บทที่ 93 พระชายาหายตัวไป

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ซือต๋ายกแขนขึ้นด้วยท่าทีนิ่งสงบ ก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้น ขนที่งอกออกมามีสีดำขึ้นเล็กน้อย

“เมื่อกี้นี้ข้าเพิ่งต้มยาหม้อให้ตัวเองสองถ้วยน่ะ ตอนนี้มันกำลังออกฤทธิ์ปรับสมดุลล้างสารพิษในร่างกายของข้า” มันไม่ง่ายเสียเลยที่จะต้องอธิบายให้คนโง่เขลาพรรค์นี้ฟัง

ปัจจุบันเขาคือหมอเทวดาที่เลื่องชื่อมากที่สุดในต้าเซี่ย ขนจะขึ้นดกดำอย่างนั้นหรือ เขาไม่เชื่อหรอกว่าตนเองจะไม่สามารถหาวิธีการกำจัดขนได้

อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อใน ‘คำสาป’

เมื่อหมี่โม่หรู่เห็นว่าเขาดูมั่นอกมั่นใจ และรู้ว่าเขาคงมีแผนการอยู่ในใจแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก

“สิ่งของที่เจ้าเจ็ดจะเอาไปพระราชวังน้ำพุร้อนด้วย เตรียมไว้เสร็จหมดแล้ว ประเดี๋ยวอีกสองวันถัดไปคงมีคนคอยต้อนรับอยู่ที่พระราชวัง” หมี่ฉงหยิบชาร้อนขึ้นมาจิบเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายที่หนาวสั่น

นี่ไม่ใช่วันฤกษ์งามยามดีที่จะถูกโยนลงไปในทะเลสาบ

“อืม”

หลังจากตกอยู่ในความเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง หมี่ฉงก็จ้องมองหมี่โม่หรู่และกล่าวว่า

“ทำไมเจ้ากับน้องสะใภ้ถึงขุ่นเคืองกันได้ อย่างไรเสียหลังจากไปที่พระราชวัง พวกเจ้าทั้งสองก็ต้องอยู่ร่วมกันอยู่ดี หากเจ้าต้องไปที่นั่นและทั้งสองยังไม่ยอมลงรอยกัน มันก็มีแต่แย่ลง ข้าคิดว่าน้องสะใภ้เป็นคนใจกว้าง คงไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย…”

“เจ้าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับปัญหาผัวเมียทะเลาะกันทำไม โม่หรู่รู้ว่าควรทำเยี่ยงไร นอกจากนี้ปัญหาผัวเมียทะเลาะกันก็เป็นการเพิ่มความรักความสนใจไม่ใช่หรือ” ซือต๋าเหลือบมองเขา ขณะพยายามผลักหัวข้อนี้ออกไป

โดยปกติแล้วการทะเลาะกันของคู่รักหนุ่มสาวย่อมเพิ่มความรักและความตื่นเต้นมากขึ้น แต่น้องสะใภ้ผู้นี้กลับทำลายล้างโลกทันทีที่นางขุ่นเคือง มันควรจะพูดว่าเป็นสาวงามที่มีพรสวรรค์มิใช่หรือ แต่ทำไมถึงกลายมาเป็นแม่หญิงโหดเหี้ยมได้

ซือต๋าอดไม่ได้ที่มองดูหมี่โม่หรู่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมโมหรู่ถึงยังแน่วแน่สงบนิ่งอยู่ แม้ข้างนอกจะเกิดความโกลาหลก็ตาม หากเป็นคนอื่นคงออกไปปรามพระชายาของตนแล้ว

หมี่ฉงกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทว่าเสียงเป็นกังวลของซวงหวนกลับดังขึ้นด้านนอกประตูเสียก่อน

“ท่านอ๋องแย่แล้วเพคะ พระชายาหายตัวไปเพคะ!”

“หายตัวไป? หายไปได้อย่างไร?!” หมี่ฉงยืนขึ้นเป็นคนแรก และเอ่ยถาม

หมี่โม่หรู่เคาะเรียวนิ้วยาวบนโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เล่ามาให้หมด”

“หลังจากที่พระชายาเสด็จกลับมา แม่นางก็เขวี้ยงปาสิ่งของไปทั่ว พอหนึ่งเค่อที่แล้วได้พระชายาก็เริ่มกระหายน้ำ พวกนางกำนัลไปเอาชาชุดใหม่มาให้นาง พอกลับมาก็ไม่เห็นใครอยู่ในห้องแล้วเพคะ หม่อมฉันถามอู๋อวิ๋นกับอู๋หัว แต่เจ้าพวกนั้นกลับไม่เห็นพระชายาออกจากห้องหรือสวนเฉินอวี้ไปเลยเพคะ”

“เป็นไปได้หรือไม่ที่พระชายาจะขุ่นเคืองจนหนีออกจากตำหนักไปในช่วงที่กำลังชุลมุน ฟ้ามืดแล้ว อู๋อวิ๋นกับอู๋หัวคงไม่ทันสังเกตเห็น” ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิท มันคงจะดีกว่านี้หากนางไม่ประสบอุบัติเหตุอะไรในวันที่เหน็บหนาวเช่นนี้

“โธ่เอ๊ย เจ้าเจ็ด ทำไมเจ้ายังไม่รีบไปอีก ข้าจะออกไปตามหานาง!” หมี่ฉงวิ่งออกไปทันทีที่กล่าวจบ

ซือต๋ารีบเข้ามาเสริมทัพเมื่อเห็นเช่นนั้น

“เดี๋ยว พาข้าไปที่สวนเฉินอวี้ที”

ระหว่างทาง หมี่โม่หรู่มองดูลานหญ้าที่คดเคี้ยวไปมาและไม่พูดอะไร

ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้นางจะใช้พลังงานไปเยอะ หากไม่มีอะไรร้ายแรง ตอนนี้ร่างกายของนางคงจะตกอยู่สภาวะอ่อนล้า และเผลองีบหรือหลับใหลอยู่ที่ไหนสักแห่ง ไม่น่าจะวิ่งหนีออกไปไกลได้นัก

“ค้นหาแถวพระราชวัง จับตาดูคนที่นอนอยู่บนพื้นตรงหัวมุมถนนให้หมด ไม่ว่าจะเป็นหัวมุมอับในที่ต่าง ๆ ก็ตาม เป็นไปได้สูงว่านางจะไม่ขานรับตอบ ตรวจสอบแม้แต่คนหูหนวกพวกนั้นด้วย” หมี่โม่หรู่ออกคำสั่ง

ซือต๋าจ้องมองเขาด้วยท่าทางแปลกประหลาด ก่อนจะหมุนตัวกลับและวิ่งออกจากตำหนักไป

หมี่โม่หรู่ปรบมือและออกคำสั่งกับทั้งสอง “ซวงหวน อู๋เหินพากำลังคนค้นหาทั้งในและนอกตำหนัก อย่าปล่อยให้คลาดสายตาแม้แต่ห้องเดียว แม้แต่ห้องที่มีคนเข้าออกน้อยก็ต้องจับตาดูให้ดี”

เมื่อหมี่โม่หรู่เข้าไปในห้อง เขาพยายามลุกขึ้นจากรถเข็นและเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยิบปิ่นปักผมขนาดเล็กที่ด้านซ้ายมือ

ปิ่นปักผมสีทองบริสุทธิ์ยังอยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่านางก็ต้องยังอยู่ที่นี่เช่นกัน บางทีนางอาจจะยังอยู่ในสวนเฉินอวี้

ตอนนั้นที่เขาโยนปิ่นปักผมของนาง เขาไม่ได้รู้สึกใจเย็นลงเลยสักนิด และในตอนนี้เขาจึงไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้

หมี่โม่หรู่เดินเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง กวาดสายตามองดูเครื่องลายครามที่แตกกระจัดกระจายทั่วทุกสารทิศ ก่อนจะค่อย ๆ ระลึกถึงร่องรอยการเคลื่อนไหวของนางทีละก้าว

บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ หมี่โม่หรู่หลับตาลง กลั้นลมหายใจ และรวบรวมกำลังภายใน

มีลมหายใจของหญิงสาวอยู่ในห้องนี้จริงด้วยสินะ และในเวลาต่อมา มุมปากของเขาก็ยกขึ้นจนปรากฏให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้า

“เสี่ยวเข่อออกมาเถิด ท่านอ๋องหาเจ้าเจอแล้ว” หมี่โม่หรู่เดินไปที่เตียงและก้มตัวลง “หรือว่าเจ้าแอบไปงีบหลับที่ใดหรือ?”

ไม่ได้อยู่ใต้เตียง?!

เขาควบแน่นลมปราณอีกครั้ง จนได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังลอยเข้ามาข้างใบหู นางคงหลับอยู่เป็นแน่

หมี่โม่หรู่มองลอดเข้าไปด้านข้างตู้เสื้อผ้าที่อยู่ด้านข้างเตียงนอน ก่อนที่รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาจะชัดเจนขึ้น

เขาเจอนางแล้ว

เขากระแทกประตูตู้เสื้อผ้า ก่อนที่ครู่ต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจะแข็งค้าง

คนตัวเล็กซุกตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าและผล็อยหลับไป ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยเสื้อผ้าและชุดกระโปรงตัวยาว ใบหน้าอันบอบบางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แม้จะผล็อยหลับไป ทว่ากลับสะอื้นไห้ออกมาเป็นระยะ

ตอนนี้หมี่โม่หรู่อยากจะตบตัวเองเสียที เขาคิดว่านางเพียงรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยเท่านั้น และจงใจซ่อนตัวเพื่อให้เขาเป็นกังวล อีกทั้งเขายังคิดจะซักไซ้ถามนางเมื่อเจอตัวนาง

แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก

หากเป็นวันปกติที่นางต้องพบปะกับผู้คนที่นางไม่ปลาบปลื้ม นางจะแสร้งทำเป็นเกรี้ยวโกรธและร้องไห้ออกมาโดยไม่พูดไม่จา ทว่าวันนี้นางคงไม่พอใจเป็นอย่างมาก ถึงได้มาซ่อนตัวและแอบร้องไห้อยู่ในตู้เสื้อผ้า

คนที่เอาแต่แสดงความแข็งแกร่งต่อหน้าผู้อื่น บดขยี้ตำหนักจนสิ้นซาก แต่กลับมาซ่อนตัวอยู่ในมุมอับอย่างน่าสงสาร

หมี่โม่หรู่โน้มตัวลงและช้อนตัวคนที่ซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าขึ้นมาด้วยท่าทีอ่อนโยน และวางลงที่เตียงนอนอย่างระมัดระวัง ก่อนจะสั่งให้นางกำนัลไปเตรียมน้ำอุ่นมาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของฉินปู้เข่อ

ความลับของเจ้าคืออะไรกันแน่ มันเป็นคำสาปแช่งอย่างนั้นหรือ?

“ข้าไม่ได้คลางแคลงใจในตัวเจ้า ข้าแค่อยากรู้ และเกรงกลัวว่าวันหนึ่งเจ้าจะถูกผู้อื่นหลอกใช้” หมี่โม่หรู่เอนตัวลงข้างนาง โอบกอดนางไว้ในอ้อนแขน และใช้มือเรียวตบไหล่ของนางอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมให้นางสงบลงและไม่สะอื้นไห้อีกต่อไป

หลังจากหลับใหลมายาวนาน ฉินปู้เข่อได้ด่าทอหมี่โม่หรู่เป็นหมื่นครั้งในความฝัน และในที่สุดก็หาทางกลับบ้านหลังจากหลงทางมาเป็นเวลานาน

ที่แห่งนี้ไม่มีญาติมิตรที่แท้จริง ไม่มีใครร้องไห้ยามนางประสบเข้ากับความโชคร้าย นางอยากจะกลับไปยังบ้านที่แท้จริงเสียที

เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ชาติที่แล้วนางเสียชีวิตลงเมื่อครั้งเพิ่งอายุยี่สิบตอนปลายเท่านั้น ช่างน่าเศร้านักที่พ่อแม่ผู้แก่ชราต้องมาส่งศพลูกสาวผู้เยาว์วัย

คงจะดีไม่น้อยหากนางสามารถกลับไปยังบ้านเมื่อผล็อยหลับไป นางจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้เป็นมารดา จะไว้ผมยาวสลวย ไม่ทำตัวเป็นหญิงสาวที่มีท่าทางเหมือนผู้ชาย จะหาแฟนหนุ่มที่ซื่อสัตย์และไม่คลางแคลงใจในตัวนาง รวมถึงการแต่งงาน…

ขณะที่กำลังฝันเช่นนั้น ฉินปู้เข่อก็ตกลงไปในก้อนเมฆอันแสนอบอุ่น ดูเหมือนว่าเมฆก้อนนี้กำลังกระซิบอะไรบางอย่างที่หูของนาง น้ำเสียงที่คุ้นเคยกำลังเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำ จนนางอดไม่ได้ที่จะขยับร่างกายฝังเข้าไปกับเมฆก้อนนั้นอย่างแนบแน่น

เช้าตรู่ของวันที่สามคืนที่สี่ ฉินปู้เข่อลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะบิดเอวเพื่อสลัดความขี้เกียจ

นางตัวแข็งทื่อหลังจากพบว่ามีของบางอย่างทับแขนของนางอยู่ จากนั้นนางจึงยกเท้าขึ้นและเตะของสิ่งนั้นลงไปจากเตียง

ทว่านางกลับไม่ได้ยินเสียงของหนักตกลงไปที่พื้นอย่างที่นางคาดคิดไว้