บทที่ 73 การเรียนรู้แบบรวดเร็วเต็มสูบ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 73 : การเรียนรู้แบบรวดเร็วเต็มสูบ

โจเซฟเดินออกมาพร้อมกระชับหนังสือในมือ เขาเหม่อมองม่านสายฝนแล้วคิดว่าตนควรจะทำให้ตัวเองใจเย็นลงเสียหน่อย

เมื่อสูดลมหายใจเข้าก็ได้กลิ่นไอดินและกลิ่นฝนปะปนกันเตะจมูก อากาศเย็นเข้าไปในปอดเพื่อช่วยให้ใจของเขาชุ่มฉ่ำ

โจเซฟยื่นมือไปข้างหน้าแล้วกำมือแน่น สร้างเสียงกระดูกลั่นกรอบแกรบแจ่มชัด

เขาสัมผัสได้ถึงพลังทั่วร่างและอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มสงบและมั่นใจ

หากมีคนรู้จักโจเซฟในปัจจุบันละก็ พวกเขาคงตื่นตกใจแน่ที่เขาไม่ใช่หัวหน้าแผนกหน่วยข่าวกรองโจเซฟผู้รักษามาดเย้ยหยันประชดประชันเช่นกาลก่อน อิมเมจของเขาในตอนนี้คืออัศวินแห่งแสงผู้ทรงเกียรติโจเซฟซึ่งห่างหายจากสายตาผู้คนมายาวนานนัก

การถือครองดาบปีศาจมาหลายปีทำให้สภาวะจิตใจของโจเซฟผุกร่อนลงอย่างต่อเนื่องเพราะพลังงานอันชั่วร้ายนั่น และการใช้ปณิธานของเขายับยั้งมันทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากจนเขามองว่าการทำให้หัวโล่ง การมีเหตุและผล และการควบคุมเรี่ยวแรงร่างกายของตนเป็นเรื่องยากเข้าไปทุกที

สำหรับอัศวินซึ่งต้องรับภารกิจการต่อสู้ การควบคุมแรงกายของตนไม่ได้ถือเป็นเรื่องอันตรายถึงชีวิต

หลังจากการต่อสู้กับไวลด์ ขอบเขตนั้นก็ยิ่งแย่ลงไปอีกเพราะโจเซฟได้เสียแขนขวาไป

การละทิ้งตัวตนของตัวเองจนถดถอยลงในช่วงหลายปีมานี้ไม่ได้เป็นเพราะเสียแขนอย่างเดียว ดาบปีศาจเองก็ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

แต่ตอนนี้ ดาบปีศาจซึ่งทำให้เขาเสื่อมโทรมลงมาหลายสิบปีได้หลุดพ้นไปแล้ว อีกทั้งเจ้าของร้านหนังสือได้ทำการ ‘กลืนกิน’ คำสาปนั้นในชั่วพริบตาอีกด้วย

มันไม่ต่างอะไรกับโรคร้ายถึงตายที่ได้รับการรักษาชนิดขุดรากถอนโคนเลยสักนิด

โซ่ล่ามจิตใจและร่างกายดูจะเบาลงจนทำให้เขากลับมาผ่อนคลายได้อีกครั้ง โจเซฟเชื่อว่าหากมีเวลาให้ปรับตัวอีกสักนิด เขาจะมีความสามารถเทียบเคียงกับสมัยก่อนได้

แม้ว่าเขาอาจจะเสียอาวุธไป แต่เขาได้รับปณิธาน ความเชื่อมั่นในตัวเอง และของขวัญจากเจ้าของร้านหนังสือกลับมา

การแลกเปลี่ยนนี้ถือว่าไม่ได้แย่อะไร ตัวเขาด้วยซ้ำที่ได้กำไรคืนมา

ตอนนี้โจเซฟต้องแยกแยะการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดี

โชคดีที่ตอนนี้งานของหน่วยข่าวกรองจะเกี่ยวกับการตามหาร่องรอยกลุ่มนักล่าหมาป่าขาวเสียส่วนใหญ่ และโจเซฟอาจปลีกตัวออกมาจากงานได้เพราะไม่มีงานที่เขาต้องรับผิดชอบเป็นพิเศษ

โจเซฟได้กลับมาบ้านหลังจากห่างบ้านมาได้สักพัก เขาเก็บร่มไว้ด้านข้าง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเหยียบย่างเข้าไป

ในที่สุด เขาก็ได้พักผ่อนด้วยจิตใจอันสงบสุขเสียที…

เมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้องโถง โจเซฟก็ชะงักงัน

ห้องนั้นช่างว่างเปล่า แต่มีหนังสือกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด

เขาหันไปมองนาฬิกาควอตซ์ซึ่งแขวนอยู่บนผนัง มันชี้เวลาที่ 6.30 น. ในช่วงเย็น และนี่เป็นเวลาที่ปกติเมลิสซ่าจะต้องกินอาหารเย็นอยู่

เวลาแบบนี้ควรจะมีกลิ่นหอมหวนตลบอบอวลลอยออกมาจากในครัว พร้อมกับลูกสาวตัวน้อยผู้น่ารักของเขากำลังย่างสเต็กไม่ก็ไส้กรอก ต้มมันฝรั่ง แล้วก็โรยด้วยเครื่องเทศ

จากประสบการณ์ของโจเซฟนั้น ฝีมือการทำอาหารของเมลิสซ่าถือว่าเป็นเลิศ

แต่จากปฏิกิริยาตอบสนองอีเธอร์ของเขากลับพบว่าไม่มีใครอยู่ในครัว

โจเซฟลงไปนั่งยอง ๆ พลางหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วขมวดคิ้วมุ่น คุณธรรมของอัศวิน?

เขาจำหนังสือเล่มนี้ได้ มันถูกเขียนและตีพิมพ์โดยอัศวินแห่งแสงคนก่อนซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกการต่อสู้ ทว่าปัญหาในด้านกลยุทธ์การต่อสู้ทำให้เขาถูกปลดตำแหน่งออกภายหลัง ก่อนจะลาออกไปไม่นานหลังจากนั้น

เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับกลวิธีการต่อสู้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกปลดตำแหน่งเช่นกัน

เขาถือว่าเป็นคนยุคใหม่หัวรุนแรงซึ่งเชื่อในการปฏิบัติ และปฏิเสธวิถีการต่อสู้เยี่ยงอัศวินซึ่งสอนว่าความศรัทธาอันแรงกล้าแก่แสงศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนจะทำให้พิชิตทุกสิ่งได้

แน่นอนว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรูปแบบการต่อสู้แบบแทงกันข้างหลัง กลิ้งหลบไปมา และปามีด

ก่อนโจเซฟจะเกษียณ เขาค่อนข้างรังเกียจหมอนี่อยู่พอสมควร

แต่ตอนนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก

หลังจากนั้นเขาจึงหยิบหนังสือมาอีกไม่น้อย ทั้งหมดนี้ต่างเป็นหนังสือเรียนเกี่ยวกับพื้นฐานการเป็นอัศวินที่แผนกการฝึกฝนเขาใช้กันทั้งสิ้น

เป็นทักษะอัศวินขั้นพื้นฐานแต่มากประโยชน์ที่ผู้ริเริ่มควรเรียนให้หมด

ทว่าในฐานะลูกสาวของอัศวินแห่งแสง เมลิสซ่าจึงได้รับการเรียนแบบหนึ่งต่อหนึ่งจากพ่อของเธอ ทำให้หนังสือเหล่านี้กลายเป็นของประดับบ้านไปเสียมากกว่า

แต่หนังสือเหล่านี้กลับถูกดึงออกมาจากชั้นวางหนังสือแล้วกระจัดกระจายไปทั่วห้องเสียอย่างนั้น

ความสงสัยผุดขึ้นมา โจเซฟสาวเท้าไปยังห้องหนังสือของตนแล้วเปิดประตูออก

“เมลิสซ่า”

เขาพบลูกสาวผมแดงสุดรักของตนนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เธอสวมแว่นและเปิดหนังสือเสียงพรึ่บพรั่บอย่างใจจดใจจ่อและรวดเร็ว

บนโต๊ะและพื้นต่างก็มีหนังสือกองกันอยู่เป็นตั้ง ๆ ห้องหนังสือในตอนนี้ดูราวกับเป็นมหาสมุทรแห่งหนังสือก็มิปาน

การเปิดประตูทำให้หนังสือกองหนึ่งร่วงลงกระจัดกระจายลงพื้นไปหมด

“เมลิสซ่า…ทำอะไรอยู่เหรอลูก”

โจเซฟเหยียบฝ่ากองหนังสือไป กวาดตามองทั่วห้องอย่างว่องไวก่อนจะหันไปมองลูกสาวด้วยความงงงวย

“เรียนค่ะ” เมลิสซ่าตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตา

เครื่องหมายคำถามเด้งขึ้นมาในใจโจเซฟทันที

เขาเดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา “นี่ เมลิสซ่าลูกพ่อ ถ้าพ่อจำไม่ผิด ลูกบอกพ่อตั้งแต่สี่ขวบแล้วไม่ใช่เหรอว่าลูกเกลียดการเรียนที่สุดน่ะ?”

เมลิสซ่าพลิกไปอีกหน้า สายตาของเธอเลื่อนจากซ้ายไปขวาอย่างรัวเร็ว “หนูผิดเองค่ะ หนูโง่เกินไปจนไม่เข้าใจความหมายของการเรียนรู้ อีกอย่างเพราะพรสวรรค์หนูไม่ค่อยจะมี ตอนนั้นเลยไม่เข้าใจความสนุกของการเรียนเท่าไหร่”

โจเซฟวางหนังสือลงแล้วยื่นมือไปแตะหน้าผากเมลิสซ่า “ไม่สบายรึเปล่าลูกพ่อ”

“ไม่ค่ะ หนูโอเคดี ไม่เคยหัวโล่งขนาดนี้มาก่อนในชีวิตด้วย”

แว่นตาของเมลิสซ่าสะท้อนแสงวูบวาบ “หนูเพิ่งมาเข้าใจว่าตัวเองอ่อนแอแล้วก็เหลวไหลแค่ไหน ก่อนหน้านี้เอาแต่จมจ่อมอยู่กับการเรียนระดับต่ำจนหลงทางไปตั้งหลายครั้ง แค่อยู่ชายขอบระดับภัยพิบัติถือว่าล้มเหลวมากจริง ๆ นั่นแหละค่ะ”

โจเซฟอ้าปากค้าง เขาแอบสงสัยว่ามีคนมาลักพาตัวลูกสาวหัวแข็งแสนน่ารักน่าชังไป แล้วส่งตัวปลอมมาแทนหรือเปล่า

ก่อนเขาจะอ้าปากถาม เมลิสซ่าก็เงยหน้าขึ้นแล้วบอก “หนูหมายถึงพ่อนั่นแหละ วิธีการสอนของพ่อน่ะไร้อารยะจะตาย แถมยังพึ่งพาแต่ประสบการณ์ของตัวเองด้วย มันไม่เหมาะกับหนูเลยสักนิด”

“แต่ว่าไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะคะ หนูอ่านหนังสือพวกนี้จบแล้วและเรียนรู้ทุกอย่างเรียบร้อย อีกนิดก็จะเจอเส้นทางที่เหมาะสมกับหนูแล้วค่ะ จะเริ่มใหม่แต่ต้นตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปหรอก”

“เดี๋ยวนะ…ทั้งหมดนี่เลยเรอะ?”

“ทั้งหมดเลยค่ะ”

โจเซฟหน้าถอดสี เขารู้สึกว่าเมลิสซ่าแปลกไป เมื่อเหลือบไปมองกองหนังสือมากมายก็ถามออกมา “นี่ลูกใช้เวลาอ่านพวกนี้ไปเท่าไหร่เนี่ย!?”

“อ้อ หนังสือที่ยืมมาก็สามวันค่ะ แล้วก็…หนึ่งวันในการอ่านพวกนี้”

โจเซฟปรี่เข้าหาลูกสาวและถอดแว่นของเธอออก ตรวจสอบใบหน้าซูบผอม ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดและขอบตาดำปี๋

“พ่อ? พ่อทำอะไรน่ะ…” เมลิสซ่าฮึดฮัดไม่พอใจ

เธอเพิ่งจะลุกขึ้นยืนแล้วรู้สึกถึงความมึนงงเมื่อยล้าเข้าครอบงำ

เมลิสซ่าอุทาน “อ๊ะ” เสียงเบาเมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้าเริ่มดับมืดลง แล้วเด็กสาวก็สลบไป

แอคเกอร์แมนกลับมานั่งในออฟฟิศสมาคมแห่งสัจธรรมอีกครั้ง

ออฟฟิศอันกว้างใหญ่นี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา ภาพสีน้ำมันของจิตรกรชื่อดังแขวนอยู่ตามผนังและพื้นถูกปูไว้ด้วยพรมหนานุ่ม

ก่อนหน้านี้ ที่นี่คือสถานที่ซึ่งแอคเกอร์แมนมารับงานล่าค่าหัวของนักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติ ‘บุรุษหน้ากากดำ’ ไวลด์

ตอนนี้ รองหัวหน้าสมาคมแห่งสัจธรรมนั่งอยู่ตรงข้ามเขา

“จะบอกว่าคุณต้องการวางมือจากภารกิจนี้เหรอครับ” แอนดรูว์ถามอย่างใจเย็น