บทที่ 90.1 สารภาพ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

เซียวลิ่วหลังไหนเลยจะรู้ว่าหญิงชราคิดอะไรอยู่ในใจ ทั้งยังไม่รู้ว่านางไปหายาจินชวงมาจากได้ ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้ อาการของกู้เจียวย่ำแย่นัก ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน

แม้ทั้งสองคนจะเคยร่วมเตียงเคียงหมอน แต่ทุกคราล้วนแต่เสื้อผ้าอยู่ครบทุกชิ้น ทว่าตอนนี้เขาจำเป็นต้องปลดเสื้อของนางอย่างไม่มีทางเลือก

เซียวลิ่วหลังตั้งสติ ก่อนจะพลิกตัวนางให้นอนคว่ำหน้าอย่างเบามือ

เรียวนิ้วขาวดุจหยกของเขาสั่นเครือยามเกี่ยวรั้งชุดชั้นในผืนอุ่นของนางขึ้นก่อนจะค่อยๆ เบี่ยงออกด้านข้าง

รอยแผลจากแส้นั้นเป็นแนวยาวเหยียด เริ่มจากหยักล่มตื้นที่แทบมองไม่เห็นบริเวณด้านขวาของบั้นเอวจรดถึงบ่าด้านซ้าย

เขาจำต้องเปลื้องเสื้อท่อนบนของนางออกทั้งหมด แผ่นหลังเนียนละเอียดปรากฏขึ้นสู่สายตา

สองมือของนางทาบอยู่บนหมอน ร่างกายท่อนล่างทิ้งน้ำหนักตัวลงจนเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าเฉพาะตัวของเด็กสาว

เพื่อจะได้มองเห็นบาดแผลของนางได้ชัดเจน เซียวลิ่งหลังจึงจุดตะเกียงน้ำมันภายในห้อง แต่สายตาของเซียวลิ่วหลังกลับจับจ้องไปที่ที่ไม่ควรมองอย่างไม่รู้ตัว

ลมหายใจของเขาหอบกระชั้น เขารีบเบือนหน้าหนี ไม่กล้ามองสะเปะสะปะ

หลังจากที่รวบรวมสติอีกครั้ง เนื้อยาเย็นเฉียบบนปลายนิ้วของเขาค่อยๆ ทาลงบนรอยแส้ของนาง

นางรู้สึกราวกับว่าความเจ็บปวดนั้นอยู่ในความฝัน จึงทำได้เพียงแค่ขมวดคิ้ว

รอยแส้นั้นช่างรุนแรงนัก ไม่เหมือนยามแส้ทั่วไปฟาดลงมา

นางไม่เหมือนคนที่จะยอมให้ใครรังแกได้ง่ายๆ อย่างน้อยนางในตอนนี้ก็ไม่ใช่คนเช่นนั้น เซียวลิ่วหลังอดสงสัยไม่ได้ว่านางได้บาดแผลนี้มาได้อย่างไร นางไปมีเรื่องผิดใจกับใครมา

ทว่าตัวเองนางกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด ราวกับเป็นเรื่องชินชาไปเสียแล้ว นั่นทำให้คนงุนงงยิ่งกว่าเดิม

แม้นางจะลำบากมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ก็ไม่ถึงขั้นถูกคนทำร้ายอย่างรุนแรงดังเช่นตอนนี้

เซียวลิ่วหลังทายาเสร็จทว่าภายในใจนั่นยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย เขาหาผ้าแถบผืนสะอาดทาบปิดบาดแผลของนางไว้ ก่อนจะสวมเสื้อให้นางแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาปิด

หลังจากเสร็จภารกิจ เขาตั้งใจว่าจะกลับไปที่หน้า ทว่าจังหวะที่ลุกยืนขึ้นนั้นกลับบังเอิญเตะเข้ากับอะไรบางอย่าง

เขาได้ยินเพียงเสียงตุบ ราวกลับกล่องบางอย่างกระแทกพื้น หลังจากนั้นสิ่งของที่ภายในก็กลิ้งหลุนๆ ออกมา

เซียวลิ่วหลังหยิบกล่องไม้ใบน้อยขึ้นมาวางบนโต๊ะ เขาเก็บของบนพื้นขึ้นมาวางบนโต๊ะทีละชิ้น หันไปมองอีกทีบรรดาของเหล่านั้นก็กองเต็มโต๊ะแล้ว

“ของพวกนี้คืออะไรกัน”

“นี่อีก เหตุใดถึงได้มากมายเช่นนี้”

สิ่งของแปลกประหลากพวกนั้นวางแผ่เต็มพื้นที่บนโต๊ะ คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่ากล่องใบน้อยเก่าๆ นั้นใส่ของทั้งหมดนี้ได้อย่างไร

ตอนที่กู้เจียวตกน้ำครั้งแรก เขาเคยเข้ามาในห้องของกู้เจียวเพื่อหาของ เขามั่นใจแน่นอนว่าตอนนั้นยังไม่มีกล่องใบนี้

บาดแผลปริศนานั่นก็อย่างหนึ่ง ต่อมาก็มีกล่องประหลาดนั้นอีก ในตัวนางยังมีความลับอะไรซ่อนอยู่อีก

เซียวลิ่วหลังมองกู้เจียวที่กำลังนอนหลับสนิทด้วยแววตาซับซ้อน จู่ๆ ก็รู้สึกปั่นป่วนภายในใจขึ้นมา ทว่าก็ไม่บอกได้ว่าจิตใจปั่นป่วนเพราะเรื่องใด

ทว่าเขานั้นไม่ใช่คนชอบยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของคนอื่น เขาไม่ได้อยากรู้อยากเห็นว่ายาบนโต๊ะคือยาอะไร ก่อนจะเก็บมันใส่กล่องยาดังเดิม

หลังจากเก็บของเสร็จ เขาก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก กล่องอะไรกันเนี่ย ช่างจุดีแท้

ในที่สุดเขาก็จะได้กลับห้องจริงๆ เสียที

แต่คงเป็นเพราะเขาวางกล่องยาใบน้อยนั้นไม่มั่นคงพอ เสียงเคร้งดังขึ้น กล่องยาร่วงลงจากโต๊ะตกกระแทกพื้นขึ้นอีกครั้ง

ของที่อยู่ภายในกลิ้งเกลื่อนออกมาอีกครั้ง

เพียงแต่สิ่งน่าประหลาดใจก็คือ คราวนี้ของที่ตกลงมาไม่เหมือนกับเมื่อครู่เลยสักอย่างเดียว

“ข้าตาฟาดไปหรืออย่างไร…”

เซียวลิ่วหลังมองยาบนพื้นอย่างงุนงง เป็นครั้งแรกที่ไม่มั่นใจในสายตาของตัวเอง

เขาเก็บของกลับใส่กล่อง ตั้งใจว่าจะทำกล่องตกอีกครั้งเพื่อนพิสูจน์ ทว่าทันใดนั้นกู้เจียวที่อยู่บนโต๊ะก็พลิกตัว บาดแผลถูกกดทับ ก่อนจะร้องครางด้วยความเจ็บปวด

เซียวลิ่วหลังหยุดการกระทำลง ก่อนระลึกขึ้นได้ในทันใดว่ามาค้นของคนอื่นกลางดึกเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเข้าท่าสักเท่าไหร่ เขาทอดถอนใจ ก่อนจะวางกล่องกลับบนโต๊ะดังเดิมแล้วหันหลังเดินกลับห้องไป

วันต่อมาเซียวลิ่วหลังตื่นแต่เช้าตรู่

ไข้สูงของกู้เจียวลดลงไปมากแล้ว แต่เป็นเพราะเหนื่อยล้าจนเกินไปจึงยังคงหลับสนิทอยู่

เซียวลิ่วหลังไม่ได้ปลุกนาง เขาเข้าครัวเพื่อทำอาหารเช้า ก่อนจะบอกล่าวกับหญิงชราแล้วออกไปยังสำนักบัณฑิต

ฝั่งจวนบนเขา แม่นางเหยาที่รอมาทั้งคืนจนอดรนทนไม่ไหวแล้ว ก็รบเร้าท่านโหวกู้ให้พานางไปยังหมู่บ้าน

เสี่ยวจิ้งคงเป็นคนมาเปิดประตู

ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ลงกลอนประตูบ้าน แต่วันนี้กู้เจียวหลับอยู่ เพื่อไม่ให้คนรบกวนนาง เสี่ยวจิ้งคงถึงได้สอดไม้ลงกลอนประตู

เสี่ยวจิ้งคงชะโงกหัวโล้นกลมออกมาจากซอกประตู ก่อนจะมองแม่นางเหยาและท่านโหวกู้อย่างประหลาดใจ

เขารู้จักแม่นางเหยส นางคืออุปัฏฐายิการูปงามที่มาจุดธูปไหว้พระที่วัดบ่อยๆ

ส่วนท่านโหวกู้เขาเองรู้จักเหมือนกัน คือจอมวายร้ายที่สั่งให้จับเขากับเจียวเจียว

พวกเขาสองคนเป็นสามีภรรยากันหรือนี่…

เสี่ยวจิ้งคงสีหน้าเคร่งขรึมครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะเอียงคอถาม “โยมก็ถูกเขาจับตัวเหมือนกันหรือ”

แม่นางเหยามึนงง

สีหน้าของท่านโหวกู้กระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก “…”

เมื่อคืนนี้ แม่นางเหยาขอให้ท่านโหวกู้เล่าเรื่องของกู้เจียวมากมาย แต่มีหรือที่ท่านโหวจะกล้าบอกนางอย่างหมดเปลือกทุกเรื่อง อย่างน้อยก็ไม่บอกว่าตัวเองเคยสั่งให้คนตามจับตัวกู้เจียวและเจ้าหนูน้อยคนนี้

หลังจากจบเรื่องนั้นลง เขาถึงสืบรู้มาว่า เจ้าหนูน้อยคนนี้คือเด็กจากวัดที่กู้เจียวรับมาเลี้ยง

เลี้ยงตัวเองยังจะแทบไม่ไหวแท้ๆ ยังหาเรื่องใส่ตัวอีก ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้คิดอะไรของนางกัน

แม่นางเหยาไม่เข้าใจที่เสี่ยงจิ้งคงพูด แต่นางพอจำได้ว่าเขาคือเณรน้อยที่วัด นางคุกเข่าลงก่อนจะมองเสี่ยวจิ้งคงด้วยแววตาอ่อนโยน “ข้าจำเจ้าได้ เจ้าคือเณรน้อยที่วัด เจ้าชื่ออะไรหรือ”

นัยน์ตาดำขลับของเสี่ยวจิ้งกะพริบปริบ ก่อนจะเอ่ยเสียงแสนน่าเอ็นดู “ข้าชื่อจิ้งคง ตอนนี้ข้าไม่ใช่เณรแล้ว ข้าลงเขามาแล้ว!”

แม่นางเหยาลูบไรผมอ่อนที่เพิ่งงอกบนศีรษะของเขา ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ามาหาเจียวเจียว เจียวเจียวอยู่บ้านหรือไม่”

เสี่ยวจิ้งคงประหลาดใจ “เอ๋ ท่านรู้จักเจียวเจียวด้วยหรือ”

แม่นางเหยาพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้ารู้จักนาง”

เสี่ยวจิ้งคงก้มหน้างุด ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ทรมานใจ “วันนี้ท่านคงพบนางไม่ได้หรอก นางไม่สบาย รับแขกไม่ได้”

แม่นางเหยาเป็นห่วงขึ้นมาในทันใด “เหตุใดนางถึงไม่สบายได้”

“ท่านย่า บอกว่านางเหนื่อยจนเกิดไป” เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดก่อนจะตำหนิตัวเอง “คงเหนื่อเพราะเลี้ยงข้าเป็นแน่”

ในเมื่อข้ากินเยอะขนาดนั้น

ท่านโหวกู้รู้สึกผิดขึ้นมาอยู่ในใน นางหนูนั่นคงไม่ได้ล้มป่วยเพราะถูกเขาเอาแส้ฝาดเมื่อวานหรอกกระมัง

เรื่องนี้เขาเองก็ไม่ได้บอกแม่นางเหยาเช่นกัน…

แม่นางเหยามองเสี่ยวจิ้งคงอย่างสงสาร จังหวะการพูดนั้นฟังดูร้อนรน แต่น้ำเสียงกลับแผ่วเบา “ขอข้าเข้าไปดูนางหน่อยได้หรือไม่ ขอรับรองว่าจะไม่เสียงดังรบกวนนาง”

“ข้าไม่แน่ใจว่าเจียวเจียวอยากเจอท่านหรือไม่ ท่านรอประเดี๋ยว ข้าไปถามเจียวเจียว” เสี่ยวจิ้งคงปิดประตู ก่อนจะวิ่งเตาะแตะเข้าห้องแล้วมาหยุดอยู่ที่หน้าเตียงของกู้เจียว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยิน “เจียวเจียว โยมหญิงจากที่วัดผู้นั้นอยากเจอเจ้าล่ะ เจ้าอยากเจอนางไหม”

กู้เจียวหลับปุ๋ย!

ไม่นาน เสี่ยวจิ้งคงก็เปิดประตูแล้วบอกกับแม่นางเหยา “เรียบร้อยแล้ว เจียวเจียวไม่คัดค้าน ท่านเข้ามาได้!”

แม่นางเหยาเดินเข้ามาในเรือนด้วยความตื่นเต้น

ท่านโหวกู้เองก็หมายจะเดินเข้าไปเช่นกัน

เสี่ยวจิ้งคงยื่นผ่ามือน้อยออกมาขวางเขา “ท่านเข้าไม่ได้”

ท่านโหวกู้ขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใด”

เสี่ยวจิ้งคงเชิงคางขึ้น “เจียวเจียวไม่ได้ตกลงให้ท่านเข้า”

ท่านโหวกู้มึนงงไปหมดแล้ว

ปัญหาอยู่ที่นางไม่ตกลงอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะเณรน้อยใจดำอย่างเจ้าไม่ถามต่างหาก

ท่านโหวกู้เอ่ยเสียงขรึม “หากเจ้าแน่จริงก็ไปถามอีกครั้ง! ข้าไม่เชื่อหรอกว่านางจะคัดค้าน!”

คนยังไม่ตื่นด้วยซ้ำ จะคัดค้านอย่างไร

เสี่ยวจิ้งคงคิดอยู่นาน “ได้สิ”

เสียวจิ้งคงวิ่งตึงตังเข้าไปในห้องอีกครั้ง “เจียวเจียว เจียวเจียว ผู้ใหญ่นิสัยไม่ดีคนนั้นอยากพบเจ้า เจ้าอยากพบเขาไหม”

ผู้ใหญ่นิสัยไม่ดีคืออะไร

ลำพังแค่ตัวนางหนูนั่นเองน่าโมโหแล้ว แม้แต่เณรน้อยที่รับเลี้ยงก็ยังกวนอารมณ์ได้ขนาดนี้เชียวหรือ

ท่านโหวกู้โกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมดแล้ว!

เสี่ยวจิ้งคงยกมือกู้เจียวขึ้นมาโบก “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่ตกลงสินะ!”

เขาเดินออกมายังลำพองใจ ก่อนจะบอกกับท่านโหวกู้น้ำเสียงจริงจัง “เจียวเจียวปฏิเสธท่านน่ะ!”

ท่านโหวกู้ “…”

เพื่อไม่ให้ใครบางคนบุกเข้ามา เสี่ยวจิ้งคงจึงลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาตั้งหน้าประตูแล้วนั่งลง ก่อนจะมองท่านโหวกู้ด้วยสายตาคาดโทษ

ท่านโหวกู้ “ทำอะไรของเจ้า”

เสี่ยวจิ้งคง “เฝ้าท่านอย่างไรเล่า”

ท่านโหวกู้ “เหอะ ข้าไม่เข้าไปหรอก”

เสี่ยวจิ้งคง “ใครจะไปรู้กัน”

ท่านโหวกู้ “หากไม่เชื่อเจ้าก็ลงกลอนประตูสิ!”

เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย “หากท่านปีนกำแพงเล่า ข้าจะจับตาดูท่านอยู่ที่ดี ไม่ให้ท่านทำเรื่องชั่วร้าย!”

ท่านโหวกู้ “ข้าเป็นถึงอันติ้งโหวแห่งเมืองหลวง ไม่น่าเชื่อถือถึงขั้นเณรน้อยต้องมานั่งเฝ้าเช่นนี้เลยหรือ”