ผู้ใหญ่หนึ่ง เด็กหนึ่ง ถลึงตาเล็กใหญ่ใส่กัน ลับฝีบางกันอยู่ที่หน้าประตู
ตอนนี้แม่นางเหยาไม่สนใจสามีอีกต่อไปแล้ว ในใจของนางมีแต่กู้เจียวเต็มไปหมด
หลังจากนางเข้ามาในห้อง ก็นั่งลงข้างกายกู้เจียวในทันใด
สีหน้าของกู้เจียวดูมีเรี่ยวแรงกว่าคืนก่อนนัก เพียงแต่ตั้งมีไข้อยู่บ้างใบหน้าจึงซีดเผือด
โบราณว่า ‘ลูกป่วย แต่แม่เจ็บ’ แม่นางเหยาเห็นลูกของตัวเองป่วยหนักเพียงนี้ ในใจก็ปวดร้าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ยิ่งได้เห็นบ้านที่นางอยู่อาศัย ขอบตาของแม่นางเหยาก็แดงก่ำ
หญิงชรานอนหลับอยู่ในห้องดั่งมังกรจำศีล พอตื่นขึ้นมาตั้งใจว่าจะแวะมาดูอาการเสียหน่อย กลับกลายเป็นว่าเมื่อเดินเข้าโถงมาก็เห็นเสี่ยวจิ้งคงนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูราวกับก้อนหิน
“อ่าว มิได้ออกไปข้างนอกหรือ”
หญิงชรามึนงง
อย่าดูถูกว่าเสี่ยวจิ้งคงเป็นแค่เด็กสามขวบ แต่ความจริงแล้วแต่ละวันของเขานั้นยุ่งมาก
เขาเคยชินกับการทำวัดเช้าเย็นตั้งแต่สมัยอยู่ที่วัด หลังจากตื่นเช้าขึ้นมาเขาก็จะท่องบทสวดมนต์อยู่ในใจ พอสวดจบก็จะไปที่ป่าท้ายเรือนเพื่อฝึกลมปราณ
มีครั้งหนึ่งหญิงชราเดินออกมาแล้วเห็นเขาให้สองมือจับสองเท้าของตัวเอง งอตัวเป็นวงแหวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ หญิงชราเกือบคิดว่าตัวเองเจอปีศาจงูเข้าให้แล้ว!
ที่เขาฝึกฝนนั้นล้วนแต่เป็นวิชาขึ้นพื้นฐาน นานๆ ครั้งกู้เจียวก็จะฝึกพร้อมกับเขาบ้าง ไม่มีใครฝึกด้วยเขาก็ฝึกเอง ไม่ต้องพึ่งพาใครทั้งนั้น
เมื่อฝึกลมปราฯเสร็จก็จะไปหาเพื่อนในหมู่บ้าน ตอนเที่ยงกลับมากินข้าว ตอนบ่ายก็ช่วยกู้เจียวทำงาน
ตอนนี้เป็นเวลาที่เขาต้องเป็นเล่นสนุกกับเด็กๆ ในหมู่บ้านนี่
เสี่ยวจิ้งคงตอบ “เจียวเจียวไม่สบาย ข้าต้องอยู่เป็นเพื่อนเจียวเจียว”
เขาไม่ยอมให้ใครมารบกวนตารางชีวิตเขาทั้งนั้น มีเพียงเจียวเจียวเท่านั้นที่ทำได้
คำตอบนั้นมิได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด หญิงชราขานตอบอ๋อ สายตามองผ่านเขาแล้วหนุ่มอยู่ที่ชายแปลกหน้าที่หน้าประตู
“ผู้ใดกัน” นางเอ่ยถามเสียงเรียบ
เสี่ยวจิ้งคงอดทันไม่พูดคำว่า ‘ผู้ใหญ่นิสัยเสีย’ ออกมา เพราะเขารับปากกับเจียวเจียวไว้แล้ว ว่าจะไม่บอกเรื่องที่พวกเขาโดนจับให้คนในบ้านรู้ เพราะกังวลว่าท่านย่ากับพี่เขยใจร้ายจะเป็นห่วงเอา
“คนคนหนึ่ง” เสี่ยวจิ้งคงตอบอย่างขอไปที
หญิงชรา ‘ข้ามองไม่ออกกระมังว่าเป็นคน’
หญิงชราไม่ได้ถือสา ก่อนจะเดินไปทางหน้าประตู
ขณะเดียวกันท่านโหวกู้เองก็สังเกตเห็นหญิงชราที่เดินมาทางประตูแล้วเช่นกัน
สภาพความเป็นอยู่ของกู้เจียวนั้น ท่านโหวกู้ได้สืบถามมาจนรู้ชัดแจ้งแล้ว ไม่เพียงแต่รู้ว่านางรับเณรน้อยมาเลี้ยงหนึ่งคน ทั้งยังรู้ว่านางเก็บสามีขาพิการมาจากริมทาง แล้วก็มีท่านย่าที่หนีมาอยู่กับเขา
ท่านย่ามาจากฝั่งบ้านสามี
เฮ้อ ตัวนางเองก็ยากจนขนาดนี้ ทำไมถึงยังจะรับคนเข้าบ้านไม่หยุดไม่หย่อนแบบนี้
คิดว่าตัวเองเก็บบัณฑิตอันดับหนึ่งได้ แล้วจะเก็บไทเฮาได้อีกสักคนอย่างนั้นรึ
เหตุใดถึงไม่รู้จักประมาณตนเองเสียเลย
นึกถึงเพียงเท่านั้น ท่านโหวก็โมโหจนแทบลมจับ
เพียงแต่เมื่อหญิงชราเดินเข้ามาใกล้ เขาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่านอย่างชัดเจน โทสะเมื่อครู่ก็พลันหายไป แต่กลายเป็นหายใจไม่ออกมากกว่า
“ไท ไท ไท ไท ไท…”
ไทเฮา
สองเข่าของท่านโหวกู้ทรุดลงกับพื้น หัวแม่เท้าสะดุดเข้ากับธรณีประตู ก่อนจะถลาล้มคะมำไปกับพื้น!
หญิงชรามองชายแปลกหน้าที่ล้มลงริมเท้าตัวเอง เจอกันครั้งแรงก็คำนับเสียยิ่งใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ นางลูบคางไปมา “…ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้”
เสี่ยวจิ้งคงเหลียวกลับมาแล้วบอกว่า “มาหาเจียวเจียวน่ะ โยมผู้หญิงเข้าไปแล้ว ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่ให้เขาเข้าไป!”
ไม่ให้ผู้ชายเข้าห้องเจียวเจียวนั้นก็ถูกต้องแล้ว หญิงชราไม่ได้สงสัยเขา แล้วก็คร้านจะถามว่าท่านโหวกู้เป็นใคร ก่อนจะอ้าปากหาววอดเดินไปแทะเมล็ดแตงโมท้ายเรือน
ท่านโหวกู้ประคองศีรษะที่กระแทกจนเหมือนจะหลุดออกจากบ่าแล้วลุกขึ้น
จากมุมที่เขายืนอยู่ เห็นหญิงชรานั่งอยู่ที่ประตูหลังของห้องโถงได้อย่างชัดเจน นางสวมเสื้อผ้าเหมือนเหล่าชาวบ้านทั่วไป บนศีรษะโพกผ้าเหมือนที่หญิงชาวบ้านมักทำกัน
พอได้เห็นเช่นนี้ ท่านโหวก็รู้สึกว่าไม่คล้ายสักเท่าไหร่แล้ว
ไทเฮาจวงอภิเษกกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนตอนอายุได้สิบสามปี เข้าวังมาก็ได้รับตำแหน่งเป็นเสียนเต๋อโห่ว อาละวาดที่วังหลวงมาไม่รู้กี่สิบหน ว่าราชการหลังม่านมาสิบเจ็ดครั้ง แม้จะไม่ได้ให้กำเนิดโอสรหรือพระธิดาแก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน แต่ที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นนั่งบัลลังก์ได้ก็เพราะมีนางคอยอุ้มชู เพราะฉะนั้นนางไม่ว่าจะเป็นวังหลังหรือในราชสำนัก ตำแหน่งของนางนั้นไม่มีวันสั่นสะเทือน
คนทั่วไปไม่มีทางได้พบหน้าไทเฮาจวงแน่นอน
ท่านโหวกู้โชคดีที่มีโอกาสได้เห็นนางสองหน ครั้งแรกในงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ของเหล่าขุนนาง เขาเห็นเงาร่างของนางเพียงแค่รำไร ทว่าไทเฮาจวงนั้นสง่างามสมบารมีหงส์ แม้จะยืนข้างกายฮ่องเต้ก็ยังสูสี
อีกครั้งหนึ่งคือตอนที่เขาเข้าวังไปเพื่อเยี่ยมซูเฟยที่ตั้งครรภ์ เขาบังเอิญเจอขบวนเสด็จของฮองเฮา
เขาหลีกเข้าข้างทางเพื่อคำนับให้แก่ไทเฮา
ตอนนั้นเขารวบรวมความกล้าเหลือบตามอง แววตาแหลมคมนั้นมองกลับมาจนเขาแทบขาดอากาศหายใจตายคาที
ไทเฮาจวงมิใช่คนนิสัยดีอะไรมากนัก ไม่อย่างนั้นจะมีคนแอบด่านางว่าไทเฮาอสรพิษ ไทเฮาปีศาจได้อย่างไร
หญิงชราที่อยู่เบื้องหน้านอกจากหน้าตาเหมือนแล้ว ก็ไม่ให้ความรู้สึกใดที่เหมือนไทเฮาจวงเลยสักนิด
“ท่านย่า ท่านแอบกินอะไรอีกแล้วใช่ไหม” เสี่ยงจิ้งคงสัมผัสได้ว่าเสียงแทะเมล็ดดอกทานตะวันของหญิงชรานั้นแปลกไป พอหันกลับไปก็เห็นนางอุ้มไหลูกหยางเหมยเชื่อมตากแห้งที่ไม่รู้ว่าไปหยิบมาตั้งแต่เมื่อไหร่
หญิงชราหันหลังให้ทันที สะบัดค้อนใส่เสี่ยวจิ้งคง “เจ้าอย่ามาพูดเหลวไหลนะ! ข้าเปล่าเสียหน่อย!”
พูดไปมือข้าหนึ่งก็ล้วงใส่ห่อผ้าไปเป็นกำ
ยามที่จิ้งคงเดินมาเพื่อยึดโหล นางก็แอบเก็บซ่อนไปแล้วไม่น้อย
ท่านโหวกู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็ปักใจเชื่อว่าหญิงชรากินเก่งคนนี้ ไม่มีทางใช่ไทเฮาจวงผู้ร้ายกาจแน่นอน!
ภายในห้อง กู้เจียวค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
ความจริงแล้วนางควรจะฟื้นตั้งนานแล้ว แต่แม่นางเหยาอยากให้นางได้หลับอย่างสงบ จึงใช้ผ้าห่มคลุมหน้าต่างแทนม่าน
แสงสลัวทำให้คนหลับสบายยิ่งนัก กู้เจียวจึงนอนหลับถึงเที่ยง
ยามลืมตาขึ้นมานางสัมผัสได้ว่ามีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ริมเตียง ภายในใจเตรียมตั้งรับในทันใด
นางคว้ากริชที่อยู่ใต้หมอนออกมาแล้วอ้อมไปจ่อไปที่ลำคออีกฝ่าย ปลายมีดกดลงไปที่เนื้อบนลำคอของอีกคน ทว่าอีกฝ่ายกลับรั้งตัวนางเข้ามากอดในอ้อมอก
“เจียวเจียว ข้าเอง!” แม่นางเหยาเอ่ย
กู้เจียวได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจึงชะงักไป เรียวคิ้วที่ขมวดแน่นคลายออก ก่อนจะลดกริชลงแล้วปล่อยนาง “ฮูหยินกู้”
เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาแม่นางเหยาเหงื่อโชกไปทั้งตัว
นางหันกลับมาก่อนจะตั้งสติแล้วเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของกู้เจียว “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
กู้เจียวเบี่ยงตัวหนีผ่ามือตามสัญชาตญาณ
แม่นางเหยาชะงักไป ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ทำเจ้าตกใจแย่เลยใช่หรือไม่”
แสงภายในห้องมืดสลัว กู้เจียวมองไม่เห็นว่าดวงตาของนางแดงก่ำ แต่มองเห็นรอยช้ำเลือดบนลำคอของนาง
ที่เกิดจากถูกกู้เจียวล็อกคอจากด้านหนังเมื่อครู่
นางเป็นไข้สู้ กะแรงไม่ถูกเหมือนตอนร่างกายปกติ ถึงได้พลาดทำอีกฝ่ายเจ็บตัว
ทว่าสิ่งแรกที่นางทำกลับไม่ให้สำรวจบาดแผลของตัวเอง แต่เป็นห่วงหาอาธรณ์กู้เจียว
กู้เจียวมองนางด้วยแววตาสับสน
แม่นางเหยาเห็นสายตาของกู้เจียวที่มองมา ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากแผลเอาไว้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นอะไร เจียวเจียว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
นางถามเป็นครั้งที่สอง
กู้เจียวครุ่นคิด ทว่ายังไม่ตอบคำถามนาง “ข้าเองก็ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ฮูหยินกู้มาทำอะไรที่นี่หรือเจ้าคะ”
“ข้ามาเยี่ยมเจ้า” แม่นางเหยาตอบ แล้วเดินไปเปิดม่านหน้าต่าง แสงแดดเจิดจ้าส่องทะลุหน้าต่างกระดาษเข้ามา
กู้เจียวหรี่ตาลง ก่อนจะปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่าง นางเอ่ยขึ้นมา “ฮูหยินกู้โดนวางยาพิษ ควรจะนอนพักผ่อนนะเจ้าคะ”
แม่นางเหยามองดวงหน้าน้อยของนางด้วยสายตาอ่อนโยน “ข้ารู้ ข้ามาวันนี้ ความจริงแล้วมีเรื่องจะบอกกับเจ้า”
กู้เจียวจ้องมองแม่นางเหยา ก่อนจะเห็นหยดน้ำตาสีใสใต้ดวงตานั้น
แม่นางเหยาเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง แล้วกุมมือนางไว้ ก่อนจะประคองดวงหน้าผอมซูบของกู้เจียวอย่างเบามือ
ร่างอันบอบบางของนาง ในยามนี้กลับเปี่ยมไปด้วยกำลัง “เจียวเจียว ข้าเป็นแม่ของเจ้า”