ตอนที่ 52.1 ขอบคุณทัณฑ์สวรรค์ที่สละเวลาจากตารางงานแน่นขนัดเพื่อมาที่นี่ (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

โลกบรรพกาลช่างน่ากลัวจริงๆ…

ท่ามกลางเสียง ‘ติ๋ง ติ๋ง’ ที่เป็นจังหวะคงที่นั้น อ๋าวอี่กำลังนั่งอยู่บนขอบเตียงหรูหรายาวสิบจั้งของเขา มือทั้งสองของเขาสั่นเทา และชาบำรุงร่างกายอุ่นๆ ที่อยู่ในมือของเขาก็กระฉอกออกมาอย่างต่อเนื่องจนมีปริมาณชาแท้จริงที่เหลือให้เขาดื่มน้อยมาก

เขาตัวสั่นเทา…ทั่วร่างกายของเขากำลังสั่นเทา

สาเหตุที่อ๋าวอี่ตัวสั่นไม่ใช่เพราะเขากลัวมารดาของเขา เต่าเซียน และลุงสองสามคนจากเผ่ามังกรซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าเขา ในใจของเขาไม่มีความกลัวพวกเขาเหล่านี้เลย และเขาก็ไม่กังวลเรื่องการลงโทษของเขาว่าจะเป็นเช่นไร

แม้ว่าเขาเพิ่งจะออกจากไข่มาได้เพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองปีเท่านั้น แต่เขาก็เชื่อว่าจิตใจของเขาแข็งแกร่งทีเดียว

ก่อนที่เขาจะถูกส่งไปยังเกาะเต่าทองในทะเลอุดรเพื่อค้นหาสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย เขาต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกเสาหนามน้ำแข็งแทงทะลุเป็นเวลาสามเดือน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้

บัดนี้อาการสั่นเทานี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติโดยที่ตัวของอ๋าวอี่เองก็ไม่อาจควบคุมได้

เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาไม่มีพลังแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าจะมีความกลัวของเงาหนึ่งในหัวใจของเขา และเงานี้…เป็นที่มาของความสั่นเทา!

เงาของความหวาดกลัวนี้ปรากฏขึ้นมาในรูปของใบหน้าที่เย็นชาไร้อารมณ์ของนักพรตเต๋าเฒ่าแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์

เผ่าพันธุ์มนุษย์จะรอบจัดเช่นนี้ได้อย่างไร

แล้วอ๋าวอี่ก็ตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรงมากขึ้นเมื่อเขานึกถึงการต่อสู้ที่บ้าคลั่งนั้น

มารดามังกรที่อยู่ถัดจากเขารีบเร่งให้มังกรเฒ่าหลายตัวตรวจสอบสภาพของเขา แต่กระนั้นก็กลับกลายเป็นว่าพวกเขามีเพียงข้อสรุปเดียว ซึ่งก็คือ…การดื่มสุรามากเกินไป

ลูกกระเดือกที่กำลังพัฒนาขึ้นมาของอ๋าวอี่สั่นระริกขณะที่เขาจิบชาบำรุงอุ่นๆ ซึ่งต้มด้วยสมุนไพรวิญญาณล้ำค่าหลายสิบชนิด เข้าไปหนึ่งอึก แล้วเขาก็สำลักออกมาอย่างรุนแรง

สาวใช้สองสามคนรีบวิ่งเข้ามา แต่อ๋าวอี่ก็ร้องโหยหวนออกมาอย่างน่าสังเวชทันที ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นกลัว

“ไม่นะ อย่าเข้ามาใกล้ข้า! พวกเจ้าจะทำอันใด”

ฉับพลันนั้นสาวใช้ที่งดงามน่ารักต่างรีบก้มศีรษะโค้งคำนับและขออภัยก่อนจะรีบถอยกลับออกไป

อ๋าวอี่หายใจแรงขณะที่เอาฝ่ามือกุมหน้าผากของเขาและอาการสั่นเทาในร่างกายของเขาก็ค่อยๆหยุดลง “ปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียว อย่าเข้ามาใกล้มากกว่านี้…”

“ลูกแม่” มารดามังกรผู้เมตตาและสง่างามร้องตะโกนออกมาอย่างกังวลใจ “เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า”

อ๋าวอี่ค่อยๆ วางถ้วยเคลือบหยกขาวที่ว่างเปล่าไว้ข้างๆ เขา มือของเขาสั่น และบังเอิญไปกระแทกกับถ้วยชาล้ำค่าจนมันตกลงไปบนพื้นหินหยก

เขาเอามือทั้งสองข้างกุมหน้าผากและพยายามปลดปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระจากความหวาดกลัวของเขาที่มีอยู่

วิธีเอาชนะความกลัวก็คือ การเผชิญหน้ากับมันโดยตรง!

ฤทธิ์โอสถ…ฤทธิ์โอสถแรงมาก…

อ๋าวอี่นึกถึงตราผนึกสี่ทิศทางที่ตกลงมาบนศีรษะของเขา ทำให้เขารู้สึกตกใจจนหน้ามืดตาลาย และจากนั้นก็หมดสติไปโดยสิ้นเชิง…

ทว่าร่างกายและสายโลหิตของเขายังคงมีความทรงจำและความรู้สึกมากมาย

เมื่อเขาหมดสติไป เขาก็เหมือนปลาแห้งที่ถูกเอาอวัยวะภายในออก และทุกส่วนของร่างกายทั้งภายในและภายนอกล้วนถูกชะล้างอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยน้ำทะเลซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

จากนั้นเขาก็ถูกเคลือบด้วยผงสบู่บางชนิดชั้นหนึ่งก่อนจะล้างให้สะอาดอีกครั้ง…

ในระหว่างกระบวนการนี้ ก็มีฝ่ามือเจ็ดถึงแปดฝ่ามือตบเขาอย่างต่อเนื่อง และวิธีต่างๆ มากมายก็ตกใส่เขา มันเป็นกระบวนการที่คล้ายคลึงกันมากกับยามที่หัวหน้าพ่อครัวของวังมังกรตบเนื้อวัวศักดิ์สิทธิ์เขาเกล็ดหิมะชั้นเยี่ยมเพื่อให้คุณภาพเนื้อสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น…

ยามเมื่อเขาหมดสติ อ๋าวอี่มีความรู้สึกว่าเขากำลังจะถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เหมือนปีศาจนั้นกลืนกินเข้าไป!

นอกจากนี้อ๋าวอี่ก็รู้สึกว่า ยังคงเป็นคนประเภทเดียวกันกับที่ไม่ทิ้งเนื้อมังกรทุกชิ้นบนตัวเขา ทั้งการผัด การทอดแบบแล่บางๆ การทอดแบบน้ำมันท่วม และการเคี่ยวหรือตุ๋น โดยใช้วิธีการปรุงทุกรูปแบบเพื่อเพิ่มรสชาติเนื้อมังกรของเขาให้มากที่สุด!

กระบวนการที่ได้รับการปฏิบัติเหมือนกับเป็นส่วนประกอบของอาหารนี้ ได้รับการทำซ้ำอย่างน้อยหลายสิบครั้ง!

หลายสิบครั้ง!

นักพรตเต๋าเฒ่าผู้นั้นหาใช่มนุษย์ไม่ แต่เป็นสัตว์ดุร้ายกินมังกรที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด!

ไม่ นั่นเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์มนุษย์!

ในช่วงครึ่งเดือนที่เขาหมดสติไป อ๋าวอี่ก็เอาแต่ย้ำเตือนความทรงจำนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ ครั้นพอตื่นขึ้นมาเห็นมารดา ก็นึกว่าเขาอยู่ในความฝัน สิ่งที่เขาเคยประสบมาก็เป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะออกมาจากไข่มังกร… แต่

นี่ไม่ใช่ฝันร้าย

นี่คือวิธีที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อสู้กับเผ่าพันธุ์มังกรใช่หรือไม่

เป็นไปได้หรือไม่ว่า นี่คือสาเหตุที่เผ่าพันธุ์มังกรไม่กล้าทำสงครามกับเผ่าพันธุ์มนุษย์

ไม่มีทางที่เผ่าพันธุ์มังกรจะชนะได้ ไม่มีทาง

พลังลมปราณของนักพรตเต๋าเฒ่าผู้นั้นชัดเจนว่าไม่ได้แข็งแกร่ง และน่าจะอ่อนด้อยยิ่งกว่าตนเองด้วยซ้ำ แต่นักพรตเต๋าเฒ่าผู้นั้นก็ยังสามารถ…

แต่เขาสามารถ…

เขา… เขาแค่

จากนั้นอ๋าวอี่ก็ได้ยินลุงสองคนกระซิบคุยกันอยู่ข้างๆ ว่า “เกล็ดมังกรคุ้มครองถูกเปิดใช้งานแล้ว และผู้กระทำผิดคนนั้นก็ไม่ได้ฆ่าหลานชายอ๋าวอี่ แต่บังคับให้เขาดื่มสุรามากมาย ทว่าเหตุไฉนคนผู้นั้นจึงไม่มาที่วังมังกรเพื่อรับป้ายกตัญญูที่เป็นของขวัญขอบคุณสำหรับเขาเล่า”

“บางทีพวกเขาอาจกลัวว่าเราจะผิดสัญญา เฮ้อ…อนิจจา ตามกฎแล้ว เราต้องขอบคุณเขา”

อะ…อะไรนะ

วังมังกรของข้าจะขอบคุณเจ้าสัตว์ดุร้ายกินมังกรตัวนั้นหรือ

อ๋าวอี่ตัวสั่นเทิ้มขณะยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคง เมื่อเขากำลังจะเอ่ยถ้อยคำออกมา ก็ราวกับว่าเขาได้เห็นภาพของนักพรตเต๋าเฒ่าผู้นั้นปรากฏออกมาต่อหน้าต่อตาเขา นักพรตเต๋าเฒ่าใบหน้าเย็นชาได้กดเขาลงไปที่ก้นทะเล ดึงดูดน้ำทะเลที่ไร้ขอบเขตมาชำระล้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า… ทำให้เขานึกถึงภาพเหตุการณ์นี้อยู่ตลอดเวลา…

แล้วเผ่าพันธุ์มังกรสมาชิกในครอบครัวของข้ายังคงต้องขอบคุณปีศาจตนนี้? และต้องการมอบของขวัญขอบคุณซึ่งกันและกันเช่นนั้นใช่หรือไม่

ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แผนการของนักพรตเต๋าเฒ่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้นั้นด้วยหรือไม่

หากผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างกระโดดออกมาแสดงตน พวกเขาจะสามารถล้างบางบุตรมังกรแห่งสายโลหิตราชามังกรได้อย่างง่ายดายหรือไม่

อ๋าวอี่ขาอ่อนทันที ขณะนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก

โลกบรรพกาลช่าง…

น่าสะพรึงกลัวจริงๆ

……

ในเวลาเดียวกันนั้น ในทะเลทักษิณ บนเกาะปะการังใกล้ดินแดนเทวะทักษิณ

หลี่ฉางโซ่วที่แปลงร่างเป็นนักพรตเต๋าเฒ่าหน้าเย็นชา กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนรอยเว้าบนแนวปะการัง ร่างกายของเขาสั่นเทาขณะที่ลมปราณของเขาผันผวนเล็กน้อยเมื่อพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นจากน้ำทะเลและรวมตัวกันอยู่ใกล้เขา

หายใจเข้า หายใจออก รู้สึกสบายตามธรรมชาติ

ในขณะนั้นโลกช่างสดใสและชัดเจน ทำให้คนลืมตัวตนเสียสิ้น

หลังจากนั้นไม่นาน บนหน้าผากของหลี่ฉางโซ่วก็สาดแสงสีฟ้าออกมา และบงกชเก้ากลีบหลายดอกก็ค่อยๆ ลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ร่างของเขา

แสงสีฟ้าเริ่มเปล่งประกายออกมาก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ลดลง

หลี่ฉางโซ่วได้ยินเสียงภูเขาและเสียงคลื่นยักษ์ ซึ่งค่อยๆ รวมเข้ากับเสียงทะเลรอบๆ ที่ซัดสาดเกาะเล็กๆ ที่นี่

ทันใดนั้น ก็มีเสียงฟ้าร้องคำรามดังลั่นขึ้น จากนั้นแสงสีฟ้าก็สาดประกายออกมาจากทั่วทั้งร่างของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วบงกชเก้ากลีบนับไม่ถ้วนก็ผลิบานพร้อมกับส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลอยู่รอบๆ กายของเขา

สัตว์ทะเลในระยะรัศมีสิบลี้ล้วนถูกกลิ่นหอมดึงดูดและแหวกว่ายเข้ามา แล้วบงกชเหล่านั้นก็ลอยไปยังสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่เริ่มมีสติปัญญา

ทว่าจู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็ลืมตาขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแสงสีฟ้า ขณะที่บงกชเหล่านั้นเริ่มร่วงโรย เหล่าสัตว์ทะเลก็สัมผัสถึงอันตรายที่รุนแรงได้ พวกมันจึงหันหนีหลบลี้ออกไปไกลในทันที…

การเปลี่ยนร่างของสิ่งมีชีวิตให้มีสติปัญญามากขึ้นเป็นความดีในโลกบรรพกาล ข้าสามารถรับบุญเล็กน้อยเป็นรางวัลจากเต๋าสวรรค์

แต่เมื่อสิ่งมีชีวิตที่ข้าเปลี่ยนร่างให้ กลายเป็นปีศาจหันไปทำร้ายมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าก็จะประสบผลกรรมบางอย่างด้วย และบุญเล็กน้อยนั้นอาจไม่เพียงพอที่จะหักล้างจากผลกรรมนั้น…

ข้าได้ทะลวงผ่านขอบเขตสำเร็จแล้ว

หลี่ฉางโซ่วสูดลมหายใจเข้าลึกและตรวจสอบภายในของเขาซ้ำๆ และเมื่อมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็พบว่ารากฐานเต๋าของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

ถึงเวลาที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์แล้วหรือไม่

หลี่ฉางโซ่วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่มีเมฆในระยะหลายพันลี้เลย ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีฟ้า

เอ่อ…ดูเหมือนว่าเขายังแข็งแกร่งไม่เพียงพอ สำหรับสถานการณ์นี้แตกต่างไปจากสถานการณ์ที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์เมื่อบรรลุขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นเก้าแล้ว

ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เขาก็มักจะเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อนหน้านี้เสมอ

…………………………………..