ตอนที่ 96 ผู้เฒ่าเรืองปัญญา

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

แรกเริ่มเดิมที พรรคทรราชหนึ่งในสี่สุดยอดกองกำลัง คือพรรคที่มุทะลุที่สุด

นั่นจึงสมควร สี่พรรคใหญ่หยั่งรากฝังลึกอยู่ใจกลางเมืองเทียนเอินมาเนิ่นนาน ยามนี้เหนือศีรษะกลับปรากฏนาวาลำหนึ่ง กลบบดบังทั้งดวงอาทิตย์และสายฝน เกินไปหน่อยกระมัง

วันทั้งวัน ออกจากบ้านมาล้วนพบเห็นแต่ตูดนาวาลำดำๆ ลอยล่องกดทับอยู่เหนือศีรษะ ยังเสียดแทงนัยน์ตากว่ากอหญ้าบนหลุมศพ สี่กองกำลังไม่อาจทนทานได้ มันเป็นใครกัน รู้หรือไม่ที่นี่ถิ่นใคร

พรรคทรราชเป็นพวกแรก มันจัดกองกำลังกลั่นดวงธาตุขึ้นไปท้าทายอีกฝ่าย ดูซิว่าเป็นคนที่สมองถูกประตูหนีบตรงที่ใดจึงบังอาจปานนี้

ผลลัพธ์คือพวกมันไม่ทันขึ้นไปถึง ก็ถูกค่ายกลบนนาวากระแทกร่วงกลับลงมา

คราครั้งนี้ สี่กองกำลังเดือดพล่านแล้ว ดูท่า นาวานี่ย่อมเป็นศาสตราวิญญาณอันวิเศษ ไม่แน่ว่าอาจเป็นวัตถุเซียนในตำนาน

ขี้ขลาดหิวโหย ใจกล้าท้องแตกตาย สี่พรรคใหญ่ลอบตกลงใจ ประสานกำลังกันคิดช่วงชิงนาวามาสู่กำมือของตน

ควรรู้ว่า ในบรรดาอาวุธต่างๆ เหนือศาสตราบรรพกาลคือศาสตราศักดิ์สิทธิ์ เหนือศาสตราศักดิ์สิทธิ์คือศาสตราวิญญาณ

และศาสตราวิญญาณนี้ก็แทบจะเป็นสมบัติระดับสูงสุดในทวีปฉงหลิง

ส่วนศาสตราเซียนที่อยู่เหนือขึ้นไปนั้น นอกจากตำนานเล่าขานอันเก่าแก่จากเมื่อหลายหมื่นปีก่อนแล้ว ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีขุมอำนาจใดที่ถือครองอยู่เลย

หาคาดไม่ว่า ผู้เฒ่าเรืองปัญญากำลังเฝ้ารอให้สี่ขุมอำนาจสูงสุดมาตอแยนาวาของมันอยู่พอดี

ช่วยไม่ได้ ก็ในเมื่อผู้เฒ่าเรืองปัญญาคือผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ แถมตอนนี้ก็เป็นช่วงที่อสังหากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อาณาเขตของสี่ขุมอำนาจสูงสุดครอบครองล้วนเป็นที่ดินที่มีไอวิญญาณโดดเด่นที่สุด ดังนั้นที่ดินของพวกมันจึงถูกคาดคำนวณหมดทุกตารางนิ้ว

ขุมทรัพย์ก้อนโตๆ อย่างนี้ ผู้เฒ่าเรืองปัญญาย่อมไม่อาจตัดใจละทิ้งไปได้

เริ่มจากสร้างชื่อกระฉ่อน รอให้สี่ขุมอำนาจสูงสุดชิงเป็นฝ่ายลงมือก่อน เมื่อนั้นตนจึงสามารถรวบหัวรวบหางพวกมันได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจอีก

ในวันนั้น ผืนธงปกคลุมตะวันแผ่นฟ้า กลั่นดวงธาตุมากันไม่ขาดสาย รวมๆ แล้วมีผู้ฝึกตนมากกว่าหลายพัน รัศมีอำนาจท่วมท้นเกลื่อนฟ้า

ใครเล่าจะคาดผู้เฒ่าเรืองปัญญากลับหัวเสปล่อยฝูงสุนัขคลั่งออกจากนาวา ไม่นานสมาพันธ์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นก็กลายเป็นยุ่งเหยิงอลหม่าน

แม้แต่ยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุที่โดยปกติไร้ผู้ใดทัดเทียมยังต้องเลือดตกยางออก ต่างก็ถูกสุนัขคลั่งเหล่านั้นดึงเทื้อจนตูดเปิดรองเท้าขาด สารรูปน่าสังเวชเกินชมดู

แม้แต่บานประตูของนาวายังไม่มีโอกาสได้สัมผัส สี่ขุมอำนาจใหญ่ก็ต้องพกพาความพ่ายแพ้หมดสารรูปกลับไปเสียก่อน ซ้ำร้ายยังไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

และนับจากนั้นเป็นต้นมา ‘ผู้เฒ่าเรืองปัญญา’ สี่คำนี้ก็เป็นเหมือนตัวอักษรใหญ่ยักษ์ที่สะกดทับอยู่ในหัวสมองของผู้คนทั้งหมดดั่งสายฟ้าที่แล่บแปล๊บบนยอดเขา

ในอดีต เจ็ดชนชั้นสุญญตาบุกฝ่าเข้านาวาเรืองปัญญา หมายช่วงชิงผลอู๋เลี่ยงกลับออกมา

แต่ผลลัพธ์เล่า ตกตายกันไปครึ่ง เหลือรอดออกมาครึ่ง ซ้ำร้ายได้ต่อลมหายใจอีกไม่กี่ปีก็ตายตกตามกันไป

สำหรับเมืองเทียนเอิน สี่ขุมอำนาจสูงสุดก็คือขุมอำนาจสุดสูง แต่ในสายตาของยอดฝีมือ อย่างมากก็เป็นได้เพียงแค่มดฝูงหนึ่ง

แม้แต่ชนชั้นสุญญตายังไม่คณนามือผู้เฒ่าเรืองปัญญา แล้วกลั่นดวงธาตุแค่ไม่กี่คน จะนับเป็นอันใดได้

นับตั้งแต่นั้นมา ในระยะเวลาสามร้อยปีมานี้ ผู้เฒ่าเรืองปัญญาก็กลายเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ยอมย้ายถิ่นฐานรายใหญ่ที่สุดประจำเมืองเทียนเอิน

สี่ขุมอำนาจใหญ่จึงทำได้เพียงปั้นรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนโยกย้ายค่ายสำนักไปยังที่อื่น ยกมอบพื้นที่โล่งกว้างใจกลางเมืองให้กับนาวาเรืองปัญญา

สามร้อยปีที่ผ่านมา มีคนมากหน้าหลายตาอยากที่จะขึ้นไปเสาะแสวงโชค แต่ก็ไม่วายถูกเปลี่ยนฐานะให้เป็นข้ารับใช้คอยดูแลปรนนิบัติหนึ่งร้อยปี ตอนกลับออกมาสภาพจิตใจจึงง่อนแง่นแทบพังครืน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ผู้เฒ่าเรืองปัญญาปล่อยฝูงสุนัขออกมาไล่กัดสี่ขุมอำนาจใหญ่จนต้องร้องไล่ลำดับเครือญาติไปตามๆ กัน เมืองเทียนเอินก็มีสมาคมคนรักสุนัขโผล่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

โดยเฉพาะกับพวกที่เคยต้องการจะขึ้นนาวาเมื่อหลายร้อยปีก่อน เมื่อใดที่พบเห็นสุนัขจรอยู่บนท้องถนนก็จะขมิบก้นสับส้นเท้าเดินจากไปอย่างว่องไวโดยพลัน

ช่วยไม่ได้ ใครจะไปรู้ได้ว่าสุนัขจรพวกนั้นบางทีอาจเป็นไส้ศึกที่ผู้เฒ่าเรืองปัญญาส่งออกมาหรือเปล่า

สรุปคือ คำว่าผู้เฒ่าเรืองปัญญาได้กลายเป็นชื่อที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเมืองเทียนเอิน ไม่มีใครที่ไม่กลัว ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก

มาวันนี้ กลับมีคนต้องการที่จะขึ้นไปยังนาวาเรืองปัญญาอีกครั้ง ที่ผ่านมา น่ากลัวว่าจะไม่มีคนกล้าเหยียบย่างขึ้นไปมานานหลายสิบปีแล้ว

แน่นอน ฉินจิ่วเกอย่อมไม่รู้ถึงชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของผู้เฒ่าเรืองปัญญามาก่อน โดยเฉพาะเรื่องที่มันปล่อยสุนัขออกมาไล่กัดชาวบ้าน ฉินจิ่วเกอล้วนไม่รับรู้โดยสิ้นเชิง

แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นอาวุโสใหญ่เล่า แน่นอน มันย่อมทราบความมามากกว่าครึ่ง อย่ามองว่ามันเอาแต่เก็บตัวอยู่ในป่าเขาเชียว เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในยุทธภพมันล้วนทราบความทั้งหมด

เพียงแต่ตำนานเล่าขานที่เกี่ยวข้องกับผู้เฒ่าเรืองปัญญานั้น อาวุโสใหญ่ไม่ได้เล่าอะไรให้ศิษย์รักฟังมากมาย ขอเพียงจับอีกฝ่ายโยนเข้าไปในถ้ำเสือ เดี๋ยวทุกอย่างก็ออกมาดีเอง

ที่ให้ฉินจิ่วเกอเข้าไปในนาวาเรืองปัญญา ที่จริงมีข้อดีอยู่สองประการ

ประการแรก พรรคหลิงเซียวสูงต่ำจะได้รับช่วงเวลาแห่งความชื่นมื่นหนึ่งร้อยปี ทั่วทั้งพรรคสงบสุข ไร้ซึ่งเรื่องราวปัญหา

ประการที่สอง คุณภาพเฉลี่ยด้านศีลธรรมของผู้ฝึกตนทวีปฉงหลิงจะพุ่งทะยานเหมือนได้นั่งรถไฟเหาะ แตะทะยานถึงจุดสูงสุด

ส่วนศิษย์น้องรองที่ยังนอนเป็นผักอยู่นั้น นั่นเป็นถึงพระเอกของเรื่องตกลงไหม ไม่แน่ป่านนี้มันอาจเปิดจุดชีพจรเทพอะไรสักอย่าง เลยกำลังนั่งอาบแดดตากลมอยู่ในสวน ยังจะต้องให้เจ้าช่วยชีวิตอีกหรือ?

แต่ถ้าให้พูดกันจริงๆ ฉินจิ่วเกอเท่ากับถูกอาจารย์ตนเองขุดหลุมฝัง แถมยังเดินทางมายังนาวาเรืองปัญญาโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย

บริเวณใจกลางจัตุรัสอันกว้างใหญ่ มีนาวาที่ทำขึ้นจากไม้ลำหนึ่งจอดอยู่ แม้จะเป็นไม้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าสบประมาทดูแคลนเลยสักคน

จัตุรัสที่กินพื้นที่หลายพันเมตรแห่งนี้ เดิมทีเป็นที่ตั้งของสี่ขุมอำนาจใหญ่ เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงฐานะและตัวตนของพวกมัน

น่าเสียดาย โลกจืดจาง น้ำใจคนล้วนชั่วร้าย พอผู้เฒ่าเรืองปัญญาปักหลักอยู่บนนาวาเรืองปัญญา จัตุรัสแห่งนี้ก็ตกเป็นของผู้เฒ่าเรืองปัญญาไปโดยปริยาย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าธรรมเนียมการตั้งถิ่นฐานใดๆ

เรือไม้ลำนี้ยาวร้อยเมตร กว้างหลายสิบเมตร มีเสาเรือค้ำอยู่หลายต้น ราวกับจะแตะไปถึงทะเลแห่งดวงดาว

ไม่ว่าจะดูยังไง ก็ไม่เหมือนเรือโบราณในตำนานเล่าขานเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นแค่เพียงเรือธรรมดาๆ ลำหนึ่งเท่านั้น

แต่ก็เป็นเรือธรรมดาๆ ที่ไม่สะดุดตาลำนี้เองที่จอดขวางอยู่กลางจัตุรัสกว้างยาวหลายพันเมตรนี้

นอกจากเรือลำนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้ามาตั้งแผงขายของอยู่ในละแวกนี้เลยสักราย อย่าว่าแต่เปลือกผลไม้เศษขยะสักชิ้น

หากเข้ามาในรัศมีหนึ่งหมื่นเมตรรอบตัวนาวาแล้วเกิดปวดท้องอยากผายลมออกมาสักครา ท่านจะต้องตามหาตะกร้าสักใบเพื่อทำธุระให้เรียบร้อย

สามารถเปลี่ยนให้เหล่าอันธพาลร้ายที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาพวกนี้ประพฤติตัวอย่างสงบเงี่ยมได้ ผู้เฒ่าเรืองปัญญาจึงถือว่าได้สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงให้แก่ทวีปฉงหลิง

เมื่อมาถึงระยะของจัตุรัส คณะผู้ติดตามที่ติดสอยมาเพื่อรับชมความสนุกก็เข้าแถวยืนกันอย่างเป็นระเบียบ ทำตัวเป็นผู้รับชมที่ดี

สี่ขุมอำนาจใหญ่เองก็ส่งคนมาเช่นกัน ถึงอย่างไรการที่มีคนโง่ไร้สมองสองคนมาท้าทายผู้เฒ่าเรืองปัญญาก็เป็นเรื่องที่หาดูได้ยาก

ไม่ใช่ว่าในทวีปฉงหลิงแห่งนี้ปราศจากผู้ทรงปัญญา ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา พวกที่เคยรับผลอู๋เลี่ยงไปแล้วยังมีชีวิตรอด มีจำนวนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น!

หลังมาถึงนอกจัตุรัส อาวุโสใหญ่ก็ไม่ได้หุนหันเดินเข้าไปทันที

เพราะทันทีที่ท่านเหยียบผ่านจัตุรัสเข้าไปแล้ว แปลว่าท่านต้องการที่จะท้าทายผู้เฒ่าเรืองปัญญา ซึ่งก็ไม่มีใครที่ทำอะไรไม่ยั้งคิดขนาดนั้น

ด้วยเหตุนี้ อาวุโสใหญ่จึงต้องหยุดอยู่ด้านนอก ราวกับผู้ปกครองที่มายืนคอยลูกหลานอยู่นอกห้องสอบ

ฉินจิ่วเกอพบเห็นแววตามีเลศนัยและแฝงประกายดื่มด่ำในคราเคราะห์ของผู้อื่นจากผู้คนรอบด้าน พวกปีศาจร้าย อยู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจขึ้นมา “ท่านอาจารย์ ไฉนแววตาของพวกมันถึงได้ชั่วร้ายปานนั้น ข้าสังหรณ์ใจไม่ดีเลย”

“เหลวไหล คิดไปเองทั้งนั้น” อาวุโสใหญ่สะดุ้ง หนังตากระตุกยิกๆ ก่อนจะรีบปลอบ “คำถามของผู้เฒ่าเรืองปัญญาล้วนเรียบง่าย หากต้องการผ่านบททดสอบอาจจะลำบากบ้างเล็กน้อยเท่านั้น เอาเป็นว่าทำใจให้สงบแล้วค่อยเข้าไปเถอะ”

ฝูงชนรอบด้านส่งเสียงซูดลมเข้าปากตามๆ กัน ตาแก่ท่านช่างโกหกได้โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าโดยแท้

ฉินจิ่วเกอมองสบตาผู้คนรอบด้าน ราวกับว่าตนเองกำลังจะถูกตัดศีรษะกลางจัตุรัส สายตาของพวกมันช่างเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจดั่งพระโพธิสัตว์

“ง่ายอย่างที่อาจารย์ว่าจริงนะ? ” ฉินจิ่วเกอไม่กล้าเชื่อถือคำพูดอีกฝ่าย ดูแววตานั่นสิ กลิ้งกลอกซะไม่มี!

อาวุโสใหญ่ผงกศีรษะพลางหัวเราะน้อยๆ กล่าวปลอบใจ “ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วย”

“ไม่หลอกข้านะ? ” ฉินจิ่วเกอกะพริบตาที่มีน้ำตาหยาดคลออย่างน่ารัก “ท่านอาจารย์มองตาข้า ไม่มีอันตรายแน่นะ? ”

“ไม่มี” อาวุโสใหญ่เริ่มหมดความอดทนขึ้นมาแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มแข็งเกร็ง ร่ำๆ จะสะบัดมือฟาดให้ตายคาที่

“ไม่มีจริงนะ? ”

ทันทีที่เห็นท่าทีเหมือนแมลงวันที่ไล่ยังไงก็ไม่ไปสักทีของฉินจิ่วเกอ ท้ายที่สุดอาวุโสใหญ่ก็หมดความอดทน เพียงพริบตาขาข้างหนึ่งก็ตวัดออกมา จากนั้นยันโครมเข้าไปทันที

แว่บ

จากในนาวา แสงเจ็ดสีส่องวาบออก พร้อมกับกลุ่มควันสีขาวอันแน่นหนาที่ค่อยๆ ปกคลุมไปทั่วตัวจัตุรัสจนกลายเป็นภาพเลือนรางดั่งมายา

จากนาวาที่เคยเป็นไม้ บัดนี้กลับกลายเป็นผลึกใส ราวกับถูกสรรค์สร้างขึ้นจากแก้วผลึก ทั้งสง่าและเร้นลับ

อาวุโสใหญ่ถอยห่างออกมาหลายก้าว เว้นระยะจากศิษย์รักของตน

ฉินจิ่วเกอที่ไม่ทันตั้งตัวอยู่ๆ บริเวณบั้นท้ายก็เหมือนมีเครื่องพ่นติดเอาไว้ คนลอยหวือเข้าไปตกอยู่กลางจัตุรัส เป็นตายร้ายดีไม่อาจทราบ

ฉินจิ่วเกอนอนแผ่หราอยู่กลางจัตุรัสอย่างโง่งม เบื้องบนคือนาวาเรืองปัญญาที่แขวนลอยอยู่กลางเวหา แสงเจ็ดสีอันโปร่งใสปกคลุมโลกหล้า เผยให้เห็นภาพคมชัดระดับรูขุมขน

เมฆปกคลุมรอบนาวาดั่งแดนสุขาวดี เสียงกระดิ่งกังวานใส ภายในมีสัตว์มงคลเหยียบย่างออกมาท่ามกลางคลื่นกระแสวิญญาณ

ฉินจิ่วเกอสายตาพร่ามัว รูจมูกมีโลหิตไหลโกรก ยังคงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ท่ามกลางสติอันพร่าเลือน คล้ายได้ยินเสียงเห่าของสุนัขดังแว่วมา ดูเหมือนว่ามันจะเกิดภาพหลอน

ฝูงชนปลีกตัวห่างจากอาวุโสใหญ่ ไม่กล้ามองมาทางมัน

คนใจโฉด! แม้แต่เสือยังไม่กินลูกตัวเอง คนที่สามารถขุดหลุมฝังศิษย์ตัวเองได้เช่นนี้ หากต้องฆ่าปิดปากคนที่ไม่เกี่ยวข้องย่อมไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงเลยแม้แต่น้อย

ฉินจิ่วเกอที่ขาอ่อนปวกเปียกฝืนพยุงตัวขึ้นมา จับจ้องไปทางเมฆหมอกคลอเคล้า แสงสีทองอาบไล้อยู่ทั่วทุกรูขุมขน

ผู้เฒ่าเรืองปัญญาช่างเป็นเซียนเหนือโลกโดยแท้ รสนิยมของมันล้วนไม่อาจบ่งบอกบรรยายได้

เมฆหมอกยังคงลอยปกคลุม กลุ่มควันสีขาวลอยฟุ้ง แสงสีทองสว่างเรืองรองเหนือศีรษะ ให้ความรู้สึกอลังการไม่เลว

สัตว์เซียนที่อยู่ด้านในที่แท้เป็นตัวอะไรกันแน่นะ?

ดูจากเงา มังกรองอาจพยัคฆ์หาญ ทั้งเชื่องเชื่อและงดงาม

ฉินจิ่วเกอผู้สงสัยใคร่รู้จับจ้องอย่างไม่กะพริบตา และแล้วสัตว์เซียนในม่านหมอกก็กระโจนออกมาจากนาวา มีด้วยกันหลายสิบตัว ยืนห้อมล้อมฉินจิ่วเกอไว้เป็นรูปครึ่งวงกลม “นี่ก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ไม่นึกว่าจะยังมีคนบุกฝ่าเข้ามาอีก เจ้าสามารถเข้าร่วมการทดสอบรอบแรก หากผ่านการทดสอบ ค่อยขึ้นมาถกปัญหาเต๋ากับข้าก็แล้วกัน”

สุ้มเสียงทรงอำนาจดั่งองค์จักรพรรดิดังออกจากตัวนาวา ปกคลุมไปทั่วเมืองเทียนเอิน ไม่ว่าจะเป็นคนที่กำลังนั่งปลดทุกข์ก็ดี นั่งกินข้าวหรือหลับอุตุอยู่ก็ดี ต่างก็ได้ยินเสียงอันทรงพลังนี้กังวานเสียดแก้วหูไปมาไม่หยุดยั้ง

นอกจากผู้เฒ่าเรืองปัญญาผู้อยู่มานานนับแสนปีผู้นั้นแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก

“อะไร ไม่ใช่ถามตอบเลยหรอกรึ? ” ฉินจิ่วเกอตะลึงลาน แล้วที่บอกว่าบททดสอบแรกนั่นมันเรื่องอะไรกัน นี่ไม่เหมือนที่คุยกับอาวุโสใหญ่เลยนี่นา ไม่ใช่การถามตอบหรอกหรือ?

ตั้งคำถามเอาชัยเหนือผู้เฒ่าเรืองปัญญา พกพาผลอู๋เลี่ยงกลับภูมิลำเนาด้วยรอยยิ้มกว้าง

ตั้งคำถามพ่ายแพ้ผู้เฒ่าเรืองปัญญา ก็ไม่มีโทษทัณฑ์อันใดให้ต้องกังวล เจ้าภาพแขกเหรื่อต่างดื่มด่ำร่วมสนุกกันอย่างสงบสุข ไฉนจู่ๆ ถึงเปลี่ยนกฎเสียได้?

“ฮึ่ม ยังไม่ใช่เพราะพวกน่าเหม็นเบื่ออย่างพวกเจ้ามากันไม่ขาดสาย รบกวนเวลาของเราผู้เฒ่าหรอกรึ บททดสอบแรกจะทดสอบอยู่สามอย่าง ระดับสติปัญญา การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ และความสามารถในการตอบสนอง หากไม่มีความสามารถเช่นนั้นก็ถือเสียว่าเจ้าโชคร้ายเองก็แล้วกัน”

น้ำเสียงอันไม่เป็นมิตรดังออกมาจากนาวาเรืองปัญญา

ช่วงนี้ ผู้เฒ่าเรืองปัญญาได้แต่นั่งตบแมลงวันฆ่าเวลาไปวันๆ ไม่มีใครมาถามคำถามยากๆ กับมันบ้างเลย มันเบื่อจะแย่อยู่แล้ว!

ดังนั้นพอเห็นคนผ่านทางมา จึงอดไม่ได้ที่จะพูดคุยด้วยสักหลายประโยคหน่อย

“งั้นข้าก็ไม่แข่งแล้วก็ได้” ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า มันไม่ได้โง่ พอเสร็จรอบนี้ก็จะมีรอบต่อไป เห็นกันอยู่ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะปั่นหัวมันให้ตายคามือแน่ๆ

“เมื่อเข้ามาแล้ว ใช่ว่าจะออกก็ออกไปได้เลย พ่อหนุ่ม อวยพรให้ตัวเองโชคดีเถอะ” พร้อมกับเสียงดีดนิ้วกังวานใส เมฆหมอกที่ลอยปกคลุมก็อันตรธานไป ปราการไร้สภาพกางกั้นรอบตัวจัตุรัสอย่างเงียบเชียบ เว้นพื้นที่ให้ผู้เข้าทำการทดสอบได้ใช้งานอย่างเหลือเฟือ

.

.

.