ให้ดีที่สุด ในมือต้องจับฝุ่นหนา สองเท้าเรืองแสง อ้าปากทอดถอนรำพัน มองทะลุซึ้งถึงธุลีทางโลกอะไรเทือกนั้น
อาวุโสใหญ่ความสามารถสูงส่ง แน่นอนว่าย่อมอ้าปากร้องวู้ฮูได้ แต่นั่นหาใช่บุคลิกของยอดคน น่าจะเป็นพวกต่อต้านสังคมมากกว่า
ในฐานะอาวุโสใหญ่ของพรรคหลิงเซียว ย่อมเป็นผู้สลัดหลุดจากความไร้รสนิยมเช่นนั้น คำพูดคำจาเคร่งขรึมจริงจัง วาจาชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ชิ ท่านนี่ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย” ฉินจิ่วเกอเข้ามาอยู่หน้าอาจารย์ตนเอง ดึงชายเสื้ออาวุโสใหญ่ แล้วรีบกล่าวแนะนำต่อทุกคน “ท่านนี้ก็คือยอดฝีมือสุดสูง บิ๊กบอสของเมืองซวนอู่ และสังกัดสมาพันธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ทวีปฉงหลิง อาวุโสใหญ่พรรคหลิงเซียว! ”
“อา ยินดีที่ได้พบ” หยวนเฟิงไม่แน่ใจว่าพลังของอีกฝ่ายอยู่ในระดับใด เพียงรู้สึกกระสับกระส่ายภายใต้สายตาที่มองมาของอีกฝ่าย
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ไปๆ ชิ่วๆ เจ้าเด็กเกเร” อาวุโสใหญ่สะบัดชายเสื้อ ฉินจิ่วเกอที่เกาะอยู่ก็ปลิวไปอยู่ข้างหลัง ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นหรือตาย
“ข้ามีหนี้แค้นที่ต้องชำระกับเจ้าเด็กนี่ ยังคงขอให้อาวุโสช่วยหลีกทาง! ” พอมองไปที่ฉินจิ่วเกออีกครั้ง น้ำเสียงของหยวนเฟิงก็เหี้ยมเกรียมขึ้นมาอีก ความเกลียดชังที่มีต่อฝ่ายนั้นได้ฝังรากลึกไปถึงกระดูกแล้ว
“พิสุทธิ์ไพศาลสองคนกลุ้มรุมศิษย์น้อยของข้า ในเมื่อฝีมือไม่เข้าขั้น ตกตายไปก็ช่างปะไร เจ้าฝึกปรือวิชามาถึงตอนนี้ คงฆ่าคนไปไม่น้อยแล้วกระมัง ไม่รู้สึกว่าตัวเจ้าเองสมควรชดใช้ไถ่บาปได้แล้วหรอกหรือ? ”
“อาวุโสยืนกรานที่จะสอดมือเข้ามาจริงๆ? ”
“ข้ายังต้องเร่งรีบเดินทางอีก เอาเป็นว่าข้าจะทำลายวรยุทธ์เจ้าแล้วให้คนอื่นมาจัดการต่อก็แล้วกัน” อาวุโสใหญ่ขี้คร้านเกินกว่าจะตอบคำถามของหยวนเฟิง มุมมองของคนเรานั้นต่างกัน และการวัดตัดสินความผิดถูกก็ไม่เหมือนกันอีก ในเมื่อระบุชี้ชัดไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตอบ
ฆ่าคนน้อยมีความผิด ฆ่าคนมากเป็นวีรบุรุษ!
ครืนนน!
บริเวณตีนเขา กองโจรและศิษย์ตระกูลหยวนค่อยๆ ก่อรูปขบวนโอบล้อม กักขังฆ่าฟันตระกูลซูจนแม้แต่ชุดเกราะบนตัวก็ยังไม่เหลือ ตอนนี้เหลือเพียงอาวุโสไม่กี่ท่านที่ยังคงต่อสู้แลกชีวิต
ประมุขซูรัศมีพลังตกต่ำ ไหนจะต้องคอยคุ้มครองเหยียนหัว รับมือกับการกลุ้มรุมของตระกูลหยวน
พลันได้ยินเสียงกึกก้องมาคราหนึ่ง ขุนเขาลูกมหึมาที่อยู่ไกลออกไปอยู่ๆ ก็จมยวบลง ยอดเขากุดทอนลงไปครึ่งลูก
จากนั้นเสียงโหยหวนก็ดังขึ้น ก่อนที่ภูเขาจะเริ่มพังครืนลงมา ก้อนศิลานับไม่หวาดไม่ไหวร่วงกราวลงเหมือนหิมะถล่ม กระจายตัวลงยังบริเวณตีนเขาด้านล่าง
บรรดาโจรเล็กโจรน้อยล้วนถูกกลบฝังทั้งเป็น โดนแรงกระแทกบดอัดจนกลายเป็นปุ๋ย อาวุโสตระกูลซูที่เหลือรอดอยู่เพียงไม่กี่ท่านโชคดีเหาะตัวออกมาได้ทันท่วงที แต่ซากศพและพวกโจรที่เหลือแค่เพียงพริบตาก็ถูกกลบฝังกันไปหมด
เสียงกรีดร้องรวมทั้งเสียงต่อสู้หยุดชะงักลงอย่างเฉียบพลัน ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกกลบฝังอยู่ใต้ดิน ประมุขซูหอบหายใจแผ่ว พบเห็นแสงเลื่อมสองสายพุ่งห่างออกไปไกล กองโจรที่ก่อหวอดอาละวาดอยู่รอบนอกเมืองล่วนโต้วมาเป็นเวลาหลายร้อยปี นับแต่วันนี้ไปจนถึงสิบปีให้หลัง จะถูกควบคุมหน่วงเหนี่ยวไว้
ด้วยกังวลถึงความสามารถอันโดดเด่นด้านการก่อกวนเรื่องราวของฉินจิ่วเกอ อาวุโสใหญ่จึงไม่ปล่อยศิษย์รักเอาไว้ตามลำพังอีก แต่พาฉินจิ่วเกอเหาะเหินขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วสูง
หลังจากบินมาได้ระยะทางพันลี้ทางตะวันออกของเมืองล่วนโต้ว ท้ายที่สุดก็มาถึงเขตตัวเมืองของเทียนเอิน
ภายในเขตตัวเมือง พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดเตร็ดเตร่อยู่ทั่วทุกที่ มีทั้งที่เป็นเผ่ามนุษย์ เผ่ามาร รวมถึงเผ่าอสูร
หากอาวุโสใหญ่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ฉินจิ่วเกอได้มีเวลาชื่นชมอยู่นาน ยังคงมุ่งหน้าเข้าสู่เขตเมืองรอบในของเทียนเอิน
เป็นธรรมดาที่รอบนอกจะมีโจรชุกชุม ลือกันว่าเพราะเป็นสถานที่ที่วุ่นวายที่สุดของทวีปฉงหลิง การรักษาความปลอดภัยของเมืองรอบในจึงเข้มงวดกวดขัน
มีบ้างที่พบพวกไร้นัยน์ตา อ้างว่าเป็นจิ้งจอกหน้าหยก ทรราชย์เขาตะวันออก และชื่อที่อหังการ์อีกมากมาย
อาวุโสใหญ่ไม่แม้แต่จะลืมตามอง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นภูตผีปีศาจ หรือจะเป็นเทวดาหน้าหยกหน้าทองอันใดก็ตาม อาศัยเพียงรัศมีพลังที่แผ่ออกจากตัวก็สามารถบดขยี้พวกมันได้อย่างง่ายดาย เปลี่ยนให้พวกมันเป็นผีเร่ร่อนไปซะเลย
“ต่อไปเมื่อเจ้าบรรลุชั้นพิสุทธิ์ไพศาล ก็สามารถเข้าไปท่องเที่ยวในเมืองเทียนเอินได้ เมืองเทียนเอินเป็นจุดเชื่อมประสานสามเผ่ามนุษย์มารอสูร สถานที่เปี่ยมอันตราย ทว่ายังแฝงไว้ด้วยโชควาสนาไม่น้อย”
อาวุโสใหญ่เท้าเหยียบอากาศเหาะเหิน ผ่านมาสามวันเพิ่งอ้าปากเอ่ยวาจา สายตาเคร่งขรึมเพ่งไปยังตัวเมืองขนาดใหญ่โตเบื้องหน้า
“ศิษย์จะจดจำไว้ ต่อไปออกท่องยุทธภพ ศิษย์ย่อมต้องขัดเกลาฝีมือ ไม่ให้เสียชื่อพรรคหลิงเซียวเรา”
พลานุภาพอันน่าเกรงขามของอาวุโสใหญ่ ระหว่างการเดินทางฉินจิ่วเกอได้ประจักษ์แก่สายตา นั่นช่างเป็นความแข็งแกร่งอันถล่มทลายอย่างแท้จริง
โจรร้ายนับพัน รวมตัวกันครอบคลุมทั้งยอดเขา คิดเหนี่ยวรั้งการเดินทางของพวกมันทั้งสอง
อาวุโสใหญ่เพียงยืนหยัดกับที่ แม้แต่มือยังไม่ต้องขยับยก ใช้เพียงพลังจิตก็ปรากฏแม่น้ำทั้งสายผุดโผล่มาจากที่ใดไม่ทราบได้
มหานทีถล่มโถมท่วมใส่บรรดาโจรทั้งขบวน ไม่ว่าปราณสุริยันหรือพิสุทธิ์ไพศาลล้วนไม่อาจรอดพ้น ไม่แน่ว่าตอนนี้ยังว่ายน้ำลอยคออยู่กับปลาในแม่น้ำ
“นั่นคือตัวเมืองหลักของเมืองเทียนเอินหรือ?”
เบื้องหน้าสายตา คือสัตว์อสูรดุร้ายที่กำลังหลับใหล มันไม่ได้ตาย เพียงแต่หลับอยู่เท่านั้น
และเมื่อใดที่สัตว์ร้ายมหึมานี้ขยับเคลื่อนไหว นั่นจึงจะเป็นมหันตภัยคว่ำดินพลิกฟ้า ดวงดาราร่วงหล่น หมื่นล้านดวงวิญญาณแตกดับ!
“เมืองเทียนเอิน เป็นตัวเมืองใจกลางของทั้งรอบเมืองเทียนเอิน ทั้งยังเป็นสถานที่ที่ยอดฝีมือชุกชุมที่สุด ฟังมาว่าในตัวเมืองมียอดยุทธ์เหนือกว่ากลั่นดวงธาตุพำนักอาศัย ไม่ทราบจริงหรือไม่ ที่นี่ผสมปนเปด้วยสามเผ่าพันธุ์ อย่าได้ก่อเรื่องโดยเด็ดขาด”
อาวุโสใหญ่ไม่วางใจศิษย์รัก เลยต้องเอ่ยเตือนไว้ก่อน
ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะอย่างว่าง่าย เอ่ยตอบด้วยท่าทีไร้เดียงสา “อาจารย์วางใจเถอะ หากมีคนรังแกศิษย์ ศิษย์รับประกันจะหลุบหางหดหัวหลบหนี ต่อให้มันทำร้ายทำลายจิตและสังขารของศิษย์ไป ศิษย์ก็จะกัดฟันแบกรับไว้”
“หึหึ” พูดจาจนเกินเลย อาวุโสใหญ่จนปัญญากับศิษย์รัก ตนเองสมควรยินดีที่มันเชื่อฟังวาจา หรือสมควรด่าทอมันชั่วร้ายจึงจะถูก?
“สรุปแล้วเจ้าอย่าได้ก่อเรื่องก็พอ” อาวุโสใหญ่กล่าวตัดรำคาญ ตัวมันไม่ต่างจากคนหิ้วปลาเค็มใหญ่ที่ไม่น่าฝันถึงตัวหนึ่ง หอบหิ้วศิษย์รักของมันหัวสั่นหัวคลอนเข้าเมืองไป
เมืองเทียนเอิน คือเมืองเทียนเอินที่ยืนหยัดยาวนาน เป็นเมืองเทียนเอินอันดุร้ายขึ้นชื่อมาทุกยุคทุกสมัย
นับแต่ผ่านพ้นยุคมหาสงคราม เมืองเทียนเอินก็สถิตอยู่ ณ ใจกลางเมืองเทียนเอินมาตลอด
ใจกลางเมือง พาดผ่านด้วยถนนยาว ตึกรามบ้านช่องอันโอฬาร ทุกที่ทางสะอาดสบายตา กลับทำให้ผู้คนยากเชื่อมโยงตัวเมืองกับชื่อเสียงของความโหดร้ายของมันได้ มีเพียงผู้ที่คลุกคลีอยู่ภายในเมืองอย่างแท้จริง จึงจะซาบซึ้งถึงความน่ากลัวของมัน
อันตราย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมาอย่างเปิดเผย
“ท่านอาจารย์ นาวาเรืองปัญญาอยู่ที่ใด? ” ฉินจิ่วเกอมองดูผู้คนหลากหลายบนท้องถนน พวกมันแต่งกายประหลาด พฤติการณ์ก็พิลึกพอกัน
มีเพียงจุดเดียวที่เหมือนกัน นั่นคือระดับวรยุทธ์ที่ไม่ต่ำไปกว่าชั้นพิสุทธิ์ไพศาล
“จัตุรัสใจกลางเมืองเทียนเอิน” ไม่ปรารถนาให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก อาวุโสใหญ่คว้าตัวศิษย์น้อยขึ้นมาห้อยแขวนไว้กับเอว ก่อนจะเดินส่ายอาดๆ เข้าเมืองไป
ฉินจิ่วเกอยกมือปิดหน้า น่าขายหน้าอะไรอย่างนี้ ท่านอย่าได้ทารุณข้าไปมากกว่านี้เลยจะได้ไหม
ต่อให้อาวุโสใหญ่ไม่ได้เปิดเผยระดับพลังของตัวเอง แต่เมื่อใดที่มีคนพบเห็น ล้วนแล้วแต่ต้องหลีกทางให้ก่อนเสมอ
กระทั่งพวกอันธพาลครองเมืองหลังพบเห็นอาวุโสใหญ่ยังต้องหุบปากฉับ หรือไม่ก็ลดเสียงให้ต่ำที่สุด ด้วยกลัวว่าจะไปรบกวนอีกฝ่ายเข้า
ช่วยไม่ได้ ก็ในเมื่อบุคลิกลักษณะของอาวุโสใหญ่ช่างเหมือนเทพเซียนถอดรูปมาเองขนาดนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาของมัน แววตาที่เหมือนบรรจุโลกทั้งใบไว้ภายใน ราวกับจะสลักตัวอักษรใหญ่ยักษ์เอาไว้ว่า: ไม่ได้จำเพาะเจาะจงอะไร แต่พวกเจ้ามันขยะเอง
สามารถเดินส่ายอาดๆ ไปตามท้องถนนได้เช่นนี้โดยที่ไม่ถูกใครควักมีดออกมาแทงตายไปก่อน แปลว่าอาวุโสใหญ่จะต้องเป็นยอดฝีมือที่ปลดเกษียณจากสังกัดแล้วท่านหนึ่ง หากเปลี่ยนเป็นพวกภายนอกแข็งกร้าวข้างในกลวง รับประกันว่าไม่มีทางอยุ่มานานจนแก่ปานนี้ได้
“ผู้สูงส่ง นี่คือผู้สูงส่งที่แท้! ” มีกลั่นดวงธาตุคนหนึ่งส่ายหัวกล่าวชมอาวุโสใหญ่ที่กำลังย่างก้าวเหมือนแผ่สายฟ้าออกมาจากตัว ถนนหนทางล้วนถูกกระแสพลังงานขัดสีจนสะอาดวับตา
“ไอหยา เป็นผู้สูงส่งที่แท้ ว่าแต่ ที่ห้อยโตงเตงอยู่บนเอวนั่นตัวอะไร? ”
“ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนคนนะนั่น” มีคนถ่างตากว้างขวางพินิจพิจารณา
ทุกคนส่งเสียงโห่ทันที จะเป็นไปได้อย่างไร ใครเขาห้อยคนไว้ที่เอวกันบ้างเล่า หรือถ้าเป็นไปได้จริงๆ เจ้าคนที่โดนห้อยจะต้องไร้ศักดิ์ศรีถึงขนาดไหนกัน
“จากที่ข้าดู นั่นจะต้องเป็นอาวุธลับของอาวุโสท่านนี้ไม่ผิดแน่ พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ ครั้งหนึ่งศาสตราเร้นลับที่มีลักษณะหน้าตาเหมือนมนุษย์เคยปรากฏออกมา จุดเด่นคือยามที่ขว้างปาออกไป แม้แต่ผีห่าซาตานยังต้องหน้าเปลี่ยนสี โจรผู้ร้ายยังต้องวิ่งเผ่นกันป่าราบ”
“พี่ชายท่านช่างปราดเปรื่องโดยแท้ ผู้น้อยขอซูฮกจากใจ”
“หามิได้ๆ ประเด็นคืออาวุธลับรูปร่างเหมือนคนนี้มีพลังสังหารรุนแรงจนเกินไป เจ้าดู ที่อาวุธลับตัวนั้นต้องอยู่ในลักษณะเอามือปิดหน้าปิดตาก็เป็นเพราะใบหน้าของมันน่าหวาดสะพรึงจนเกินไป”
“ไสหัวไปเลย! ” ฉินจิ่วเกอฟิวส์ขาดแล้ว คลายมือออกจากหน้าทันที หน้าตาของศิษย์พี่ใหญ่ข้าไม่เอาแล้วก็ได้
ส่วนเจ้าคนที่เอ่ยอ้างอย่างมั่นอกมั่นใจว่านั่นจะต้องเป็นอาวุธลับไม่ผิดแน่ บัดนี้หน้าแดงก่ำไปแล้ว ฝูงชนรอบด้านพากันโห่ร้องระงมโดยพลัน ต่อให้พวกมันแหวกศีรษะออกมาเขย่าดู ก็ยังไม่มีทางคาดถึงว่านั่นจะเป็นคนจริงๆ ใครที่ไม่รู้อาจหลงนึกไปว่าเป็นผ้าปูที่นอนม้วนหนึ่งเสียด้วยซ้ำ
“ยังไม่ไสหัวกันไปอีก หรือต้องให้ข้างับหัวพวกเจ้าก่อน!” ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ น้ำลายไหลย้อย ขู่ขวัญผู้คนจนต้องถอยหนี
แต่แล้วก็มีคนส่งเสียงกระซุบกระซิบคุยกันอีก “ดูจากทิศที่พวกมันมุ่งไป นั่นจะต้องเป็นจัตุรัสกลางเมืองแน่ ที่แท้พวกมันตั้งใจจะทำอะไรกันนะ? ”
“สามร้อยปีมานี้ ผู้เฒ่าเรืองปัญญาคอยนั่งปักหลักอยู่ตรงใจกลางเมืองเทียนเอิน หรือพวกมันตั้งใจจะขึ้นนาวาเรืองปัญญา? ”
“ไอหยา ยอดเยี่ยมจริงๆ ได้ยินว่าพวกที่ออกจากนาวามา มีไม่กี่คนหรอกที่เป็นคนปกติธรรมดา ช่างไม่กลัวตายโดยแท้”
“ในเมื่อเป้าหมายของพวกมันคือนาวาเรืองปัญญา เช่นนั้นพวกเราตามไปดูกันหน่อยดีหรือไม่ หากนับรวมคนผู้นี้ แปลว่าสามร้อยปีที่ผ่านมามีคนขึ้นนาวาได้ราวห้าพันคน ไม่นึกว่าจะยังมีพวกไร้สมองที่ส่งตัวเองไปถวายถึงที่อยู่อีก”
“ได้ยินว่าหนึ่งร้อยปีก่อนประมุขตระกูลจวงอาศัยพลังฝึกปรือสุดต้านทาน คิดขึ้นนาวาเรืองปัญญาเพื่อเอาผลอู๋เลี่ยง หนึ่งร้อยปีถัดมา ถึงค่อยถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ ได้ยินมาอีกไม่นานก็จะได้ออกมาแล้ว”
“หากไม่อาจล้มเฒ่าเรืองปัญญา ต้องถูกขังอยู่ภายในรับใช้เป็นม้าลาหนึ่งร้อยปี น่าอนาถยิ่ง”
“เรื่องของมันเถอะ มีคนเข้าไปรนหาที่ พวกเราก็ไปชมดูความครึกครื้นกัน ไปเถอะ”
เมืองเทียนเอินที่รักษาความสงบมานาน กลับพลันปรากฏเรื่องราวพิสดาร มีอาวุโสรูปโฉมเมตตาราวเทพเซียน รักแร้หนีบม้วนผ้าห่มหนึ่งผืน ก้าวเดินไปบื้องหน้าด้วยท่วงท่าโอ่อ่าอาจหาญ มีคนนับร้อยสะกดรอยย่องติดตามหลัง ทำท่าเหมือนพวกดักวิ่งชิงปล้น กริ่งเกรงเป้าหมายจะรู้ตัว
เมื่อเอ่ยถึงเฒ่าเรืองปัญญา ในทวีปฉงหลิงนี้ ดูเหมือนจะมีคนรู้จักไม่ใช่น้อย
คนผู้นี้อยู่มานานกว่าแสนปี ทุกการกระทำของมันที่เกิดขึ้นในทวีปฉงหลิงล้วนสมถะเรียบง่าย คนปกติทั่วไปกระทั่งไม่รู้ถึงการคงอยู่ของมันเสียด้วยซ้ำ
แต่กับเมืองเทียนเอินแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับใจกลางเมือง ไม่มีใครที่ไม่รู้จักทรราชอาวุโสท่านนี้อย่างเด็ดขาด
ในเมืองเทียนเอินแห่งนี้มีขุมกำลังสูงสุดอยู่สี่แห่ง แบ่งออกเป็นเขาพิรุณเซียน พรรคทรราช สมาพันธ์อู่ซิ่ง (ห้าแซ่) และค่ายพรรคเดชมาร
ในขณะที่เมืองเทียนเอินเต็มไปด้วยความอลหม่านวุ่นวาย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นดั่งขุมทองสมบัติด้วยเช่นกัน
ตราบใดที่มีผลประโยชน์มาข้องเกี่ยว ในแต่ละปีจะต้องมีกองคาราวานมุ่งหน้ามาจากทุกแห่งหนโดยไม่ขาดสาย ทุกที่ทางจึงเต็มไปด้วยกลิ่นเงินกลิ่นทองตลบอบอวล
ในฐานะสี่ขุมอำนาจสูงสุด แน่นอนพวกมันย่อมได้รับผลประโยชน์มากที่สุด กระทั่งว่าเมืองเทียนเอินห้าในสิบส่วนล้วนตกอยู่ในความครอบครองของพวกมันเสียสิ้น การแจกจ่ายผลประโยชน์ในลักษณะนี้ได้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายพันปี ต่อให้เป็นชนชั้นกลั่นดวงธาตุขั้นเก้าเอง ก็ยังมิอาจไม่หวั่นไหวใจ
จนกระทั่งเมื่อสามร้อยปีก่อน นาวาใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งก็ได้เคลื่อนตัวมาทางเมืองเทียนเอิน จนมาหยุดอยู่เหนือน่านฟ้าของนครหลวง
และก็เพราะเรื่องราวของผู้เฒ่าเรืองปัญญาได้ผ่านมานานจนเกินไป นาวาเรืองปัญญาที่แทบจะเรียกได้ว่าเก็บตัวเงียบมานานหมื่นปี จึงมีคนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้นที่จดจำได้
ผู้เฒ่าเรืองปัญญา ไม่ใช่ผู้เฒ่าที่จะมาเฉพาะวันคริสต์มาสเท่านั้น
เมื่อดูจากแง่มุมหนึ่ง สำหรับชาวเทียนเอินอีกฝ่ายก็เป็นเหมือนยักษ์มารที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด เป็นบุคคลที่แสนดุร้ายผู้ใช้อ่างอาบน้ำแทนชามข้าวยามรับประทานอาหาร
.
.
.