บทที่ 92 การฟื้นฟูตำหนักของท่านอ๋องหลังภัยพิบัติ

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

“ใช่แล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อกระตุกยิ้มมุมปากด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว ขณะเอื้อมมือออกไปจับแขนของซือต๋า ก่อนจะกดร่างของเขาไว้ใต้ร่าง

“เถ้าแก่ซืออยากเห็นฤทธิ์ที่ตามมาไม่ใช่หรือเพคะ หม่อมฉันก็จะให้ท่านได้ลิ้มลอง จะได้รับรู้เสียที!” ฉินปู้เข่อกล่าวขึ้น ขณะสั่งซื้อน้ำตาลดำปลูกขนออกมาจากระบบ

“สิ่งนี้จะทำให้ท่านมีขนดกเหมือนกับฮูหยินฉิน ก่อนที่คำสาปแช่งนี้จะทำให้ท่านหัวล้านหลังจากผมขึ้นดกดำครบสิบวัน ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปท่านจะถูกสาปให้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีเครื่องปรุงรสที่เต็มไปด้วยหัวหอม ถูกสาปให้กินหม้อไฟโดยปราศจากตะเกียบ และคำสาปข้อสุดท้ายจะลงไปที่หนอนน้อยของท่านให้กลายเป็นเพียงไม้จิ้มฟันเท่านั้น!”

“พระชายา!” หมี่โม่หรู่มองดูนางด้วยความสงบเสงี่ยมมาระยะหนึ่ง ก่อนจะหมดความอดทน

“มีอะไรหรือเพคะ? ท่านอ๋องมีเรื่องอะไรกับหม่อมฉันงั้นหรือ? เอาล่ะ หลังจากหม่อมฉันให้เขาดื่มน้ำต้องคำสาปนี้แล้ว ท่านก็ลงมือฆ่าหม่อมฉันได้เลยเพคะ!” ฉินปู้เข่อเทน้ำชาในถ้วยที่ผสมกับน้ำตาลดำปลูกขนลงไปในปากของซือต๋าด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์

หลังจากซือต๋ากลืนน้ำชาลงไปแล้ว นางก็ปล่อยมือออกและเดินเข้าไปหาหมี่โม่หรู่อย่างเชื่องช้า “ท่านอ๋องยังไม่รีบลงมืออีกหรือเพคะ?! ระวังจะไม่มีโอกาสได้ลงมืออีกในภายหน้านะเพคะ!”

“แค่ก…”

ซือต๋าล้วงคอของตนเองถึงสองสามครั้ง ก่อนจะคายน้ำตาลดำผมปลูกขนที่กลืนเข้าไปออกมา

มันคงเป็นเพียงคำโกหก หากกล่าวออกไปว่าเขาไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว อย่างไรก็ตาม เขาเคยเห็นฮูหยินฉินเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อมาแล้ว อีกทั้งตัวเขายังได้ประสบกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมปากของตนเองได้ ดังนั้นซือต๋าจึงหวาดกลัวอิทธิฤทธิ์คำสาปของฉินปู้เข่อผู้นี้เป็นอย่างมาก

แม่นางคนนี้ช่างโหดเหี้ยมนัก มันคงไม่เป็นอะไรเลยหากผมจะดกขึ้นและร่วงโรยจนหัวล้านในไม่ช้า แต่คำสาปข้อสุดท้ายกับการเป็นขันทีนั้นแตกต่างกันอย่างไร

“ฮึ่ม ข้าจำอะไรยืดยาวเช่นนั้นไม่ได้หรอก! เรื่องลวงหลอกทั้งสองครั้งอะไรนั่น!”

ยิ่งหมี่โม่หรู่สงบนิ่งมากเท่าไร ความขุ่นเคืองในใจของฉินปู้เข่อก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น แม้ตอนนี้นางจะดื่ม ‘ชานมคลายความโกรธ’ เข้าไปเป็นสิบถ้วย ก็ไม่ได้ช่วยให้ความโกรธของนางลดลงสักนิด

นางหมุนกายเดินออกไปจากสวนชิงอวี้ ร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธ นางควรจะยืนกรานเขียนจดหมายหย่าเสีย หรือบางทีนางควรจะหนีไปและไม่กลับมาที่นี่อีก ในเมื่อทุกวันนี้นางสามารถเดินทางไปมาได้อย่างอิสระ!

“เฮ้ น้องสะใภ้” เมื่อหมี่ฉงเห็นสีหน้าที่โกรธจัดของนาง จึงเอ่ยถามขึ้น “ผู้ใดทำให้เจ้าขุ่นเคืองนัก บอกพี่สามเสีย พี่สามจะช่วยเจ้า…”

“ไปให้พ้น! ท่านกับเจ้าคนบ้าหมี่โม่หรู่นั้นก็เป็นพวกเดียวกัน อย่ามาเสแสร้งต่อหน้าหม่อมฉันเลยเพคะ!” ฉินปู้เข่อยกเท้าขึ้นและเตะหมี่ฉง

เมื่อหมี่ฉงเห็นว่านางโกรธจัด เขาก็รีบหลบมาด้านข้าง ก่อนจะส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด “เจ้าเจ็ดทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ? อย่าได้โกรธกันไปเลย พี่สามจะพาเจ้าไปกินของอร่อย…”

น้องสะใภ้ผู้นี้มีพละกำลังเกินต้าน อีกทั้งตอนนี้ยังโกรธจัด ครั้งหนึ่งนางเคยโกรธจัด และเขวี้ยงรถเข็นปะทะเข้ากับแนวกำแพง ครั้งที่สองที่นางโกรธ นางทำให้หูของทหารอารักขาทั้งหลายเลือดออก แม้แต่ขวดและเหยือกทั้งหลายของตำหนักก็ยังแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

มิอาจหาญกล้าทำให้นางขุ่นเคืองอีกสักครั้งเดียว ผู้ใดจะรู้ว่าครั้งหน้าอาจเกิดภัยร้ายอะไรขึ้นกับตำหนักอีก

“กินบิดาท่านน่ะสิ!”

ทันทีที่เสียงร้องคำรามดังขึ้น หมี่ฉงจึงรวบรวมกำลังภายในด้วยท่าทีนิ่งสงบ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการปกป้องหูของตนเองล่วงหน้า ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่สามารถหลบหลีกการจับกุมของฉินปู้เข่อได้

ฉินปู้เข่อจ้องมองหมี่ฉงที่กำลังบินไปบินมาต่อหน้า ก่อนจะหยิบเอา ‘ช็อกโกแลตบอลเพิ่มพละกำลัง’ ออกมาจากระบบ

[ติ๊ง!]

เสียงของระบบดังขึ้น ทันใดนั้นฉินปู้เข่อก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะเอื้อมมือออกไปคว้าข้อเท้าของหมี่ฉงเอาไว้ และดึงเขาให้อยู่ในท่ากลับตัวกลับหางเพียงมือข้างเดียว

“ไม่ยักรู้ว่าท่านรู้จักวิชาตัวเบาด้วย เก่งจังเลย! ท่านบินอีกสิเพคะ!” นางแกว่งหมี่ฉงในมือขึ้นลง และหมุนซ้ายขวา และสุดท้ายนางก็โยนเขาไปยังทะเลสาบที่ใช้ประดับตกแต่ง

โกรธจัด ไม่ใช่แค่โกรธเท่านั้นแต่ยังเป็นทุกข์ และไม่ใช่เป็นทุกข์แต่ยังเสียใจ!

ระหว่างทางจากสวนชิงอวี้ไปยังสวนเฉินอวี้ ฉินปู้เข่อใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของนางถอนต้นไม้เมื่อเห็นต้นไม้ ทุบกำแพงเมื่อเห็นกำแพง และขว้างคนเมื่อเห็นคน

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่ทรงพลัง วิชาตัวเบาและทักษะฝีมือทั้งหลายก็เป็นเพียงดั่งเสือกระดาษ ที่มีทักษะดูน่าเกรงขามแต่กลับไม่อาจทนทานการต่อต้านได้ บางครั้งการต่อสู้ก็ต้องใช้พละกำลังอย่างมาก… ถ้าแข็งแกร่งมากพอ ก็จะสยบทักษะการต่อสู้ทุกรูปแบบได้

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ตู้มมม…

ซือต๋าได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก “นั่นมัน มัน…”

“เสี่ยวเข่อ นางจะแข็งแกร่งขึ้นนิดหน่อยยามขุ่นเคืองน่ะ” หมี่โม่หรู่ถอนหายใจด้วยท่าทีนิ่งเฉย ตอนนี้นางคงอารมณ์เสียยิ่งนัก

“เจ้าเจ็ด…” หมี่ฉงพาร่างเปียกปอนของเขาเข้ามายังหอสมุด และอาเจียนออกมาเป็นน้ำทะเลสาบขณะก้าวเข้ามา “เจ้าไปยั่วโมโหนางทำไม ทำอย่างกับเจ้าไม่รู้อิทธิฤทธิ์ทำลายล้างของน้องสะใภ้เวลาขุ่นเคืองอย่างไรอย่างนั้น ทำไมจึงไม่เกลี้ยกล่อมนาง”

ซือต๋ารีบวิ่งออกไปดูสวนชิงอวี้ที่อยู่ด้านนอก ยามที่เขาดื่มกับหมี่ฉงเมื่อคืน เขาได้ยินมาว่าน้องสะใภ้มีพละกำลังที่แข็งแกร่ง หรือเสียงดังที่เกิดขึ้นเหล่านั้นจะมาจากน้องสะใภ้อย่างนั้นหรือ?

ทันทีที่เขาวิ่งออกไปดูสวนชิงอวี้ เขาก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่คำถามมากมายปรากฏขึ้นบนศีรษะของเขา

แบบนี้เรียกว่าแข็งแกร่ง ‘นิดหน่อย’ อย่างนั้นหรือ? เกรงว่าโม่หรู่จะไม่ได้เข้าใจผิดไปกับว่า ‘นิดหน่อย’ หรอกใช่ไหม

เห็นได้ชัดว่านางแข็งแกร่งมาก มากเกินไปจนเหมือนไม่ใช่มนุษย์

เขาเพิ่งเคยเห็นพลังทำลายล้างมหาศาลเช่นนี้ พลังแบบนี้จะเห็นได้ในพายุทะเลทรายที่อยู่ในฝั่งตะวันตกเท่านั้น

ต้นไม้ทั้งหลายที่อยู่บริเวณลานด้านในของตำหนักได้ถูกถอนรากถอนโคนออกไปจนหมดสิ้น กำแพงแนวยาวถล่มลงกับพื้นเป็นกองพะเนินรกจนเหมือนบ้านร้าง ทหารอารักขาในวังก็ถูกโยนทิ้งจนตุปัดตุเป๋ ถึงกับยืนไม่ได้ถึงครึ่งวัน

ต้องบอกก่อนว่าทหารอารักขาทั้งหลายได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ และไม่เกรงกลัวแม้ต้องเผชิญหน้ากับมีดดาบยาว

“โม่หรู่ ข้าคิดว่าเจ้าคงต้องเสียเงินเล็กน้อยให้กับความขุ่นเคืองของน้องสะใภ้” ซือต๋าปาดเหงื่อและกลับเข้าไปในหอสมุด “หลังจากเกิดภัยพิบัติครั้งนี้ นอกเหนือจากตำหนักแล้ว เจ้าคงจะต้องประเมินการฟื้นฟูลานด้านหน้าสวนชิงอวี้เสียใหม่”

หมี่ฉงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ด้านข้าง รู้สึกตกตะลึงทันทีที่เหลือบมองซือต๋า ก่อนจะชี้เรียวนิ้วไปหาเขาด้วยความสยดสยอง “พ่อข้า ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนเป็นสีดำ”