาจักรของอินกองก็มิปาน!

 

  ฝุ่นเข้ารวมตัวกันกลับเป็นร่างของอินกอง

 

  เหล่าชนเถื่อนต่างล้มลงราวกับตุ๊กตาหุ่นเชิดที่ถูกตัดเส้นใย

 

  กัมมะที่กำลังรักษาแวนเดลทำเพียงอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เคทลินก็เช่นกัน เหล่าชนเถื่อนที่เล็ดรอดจากการโจมตีนี้ต่างสับสนและเริ่มเปลี่ยนกระบวนทัพ

 

  ในช่วงเวลาที่เกิดขึ้นนี้อินกองดึงธงของเขากลับมา เป็นสัญญาณให้เคทลินตระหนักบางสิ่ง เหล่าชนเถื่อนอาจยำเกรงในการโจมตีของอินกองแต่ก็ไม่นาน พวกเขามีเวลาเพียงเล็กน้อย

 

“ฉัตร!”

 

  เคทลินรีบเข้าประคองแบกร่างของแวนเดลที่ใหญ่โตเกือบสองเท่า ทำให้อินกองหลุดปากออกมา

 

“เคทลินสุดยอด!”

 

  เคทลินขมวดคิ้วก่อนจะร้องเร่งอินกองอีกครั้ง แขนขาที่สั่นเทาบ่งบอกว่านางไม่สามารถแบกแวนเดลได้นานนัก

 

  อินกองอมยิ้มกระโจนตัวเข้าหาเคทลิน เขาคว้าตัวนางกับกัมมะ

 

  แล้วเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา!

 

  ร่างของพวกเขาย้ายไปปรากฏห่างออกไปหลายเมตร

 

  เหล่าชนเถื่อนเริ่มตั้งสติได้แล้วขว้างหอกซัด ทว่าพวกมันได้สูญเสียโอกาสไปแล้ว โล่ชีวาตม์แตกตัวเข้าปัดป้องการโจมตีเอาไว้

 

‘นายท่าน!’

 

  เสียงร้องจากกรีนวินด์บ่งบอกว่านางไม่สามารถคุ้มกันให้เขาได้นานนัก  อินกองตัดสินใจใช้ทักษะชั่วพริบตาอีกครั้งเคลื่อนย้ายเข้าใกล้ทัพของแวนเดล

 

  เคทลินแทบจะทิ้งแวนเดลลงกับพื้นในทันที ด้วยขนาดที่แตกต่างทำให้ต้องชื่นชมเคทลินเสียมากกว่าจะตำหนินาง

 

  อินกองปล่อยให้เคทลินพัก เขาปักธงเรียกใช้ทักษะใต้ร่มเงากษัตริย์อีกครั้ง เขาใช้พลังไปมากแสงที่เรืองออกมาจึงไม่ส่องสว่างเท่าในครั้งแรก ถึงกระนั้นก็มากพอเสริมพลังให้กับทัพของแวนเดล

 

“โฮกกกกกกกกกกก!”

 

  องครักษ์ของแวนเดลที่เหลือรอดกู่ร้องนำทัพเข้าบุกตะลุยศัตรูด้วยอาวุธและกำปั้น

 

  เมื่อแม่ทัพรอดกลับมาจากวงล้อมศัตรูย่อมสร้างความฮึกเหิม เหล่าทหารกรูเข้าประจันบานข้าศึกตามหัวหน้าพวกตน

 

  ด้านฝ่ายชนเถื่อนแม้อาจเสียความได้เปรียบไปบ้างก็มิได้เสียขวัญ เสียงคำรามศึกดังขึ้นพร้อมกับการตะลุมบอนของกองทัพทั้งสอง

 

  ในครั้งนี้อินกองเลือกส่งพลังแห่งอาณัติให้กับเหล่าทหารแทนเข้าปะทะด้วยตนเอง กัมมะยังคงใช้พรฟื้นฟูของนางพยายามรักษาแวนเดล ด้านเคทลินก็กระโจนเข้าร่วมการต่อสู้หลังจากพักฟื้น

 

  ผู้ที่แบกภาระหนักที่สุดคือกรีนวินด์ นางคอยควบคุมโล่อีเกิ้ลทั้งสองบินปัดป้องและโจมตีในเวลาเดียวกัน อินกองคอยชำเลืองมองแผนที่ย่อของเขาราวกับรอคอยบางอย่าง

 

“พวกนั้นมากันแล้ว”

 

  กำลังเสริมที่มาเพิ่ม… ทำลายสมดุลการรบของทั้งสองทัพ!

 

  เสียงจากการต่อสู้ทำให้เคทลินรับรู้ได้ช้า แต่นางก็ตระหนักได้ในที่สุด

 

  เสียงอึกทึกดังขึ้นจากด้านซ้ายของสมรภูมิ หรือก็คือจากทางทิศเหนือ

 

  เหล่าเดรโก้ควบฝีเท้าแบกทหารเอลฟ์รัตติกาลกับไลแคนโทรป

 

  กองทัพที่ถูกทิ้งให้นำพลโดยคัปลานกับเอลิต้าตามมาสมทบในที่สุด

 

“ร่างสัตว์สมิง! บุก!”

 

  ร่างของเหล่าไลแคนโทรปพองตัวขึ้นเป็นสัตว์หลากชนิดกระโจนเข้าร่วมการรบ เหล่าเดรโก้ที่นำนักรบมาถึงที่หมายต่างหยุดวิ่งด้วยสภาพโรยรา ทหารเอลฟ์รัตติกาลต่างลูบปลอบสัตว์พาหนะผู้ซื่อสัตย์

 

  เมื่อเหล่าไลแคนโทรปเข้าร่วมการตะลุมบอนก็โกลาหลมากยิ่งขึ้น 

 

  ถึงแม้เดรโก้อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถทำการรบ แต่มิได้หมายความว่าเอลฟ์รัตติกาลจะไม่สามารถเข้าร่วมศึก เอลิต้าชักดาบของนางออกพลางเอ่ยสั่งการ

 

“แสดงให้พวกบ้ากำลังเห็นซะ ว่าการรบแบบมีสมองทำกันยังไง”

 

  เวทมนตร์สนับสนุนการโจมตีเสริมพลังเพิ่มยิ่งขึ้นให้เหล่าไลแคนโทรปกับทหารของแวนเดล

 

  เมื่อเทียบกับทหารนับพัน กำลังเสริมเพียงสี่ร้อยอาจดูน้อยนิด

 

  ถึงกระนั้นพวกเขาก็สามารถชิงความได้เปรียบมาได้

 

  เมื่อเห็นว่าพวกตนเริ่มเสียเปรียบ เหล่าชนเถื่อนต่างเปลี่ยนแนบรบตั้งรับเตรียมถอนทัพ

 

  แล้วก็เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่าพระเอกมาตอนจบ

 

“ข้ามาช้าไปสินะ!”

 

  คารัคตะโกนร้องพร้อมกำลังพลจากป้อมปราการที่ห้า หก และเจ็ด

 

  กำลังรบร่วมสองพันตนก้าวเดินอย่างพร้อมเพรียง เสียงกระทืบเท้า เสียงหอกและโล่กระทบกัน  อาจไม่น่าหวาดกลัวเท่ากองทัพที่กระโจนต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ข่มขวัญสร้างความกดดันต่อศัตรูได้มากทีเดียว

 

  ทหารชนเถื่อนบางตนเริ่มทิ้งคำสั่งและเตลิดหนี ทำให้กองทัพของพวกมันแตกกระจายในที่สุด

 

  นี่คืออีกหนึ่งช่วงเวลาที่อินกองรอคอย ช่วงเวลาไล่กวาดต้อนเหล่าชนเถื่อน

 

“กรีนวินด์”

 

  โล่ไวท์อีเกิ้ลกับแบล็คอีเกิ้ลประกอบกันลอยกลับมาหาอินกอง

 

‘นายท่าน’

 

  เสียงขานรับอย่างรักใคร่และนอบน้อม อินกองขึ้นยืนบนโล่ หากเปรียบเปรยแล้วนี่อาจไม่ต่างจากอัศวินขึ้นขี่ม้าคู่ใจ

 

  การเข้ารบด้วยตนเองย่อมลุ้นระทึก แต่การสนับสนุนบัญชาการรบก็ไม่เลว

 

  อินกองนำธงขึ้นชูตวัดไปด้านหน้าอีกครั้ง

 

“ทั้งหมด! บุกเต็มกำลัง!”

 

  โล่ชีวาตม์ลอยขึ้นในระดับที่ทุกสายตามองเห็น

 

  เสียงคำรามศึกจากบรรดาทหารหลากเผ่าพันธุ์ดังประสานเสียงกัน

 

  กองกำลังผสมผสานเอลฟ์รัตติกาล ไลแคนโทรป โอเกอร์ ลิซาร์ดแมน…

 

  ทั้งหมดต่างทำศึกภายใต้ธงแห่งอาณัติ 

 

  อินกองชำเลืองมองทหารทั้งหมดที่เคลื่อนพลเข้าไล่ล่าชนเถื่อนที่แตกทัพ

 

  เคทลินไม่เข้าร่วมการไลล่า นางเดินกลับมาสมทบอินกอง เฟลิซีกับดาฟเน่หมดสภาพจากการร่ายเวทมนตร์ฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง นาตาช่าจ้องมองอินกองบนโล่ชีวาตม์ด้วยดวงตาเป็นประกาย

 

  เหล่าองครักษ์ที่พลาดการศึกต่างเข้าร่วมการไล่ล่า คารัคชูขวานของมันนำทัพมีเซร่าเคียงข้าง เดเลียคอยตามหลังร่ายเวทมนตร์สนับสนุน อมิตาภานั่งอยู่บนไหล่เดเลียคอยส่งเสียงร้องให้กำลังใจ

 

  กัมมะดึกหอกที่ปักร่างของแวนเดลออกหมดในที่สุด แม้จะมีพรฟื้นฟูกับเวทมนตร์รักษาแต่ร่างกายที่อ้อนล้าก็ต้องการพักผ่อน แวนเดลพยายามข่มตนให้มีสติพลางจดจ้องไปยังร่างหนึ่ง

 

‘องค์ชายเก้า’

 

  รอยยิ้มเบาบางผุดขึ้นบนในหน้าของเจ้าโอเกอร์

 

&

 

  ข่าวกรองถูกส่งผ่านกลับมาหลังเวลาผ่านได้สักพัก

 

  กองกำลังที่ไล่ล่าถูกตีแตกพ่าย

 

  ทัพหลักของราชาชนเถื่อนได้เดินทางมาถึงป้อมปราการที่สี่แล้ว ทำให้ระยะทางห่างเกินกว่าจะส่งกำลังไปสนับสนุน หากกองกำลังไล่ล่าอยู่ในสภาพพร้อม ข่าวอาจถูกส่งมาได้รวดเร็วกว่านี้

 

  นอกจากนี้เอเวียงก็ยังถือเป็นดินแดนแปลกใหม่สำหรับเหล่าชนเถื่อน จึงใช้เวลาค่อนข้างนานเพื่อเดินทางกลับมารวมกับทัพหลักยังป้อมปราการที่สี่

 

  ด้านเพราโตสก็ครวญครางกับสภาพของป้อมปราการที่ห้า เขาตัดสินใจรอฟังคำสั่งเพิ่มเติมจากราชาชนเถื่อน ศัตรูของพวกเขาในตอนนี้มิใช่กองกำลังจากฝั่งเอเวียง แต่เป็นความหิวโหยที่กลืนกินพวกเขาทีละนิด

 

  อินกองนำกำลังพลเดินทางต่อไปยังป้อมปราการที่สอง พร้อมกับกำจัดเหล่าชนเถื่อนที่พบเจอระหว่างทาง

 

  สองวันให้หลัง…

 

  ราชาชนเถื่อนเคลื่อนทัพออกจากป้อมปราการที่สี่มุ่งหน้าไปยังป้อมปราการที่ห้า

 

  เพราโตสได้รับคำสั่งให้เคลื่อนทัพไปทางทิศใต้

 

  ขณะเดียวกันกำลังพลของแวนเดลที่รวมตัวได้อีกครั้งก็เคลื่อนทัพ