“ก่อนอื่นก็หาวิธีขึ้นนาวาภายใต้การกลุ้มรุมโจมตีของสัตว์เซียนก่อนแล้วกัน” สุ้มเสียงแก่ชราดังขึ้นบนฟ้า ก่อนจะกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

เมฆหมอกจางหาย พร้อมกับสัตว์เซียนที่ราวกับกำลังอุ้มเครื่องดีดสายผีผาและปกปิดใบหน้าไว้ครึ่งซีกก็ปรากฏตัวออกมา

แต่ละตัวล้วนน่ารักน่าเมียงมอง ส่วนใหญ่มีขนสีน้ำตาล หางยาวขายาว ใบหูแหลมจมูกชี้ ปลุกกระตุ้นความทรงส่วนลึกที่สุดในใจของฉินจิ่วเกอให้ตื่นขึ้น

หลายปีต่อมา หากมีคนถามฉินจิ่วเกอว่ามันชอบกินอะไร

ฉินจิ่วเกอย่อมตอบโดยไม่ต้องคิด ก็ใครใช้ให้มันชอบกินหม้อไฟเนื้อสุนัขกันเล่า

ถามว่าทำไมน่ะหรือ ก็เพราะมันเคยถูกสุนัขกัดมาก่อน มีแต่ต้องกล้ำกลืนความอัปยศ จดจำหนี้แค้นไว้ให้มั่น ถึงจะมีโอกาสได้กัดตอบในภายหลัง

เรื่องนี้อย่างที่เคยได้บอกกล่าวมาแล้ว เป็นประวัติศาสตร์ด้านมืดที่อัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดคั่งแค้นของฉินจิ่วเกอ

และสัตว์เซียนกลางม่านหมอกนี้ ชัดเจนว่าเป็นสุนัขคลั่งมากกว่าสิบตัว ทันทีที่เห็นฉินจิ่วเกอ พวกมันก็เริ่มอวดเขี้ยวแหลมคมให้เห็น เห่ากรรโชกใส่ชายหนุ่มไม่หยุด จากนั้นก็เริ่มตั้งรูปขบวนจู่โจมอย่างมีแบบแผน

“มารดามันเถอะ สุนัขบ้านเจ้าเป็นสัตว์เซียนรึไง? ” ฉินจิ่วเกอตะลึงค้างไปแล้ว ในอดีตสี่ขุมอำนาจใหญ่ก็ล้วนผ่านคมเขี้ยวของสุนัขพวกนี้มาแล้วทั้งนั้น ดังนั้นเหล่าผู้รับชมในที่นั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใจ อาวุโสใหญ่เองก็ด้วย

ตนชอบกินเนื้อสุนัขเป็นที่สุด แต่ก็กลัวที่สุดด้วยเช่นกัน หรือนี่จะเป็นผลพวงจากกรรมเก่ากันแน่

มิผิด ด่านแรกของผู้เฒ่าเรืองปัญญาก็คือสุนัขพันธุ์ดุสิบกว่าตัวนี้เอง มีวีรชนกี่มากน้อยแล้วที่ต้องถูกกัดจนล้มลุกคลุกคลาน

สุนัขนั้นไม่น่ากลัว แต่สุนัขพันธุ์ดุของผู้เฒ่าเรืองปัญญาพวกนี้ล้วนสามารถกัดชนชั้นกลั่นดวงธาตุจนร้องระงมเสียงหลง ต่อให้เป็นกฎสรรพสิ่งเองก็ยังยากจะรับมือ

อาจเพราะว่าพวกมันล้วนได้รับการอบรมสั่งสอนและติดเชื้อจากมาผู้เฒ่าเรืองปัญญา สุนัขหลายสิบตัวนี้จึงดุร้ายราวบ้าคลั่ง คราก่อนกฎสรรพสิ่งท่านหนึ่งคิดมุ่งฝ่าขึ้นไป ยังถูกขบขย้ำจนหนังเปิด

“กรรกรร!” สุนัขหลายสิบสลัดคอคำรามขู่ สี่เท้ากางตะปบครูดกับพื้น หางโบกสะบัด ตระเตรียมจู่โจมเข้าขย้ำเหยื่อ

ฉินจิ่วเกอโศกเศร้าไร้สิ้นสุด นัยน์ตาสะท้อนหยาดน้ำวิบวับ “ให้ข้าตีหมา อย่างน้อยก็เอาไม้เท้าตีสุนัขมาให้ข้าด้วยสิ!”

สุนัขที่ดุร้ายกระทั่งกฎสรรพสิ่งเคี้ยวเล่นเป็นขนม แล้วระดับปราณสุริยันจิ๊บจ๊อย คงมิอาจหลบรอดพ้นจากเงื้อมมือมาร

น่าเสียดายที่จัตุรัสล้วนถูกกั้นขวางทั้งสี่ทิศ ผู้ชมโดยรอบเพียงสามารถมองดูละครอันไร้เสียง ดูจากสีหน้าอันสิ้นหวังไร้ทางออกของเด็กหนุ่มนั่นแล้ว หากคิดหลบรอดจากคมเขี้ยวของสุนัขบ้าเหล่านั้น ไม่เพียงเป็นการทดสอบท้าทายความสามารถทางกายภาพ ยังทดสอบความหนาของชั้นหนัง ความจุของโลหิตที่สามารถไหลออกมาได้อีกเป็นต้น

นับเป็นปัจจัยที่ต้องผ่านด่านที่แท้จริง คู่ควรให้ถูกจดจารเอาไว้ในคัมภีร์มนุษย์ผู้ฝึกตนทั้งหลายเพื่อขัดเกลาตนเอง

“ศิษย์เอย สู้ๆ นะ” อาวุโสใหญ่ใช้นัยน์ตาสีเทาเฝ้ามองดูความสิ้นหวังของฉินจิ่วเกออยู่นอกจัตุรัสพลางแย้มยิ้มผงกศีรษะ เอ่ยพึมพำต่อตนเอง

“ลมพัดสายน้ำเย็น ทหารไปแล้วไม่หวนกลับ!” ฉินจิ่วเกอคร่ำครวญบทกลอนอาลัยสมัยฉินออกมา ในใจเริ่มร่างบทละครของตนเองออกมาแล้ว

สมควรเขียนอย่างไรดี?

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งนามฉินจิ่วเกอ รูปโฉมงามสง่าหล่อเหลา ใบหน้าเหมือนมาริโอ้ ท่องทะยานไปในทวีปฉงหลิง พลัดหลงเข้าสู่ดงสุนัข ถูกสุนัขดุร้ายกัดทำร้าย สุดท้ายตกตายสิ้นชื่อจากพิษสุนัขบ้า สวรรค์ริษยาผู้เปี่ยมพรสวรรค์ น้ำตาประชาราษฎร์นองเป็นท้องธาร เสียงคร่ำครวญหวนไห้สะท้านปฐพี!

“ช้าก่อน!”

เห็นภัยร้ายกรายกล้ำมาถึงเบื้องหน้า ฉินจิ่วเกอโบกมือสะบัดแหวนมิติเอากระดูกออกมาชิ้นหนึ่ง “กินมั้ย?”

“โฮ่งโฮ่ง!” สุนัขทั้งฝูงเห่าหอนคำรามใส่ อ้าปากแยกเขี้ยวโชว์ฟันขาว

“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วยจ้า!” ฉินจิ่วเกอตะโกนสุดเสียง ยกมือปิดหู ชักเท้าวิ่งหนี

ฝูงสุนัขไล่ล่าตามติดมาทางด้านหลัง ในนั้นมีจ่าฝูงนำหน้า เสียงคว่ากคราหนึ่ง เสื้อด้านหลังของฉินจิ่วเกอขาดครึ่งออกมา เศษผ้าที่ติดคาในปากของสุนัขคล้ายแทบป่นเป็นเศษชิ้นส่วนในทันที

ฉินจิ่วเกอวิ่ง สุนัขดุร้ายไล่ ฉินจิ่วเกอหยุด พวกมันยังคงไล่

เกมนี้เล่นไม่ได้ ในโลกแห่งธรรมชาติ ทฤษฎีผู้เหมาะสมจึงรอดชีวิตของดาร์วินถูกพิสูจน์มานานแล้ว สองขาไม่อาจวิ่งสลัดสัตว์สี่เท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแข่งขันความเร็ว ช่างโง่เง่าโดยแท้ ฉินจิ่วเกอไม่นานก็ถูกไล่ทัน

“เจ้า พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ อย่าบังคับข้า ถ้าข้าบ้าขึ้นมา แม้แต่ตัวข้าเองยังถูกกัด!” ฉินจิ่วเกอเหมือนฮีโร่ผู้กล้าตาย คนยืดอกขึ้น คิดแผดเผาตนเองเพื่อคงอยู่ในเปลวไฟไปตลอดกาล

“โฮ่งโฮ่ง!” สุนัขร้ายไม่ตอบคำด้วย สงครามกำลังจะเปิดฉากได้ทุกเมื่อ

“ท่านพี่สุนัข เรามาเป็นสหายกันดีหรือไม่”

มองดูดวงตาสาดประกายเขียววาววับอันดุร้าย เห็นตำหนักอเวจีใต้พื้นพิภพลับล่อรำไร ฉินจิ่วเกอบังเกิดความหวาดหวั่น หวาดหวั่นแทบตาย เหงื่อกาฬหลั่งไหลชุ่มโชก

“โฮ่งโฮ่ง!” ฝูงสุนัขคืบคลานเข้าใกล้ ฟ้าไร้ประตูนรกไร้หนทาง ผู้ชมทั้งหลายสูดลมหายใจ บุรุษอีกคนกำลังจะสังเวยชีวิตแก่ภารกิจที่ไม่เสร็จสิ้นอีกแล้ว!

อาวุโสใหญ่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มันรู้จักฉินจิ่วเกอ เด็กน้อยนี่เกิดปียาสีฟัน

หมายความว่ายังไงน่ะหรือ?

หมายความว่ายาสีฟันดี ไม่ถูกบีบไม่ยอมปล่อยของน่ะสิ

“เจ้า พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” ฉินจิ่วเกอพ่นลมหายใจด้วยความโกรธแค้น รูจมูกปล่อยไอร้อนราวกระทิงคลั่ง

“โฮ่งโฮ่ง!” ฝูงสุนัขดุรายล้อมฉินจิ่วเกอเป็นวงกลมเรียบร้อย ตระเตรียมเริ่มศึกดับชีพ

“อย่านะ ข้ายอมแพ้ โอเคมั้ย ยอมแพ้ครึ่งหนึ่ง หือ?” ฟุ่บฟุ่บ เงาหลายสิบสายเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายฟ้า ร่วงหล่นลงใส่ราวสายฝน พุ่งจู่โจมราวสายรุ้งพาดผ่านดวงอาทิตย์ ตรึงร่างมันไว้กับพื้น

อย่างช้าๆ ร่างอันยับเยินยุ่งเหยิงก็ลับหายจากสายตา ทั้งหมดถูกขนสีเหลืองกลุ้มรุมบดบังเป็นชั้นๆ ไม่ต่างจากภูเขาขนสีเหลืองกองสุมขึ้นจากพื้น

ปราศจากซึ่งเสียงร้องโหยหวน ไร้ซึ่งเสียงกรีดร้อง คงเหลือแต่เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวขย้ำดังขึ้นไม่หยุดยั้ง

อาวุโสใหญ่ขยับฝีเท้าแล้ว มันเองคล้ายไม่อาจสัมผัสชีพจรของศิษย์รักได้

นับแต่พลัดตกหล่มมารไฟธาตุแตกและฟื้นคืนกลับมา ยิ่งมามันยิ่งไม่เข้าใจในตัวศิษย์รัก ดูไปมันทั้งวี่วันบ้าๆ บอๆ หากคนกลับยังกระจ่างลึกซึ้งยิ่งกว่าผู้ใด

อา จิ่วเกอ เด็กน้อยเจ้าไม่อาจให้อาจารย์ผิดหวังได้

อาวุโสใหญ่ผงกศีรษะเล็กน้อย หากฉินจิ่วเกอไม่อาจผ่านด่านได้จริงๆ เช่นนั้นมันจำต้องล่วงเกินเฒ่าเรืองปัญญา ทลายม่านปราการชิงตัวศิษย์มันออกมา

สุนัขเถื่อนสุมรุมเป็นก้อน หางโบกสะบัดเร็วรี่ โบกจนคนตาลายพร่าพราย

ส่วนฉินจิ่วเกอที่ถูกสุนัขกลุ้มรุมใส่ เนิ่นนานไม่มีความเคลื่อนไหว กระทั่งเสียงร้องโหยหวนแม้แต่น้อยยังไม่ปรากฏ ไม่ทราบเดินทางสู่ปรโลกแล้วหรือไม่

“หวาหยาาาาา ข้าบอกแล้วไงเล่า อย่าตอแยข้า!” ภายในลูกบอลขน แว่วเสียงสงบนิ่งเสียงหนึ่งดังมา ทุกคำทุกเส้นเสียง กระแทกลงสู่พื้น “เป็นพวกเจ้าบีบคั้นข้า มีแต่พวกเจ้ามีปัญญากัดคนงั้นสิ?”

ฝูงชนกลอกตาจนหนังตาพลิก เมื่อได้ยินประโยคนี้ ในใจลอบบังเกิดความงุนงง

อาวุโสใหญ่ชักเท้าที่ก้าวออกไปกลับคืนมา เจ้าศิษย์คนนี้เป็นยาสีฟันของแท้ ไม่บีบเค้นไม่ยอมออกมา

“โฮ่งโฮ่ง !” สุนัขที่ข่มขู่อย่างดุร้ายเมื่อครู่จู่ๆ พลันวงแตก หลุบหางหันหัววิ่งหนีไม่เห็นฝุ่น

ฉินจิ่วเกอหมอบนั่งอยู่กับพื้นในท่วงท่าประหลาด เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ใบหน้าเปื้อนดินฝุ่น

เห็นมันสะบัดหัว หนังตาสั่นสะท้าน เพียงพริบตาก็กลายสภาพเป็นดุร้ายป่าเถื่อน ยังน่ากลัวว่าสุนัขเมื่อครู่อีก

“แฮ่ซ์ แฮ่ซ์” ฉินจิ่วเกอคำรามเสียงประหลาดออกจากลำคอ ฉีกกระชากเสื้อท่อนบนที่ยับเยินออกพร้อมเช็ดถูใบหน้า ยกศีรษะชูคอ ฝูงชนที่มุงดูต้องถอยกายไปสามก้าวอย่างลืมตัว ในใจสั่นกลัวขึ้นทันที

ส่วนฝูงสุนัขดุที่เมื่อครู่อานุภาพเขย่าขวัญล้วนหนีเตลิดไปไกลห่าง รวมกลุ่มกันครางหงิงๆ เสียงผะแผ่ว เต็มไปด้วยสัญญาณเตือนและความหวาดกลัว ชัดเจนว่า รัศมีความดุร้ายราวภูติอสูรสัตว์ป่าที่ฉินจิ่วเกอระเบิดออกกะทันหันเมื่อครู่ น่าแตกตื่นจนเกินไป แม้แต่สุนัขยังแตกฮือ

“คิดว่ามีแต่พวกแกที่มีเขี้ยว มีแต่พวกแกที่กัดได้งั้นเรอะ?” ฉินจิ่วเกอตวาดถาม ปัดเป่าสายลมจนพัดหวน

เสียงปุดังขึ้น เสื้อผ้าบนฝ่ามือของมันถูกสะบัดลงสู่พื้น นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ที่แท้เป็นเส้นเลือดแต่ละเส้นในลูกนัยน์ตาที่ปูดโปนถลนออก!

คนยามนี้ดูไปราวกับลมพายุในมหาสมุทรที่โชยพลิ้วแผ่ว เป็นสายลมโชยอ่อนก่อนเกิดมหาวาตภัย พลิกฟ้าคว่ำปฐพี

เหล่าสุนัขทั้งหลายครวญครางหงิงหงัง ล่าถอยไปอีกหลายก้าว ก้มหัวสุนัขลง อุ้งเท้ากางออกตรึงแน่นกับพื้น ปลายหางส่ายไปมาคล้ายยอมศิโรราบ

“เกิดอะไรขึ้น?” อาวุโสใหญ่เดาะปลายลิ้นด้วยความตื่นตะลึง มองดูศิษย์รักของมันพุ่งเข้าใส่เป้าหมายราวเหินบิน ไม่รอให้สุนัขดุร้ายเหล่านั้นมีปฏิกิริยาก็จู่โจมเข้าใส่ แขนขาทั้งสี่ตะกุยพื้น ไม่ต่างจากมนุษย์หมาป่า!

แฮ่แฮ่ซ์

“มีแต่พวกแกที่มีปากเหรอ? ลองรับคมเขี้ยวของข้าดู!” ฉินจิ่วเกอกระชากถอดหนังมนุษย์ของตน ภายในใจของมัน ตนเองกำลังสวมหนังราชันสุนัขป่าอยู่!

มนุษย์โดดเดี่ยวถูกเรียกเป็นสุนัขโสด ฉินจิ่วเกอเอง ก็เข้าประเภทสุนัขโสดไร้คู่เช่นกัน

“โฮ่งโฮ่ง!” ฝ่ายรับและฝ่ายบุกสลับกลับตาลปัตร มวลหมู่หมาดุร้ายทั้งหลายไม่กล้าต่อกร ต่างถดถอยแตกฮือไปตัวละทิศละทาง

“แฮ่แฮ่ซ์!” ฉินจิ่วเกอกระโจนเข้าตะปบใส่สุนัขตัวหนึ่งได้ อ้าปากกัดลงไปจนจมเขี้ยว

ฉินจิ่วเกอคลั่งแล้ว มันถ่มขนหมาที่ติดออกมาเต็มปากออก กลั้นกลิ่นสาปสาง คนกลับกลายเป็นบ้าคลั่งดุร้ายอย่างเต็มพิกัด

ชายหนุ่มกล่าวได้ไม่ผิด หากให้มันบ้าคลั่งขึ้นมา กระทั่งตัวมันเองยังถูกกัดได้

บุคลิกลักษณะเช่นนี้ หากบ้าคลั่งขึ้นมาจริงทั่วหล้ารับประกันไร้ผู้ต้านทาน

ก่อนหน้านี้ก็บอกไปแล้ว ฉินจิ่วเกอเคยผ่านประสบการณ์ถูกหมากัดและกัดหมามาแล้ว

ประการแรก คิดว่าคนส่วนใหญ่ล้วนเคยประสบพบเจอมาด้วยตนเอง

ฉินจิ่วเกอกัดใส่สุนัขในอ้อมอกจนกลายเป็นสุนัขหนังกลับ บนใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยโลหิต นิ้วทั้งสิบเกร็งเขม็งราวเหล็กแกร่งกร้าว ฟันแยกแสยะออกไม่ต่างจากคมมีด เขี้ยวคมยาวแสยะใส่สุนัขทางด้านข้างอีกหลายตัว ไม่ว่าหน้าไหนล้วนกล้าฝังคมเขี้ยวฉีกกระชากใส่ทั้งสิ้น

ยามนี้ไก่เตลิดสุนัขกระเจิดหนี ด่านอันลำเค็ญที่ทำให้บรรดายอดคนทั้งหลายต้องจนมุมถูกฉินจิ่วเกอใช้ความสามารถระดับชั้นมนุษย์ทลายลงอย่างราบคาบ

ฉินจิ่วเกอแสดงออกให้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง อันใดเรียกว่าฟ้าไร้เมตตาสรรพชีวิตดุจสุนัขเถื่อน อันใดเรียกว่าผู้สวมมงกุฎย่อมต้องรับน้ำหนักของมันให้ได้

เชื่อว่า หากเรื่องราวนี้แพร่ออกไป ฉินจิ่วเกอย่อมกลายเป็นตำนานแห่งทวีปฉงหลิงแน่นอน

ต้องมีผู้คนมากมายสุดคณานับมาหาฉินจิ่วเกอเพื่อกราบอาจารย์ ใช้วิธีการฟันต่อฟัน คนกัดหมา ทลายด่านปิดตาย ขึ้นสู่นาวาเรืองปัญญา

กระบี่หนักไร้คม อารยชนไม่ใช้กำลัง เสริมเพิ่มเติมทบทวี อาศัยกำลังแทนคมพิฆาต

บางครั้ง กำลังแปรรูปลักษณ์จากภูมิปัญญา ความกล้าก็คือหนทางแห่งราชัน

วิถีฟ้ามิใช่ไปแล้วไม่กลับ เต๋ายิ่งใหญ่คลุมเครือผสาน รูปแบบทั้งมวลล้วนดำรงในสมบูรณ์

สามพรสวรรค์ฟ้าดินมนุษย์ สามแสงเดือนดาวตะวัน

ในยุคก่อนกำเนิด ไร้ซึ่งดวงตะวันจันทราและหยินหยาง ไร้จักรวาลไร้แปดเวิ้งว้าง สรรพชีวิตสถิตอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างวุ่นวายในห้วงโกลาหล

ไม่ทราบแตกดับไปนับกัปกัลป์ ชะตาฟ้าไม่ดับดิ้น ความแข็งแกร่งไม่อาจคว้ามั่น ณ ห้วงเวลานั้นเอง ห้วงจักรวาลคือล่างเซียนเทียนเหนือจงเทียน

ภูมิปัญญา เพียงเพิ่งได้มาในยุคโฮ่วเทียน สมควรตระหนักว่าผู้มีปัญญาเปลือกนอกโง่เขลา ยอดคนย่อมงำประกาย รากเดิมที่มาของจักรวาลคือเมฆม่วงหงเหมิง ล้วนพึ่งพาขุมกำลังที่ภายในห้วงโกลาหลไม่อาจคาดคิดออกฉีกทลายแยกฟ้าดิน

หากพบพานสุนัขดุร้ายหนึ่งฝูงสมควรทำเช่นไร ย่อมมิใช่โยนกระดูกให้หนึ่งชิ้นหรือถกเหตุผลกับพวกมัน

ฉินจิ่วเกอลองมาแล้ว นั่นไม่มีประโยชน์

หนทางเพียงหนึ่งเดียว คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั่นจึงแสดงออกถึงความงดงามตามธรรมชาติ เป็นหนทางแห่งเต๋าที่แท้จริง

บลาบลาบลามามากมาย สรุปแล้วฉินจิ่วเกอแค่ต้องการยกหาข้ออ้างและหลักเหตุผลมาอธิบายการกระทำของตนเอง

ว่าตามจริง หมากัดคนไม่แปลกเท่าใด แต่คนกัดหมานับว่าพิสดารพันลึก หากไม่หาหมวกสูงอันใดมาสวมทับสักหน่อย คงถูกคนกล่าวหาว่าสติไม่สมประกอบ

ฉินจิ่วเกอผู้มีจิตใจคับแคบไล่กัดใส่สุนัขทั้งหลายในจัตุรัสไปตัวละเขี้ยวจนครบ กรรมนั้นคืนสนอง เท่าเทียมกันทั้งคนทั้งหมา

สุนัขหลายสิบตัวหมอบราบกับพื้นนอนพะงาบๆ ไม่ต่างจากกระทิงพ่าย กลายเป็นเชื่องเชื่ออ่อนโยนยิ่ง

ผู้ชมทั้งหลายมิอาจไม่เลื่อมใสในตัวอาวุโสใหญ่

จากการสนทนาของคนทั้งสองก่อนหน้านี้ อาวุโสใหญ่ก็คืออาจารย์ของเด็กหนุ่มผู้นี้

มารดามันเถอะ พวกมันสังกัดพรรคไหนกัน พรรคสุนัขกัดไม่เลือกงั้นรึ?

.

.

.