ตอนที่ 137 บัลลังก์ที่สั่นคลอน (2)
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ด้วยอารมณ์หนักอึ้ง ในเวลานี้เองขันทีก็วิ่งเข้ามารายงานข่าวใหม่ หลังจากทรงอ่านข้อความในพระหัตถ์ พระพักตร์ของพระองค์ก็ซีดลง
“จวินอู๋เสียผู้นี้บังอาจมากเกินไปแล้ว!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยถามอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่เคยเห็นเสด็จพ่อของเขาโกรธจัดมากขนาดนี้มาก่อนเลย
ฮ่องเต้โยนหนังสือฎีกาไปที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยด้วยความกริ้ว มั่วเซวี่ยนเฝ่ยหยิบมันขึ้นมาแล้วกวาดสายตาอ่านมันอย่างรวดเร็ว หลังจากอ่านจบ เลือดบนใบหน้าของเขาก็จางหายไป
“นาง…นางกล้าสั่งให้กองทัพรุ่ยหลินปิดล้อมเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ นี่นางคิดจะทำอะไรของนางกันแน่”
“ทำอะไรรึ! ฮ่า…นังเด็กนั่นกำลังรอให้ข้าลงจากบัลลังก์อย่างไรเล่า นางถึงขั้นกล้าคิดปลงพระชนม์ข้าแล้ว! เวลานี้เมืองหลวงอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพรุ่ยหลิน ข้าไม่สามารถส่งสารออกไปขอความช่วยเหลือจากกองทัพเสริมที่อยู่นอกเมืองได้เลย เห็นได้ชัดว่านางต้องการบีบให้ข้าสละราชสมบัติโดยเร็วที่สุด! ช่างเป็นวิธีการที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก!” ฮ่องเต้ทรงรู้สึกราวกับว่ามีห่วงรัดอยู่ที่พระศอของพระองค์ พระอุระกระเพื่อมขึ้นถี่ การหายใจของพระองค์ยามนี้ลำบากมาก
“มิน่าเล่านางถึงร้อนใจ อย่างไรก็ต้องเชิญรัชทายาทไปพักที่จวนหลินอ๋องให้ได้ ที่แท้นางก็กลัวว่าข้าจะกำจัดเขาล่วงหน้านี่เอง หากองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ ต่อให้จวินอู๋เสียเก่งกาจสามารถแค่ไหน นางก็ไม่มีปัญญาบังคับให้ข้าสละราชสมบัติได้!” เมื่อนึกถึงว่าพระองค์ถูกเด็กสาวคนหนึ่งวางแผนตลบหลัง ฮ่องเต้ก็แทบจะกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง
ใบหน้าของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยซีดขาวราวกับกระดาษ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจวินอู๋เสียจะมองเรื่องราวได้เฉียบขาดขนาดนี้
ในหัวเล็กๆ ของนางใส่อะไรไว้บ้าง ทำไมถึงคิดแผนการออกมาได้มากมายเพียงนี้
“แล้ว…พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดีพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ พวกเรา…จะยอมถูกจับทั้งเช่นนี้น่ะหรือ” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยตื่นตระหนก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจวินอู๋เสียย่ำแย่ถึงขีดสุดตั้งแต่เขายกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับนาง หากจวินอู๋เสียบีบให้ฮ่องเต้ลงจากบัลลังก์ได้จริงๆ ละก็ เขาไม่มีทางหนีพ้นเป็นแน่
“เจ้าจะตกใจอะไรหนักหนา หยุดตื่นตระหนกได้แล้ว! สิ่งต่างๆ จะไม่เป็นไปตามแผนการที่นางวางไว้ ให้คนของเราปลอมตัวแล้วลอบออกไปจากเมืองหลวงเดี๋ยวนี้” พระเนตรของฮ่องเต้หรี่ลงอย่างใช้ความคิด
กลิ่นคาวโลหิตจากการสังหารหมู่ที่หน้าประตูวังหลวงยังไม่จางหายไป โลหิตสีแดงสดก็เปรอะเปื้อนไปทั่วกำแพงเมืองหลวงอีกครั้ง ท่ามกลางดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือท้องฟ้ายามราตรี ไม่นานนัก ข่าวล่าสุดก็ถูกส่งไปยังห้องทรงพระอักษรที่ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่
คนที่พระองค์สั่งให้ปลอมตัวแล้วลอบออกจากเมืองหลวง ถูกทหารจากกองทัพรุ่ยหลินตัดศีรษะทั้งหมดไม่รอดชีวิตแม้แต่คนเดียวคนเดียว แม้แต่คนที่มีวรยุทธเป็นเลิศ ก็ยังกลายเป็นวิญญาณก่อนที่พวกเขาจะได้ก้าวออกจากประตูเมืองหลวงด้วยซ้ำ
“เปิดใช้ภูติวิญญาณประเภทสัตว์อสูรทั้งหมดที่มีในวังหลวง!” ฮ่องเต้ประกาศกร้าว ความวิตกกังวลของพระองค์ถูกปลุกเร้าให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุด
พระองค์ไม่ได้คาดคิดว่าคนที่พระองค์ส่งออกไปนั้นจะถูกกำจัดทั้งหมด
ต้องรู้ไว้ก่อนว่าในบรรดาคนที่ส่งออกไป มีทั้งปลอมตัวเป็นพ่อค้า บ้างแสร้งเป็นชาวบ้านธรรมดา กองทัพรุ่ยหลินใช้วิธีไหนในการแยกแยะพวกเขา แถมยังสังหารโหดโดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ!
พวกเขาไม่กลัวว่าชาวเมืองจะโกรธแค้นกับเรื่องนี้บ้างเลยหรือ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปิดใช้งานภูติวิญญาณประเภทสัตว์อสูร มันก็ยังคงจบลงด้วยความล้มเหลว ทั้งภูติวิญญาณในลักษณะของสัตว์ปีกและสัตว์บก ไม่มีตัวใดรอดไปจากเกาทัณฑ์ที่ยิงมาอย่างไร้ความปรานีของกองทัพรุ่ยหลิน
เป็นช่วงเวลากว่าหลายอึดใจที่ฮ่องเต้ทรงทรุดตัวลงบนเก้าอี้นั่ง ขณะที่ความคิดของพระองค์เริ่มพังทลาย พระเสโทเย็นๆ ก็เริ่มไหลท่วมพระนลาฏของพระองค์
ไม่มีผู้ใดสามารถออกจากเมืองหลวงได้แม้แต่คนเดียว บวกกับข่าวสารในเมืองหลวงถูกกองทัพรุ่ยหลินปิดกั้นไว้ การที่พระองค์จะส่งสารออกไปขอความช่วยเหลือจากภายนอก จึงมีโอกาสน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!
“ไป! ไปตามตัวไป๋อวิ๋นเซียนมาพบข้าเดี๋ยวนี้!” จู่ๆ ฮ่องเต้ก็นึกขึ้นได้ว่าพระองค์ยังมีหมากที่สำคัญอยู่อีกตัวหนึ่ง
ไป๋อวิ๋นเซียนเป็นถึงศิษย์เอกของท่านเจ้าสำนักชิงอวิ๋น สำนักชิงอวิ๋นใหญ่โตและทรงพลังเพียงใด แม้กระทั่งพระองค์ก็ไม่กล้าที่จะสร้างความขุ่นเคืองใจกับพวกเขา ในเวลาเช่นนี้ พระองค์เกรงว่าคงมีเพียงสำนักชิงอวิ๋นเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดช่วยพระองค์พลิกสถานการณ์กลับมาได้!
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยพาตัวไป๋อวิ๋นเซียนมาที่ห้องทรงพระอักษรทันทีอย่างไม่รอช้า
เพราะถูกผู้อื่นปลุกให้ตื่นกลางดึก ใบหน้าของไป๋อวิ๋นเซียนยามนี้จึงดูบูดบึ้งน่าเกลียดเป็นอย่างมาก นางจ้องไปที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยอย่างเย็นชา ก่อนจะหันไปคำนับฮ่องเต้อย่างไม่ใคร่จะเต็มใจเท่าไหร่นัก
“มิทราบว่าทรงมีเรื่องสำคัญอันใด ถึงได้เรียกหม่อมฉันเข้าเฝ้าเป็นการด่วนเช่นนี้”
“คุณหนูไป๋ เรื่องนี้สำคัญและเร่งด่วนอย่างยิ่ง พวกเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เกรงว่าอาจต้องขอยืมมือเจ้าให้ช่วยเหลือบางอย่าง” ฮ่องเต้โยนพระเกียรติของตัวเองทิ้งไปจนหมด ตรัสกับนางตรงๆ ด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึมยิ่ง
ไป๋อวิ๋นเซียนผงะไปครู่หนึ่ง ด้วยวันนี้นางเข้านอนเร็ว จึงไม่ทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงรัฐชีว่าบัดนี้ฟ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว!
ตอนที่ 138 บัลลังก์ที่สั่นคลอน (3)
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ไป๋อวิ๋นเซียนขมวดคิ้วและถามออกไป การแสดงออกของฮ่องเต้และมั่วเซวี่ยนเฝ่ยดูมีพิรุธเกินกว่าจะมองข้ามไปได้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างนั้นความโกรธจากการถูกขัดจังหวะจากการนอนหลับอันแสนสุข ก็ยังคงเหนือกว่าความรู้สึกใส่ใจในความไม่สบายใจของบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรัก
ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ย มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็เข้าใจในทันที ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขามีรอยยิ้มขมขื่นปรากฏให้เห็น เขาได้เริ่มทำตามแผนที่วางไว้โดยการบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้ไป๋อวิ๋นเซียนฟังอย่างละเอียด พร้อมทั้งบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยใส่ร้ายว่าเพราะจวินอู๋เสียหึงหวงและโกรธแค้นที่เขาทิ้งนางไปหาไป๋อวิ๋นเซียน จึงได้ก่อเรื่องทั้งหมดขึ้น
“ตอนนี้จวินอู๋เสียนั่นได้ทำการปิดล้อมเมืองหลวงเอาไว้ทั้งหมดแล้ว แถมยังบีบบังคับให้ข้าส่งมอบตัวเจ้าให้กับนางด้วย ข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วางใจเถิดว่าข้าจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยกุมมือของไป๋อวิ๋นเซียนไว้อย่างเสน่หา ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้สำคัญต่อเขามากไปกว่านางอีกแล้ว
ไป๋อวิ๋นเซียนตกตะลึงไปครู่ใหญ่ ยังไม่อาจประมวลผลเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ดี
“ท่านบอกว่า…จวินอู๋เสียต้องการให้ท่านส่งมอบตัวข้าให้กับนางอย่างนั้นรึ!” ไป๋อวิ๋นเซียนเบิกตากว้าง สบตากับมั่วเซวี่ยนเฝ่ยแล้วถามออกไป
จวินอู๋เสีย!
นางกล้าถึงขนาดคิดแตะต้องข้าเชียวหรือ!
นี่นางไม่กลัวว่าสำนักชิงอวิ๋นจะกลับมาล้างแค้นสกุลจวินของนางเลยหรืออย่างไร!
“อวิ๋นเซียน! ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้นางได้ในสิ่งที่นางต้องการ! นังบ้านั่น หากคิดแตะต้องเจ้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยกอดไป๋อวิ๋นเซียนไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ ราวกับจะผสานนางเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของเขา
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยและพยักพระพักตร์เงียบๆ
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยลอบยิ้มตอบอย่างชั่วร้าย
“เหอะ! จวินอู๋เสีย เจ้าช่างประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว! คิดว่าแค่ยกกองทัพรุ่ยหลินมาปิดล้อมเมืองหลวงแล้วจะทำอะไรข้าก็ได้อย่างนั้นเหรอ! ฝันไปเถอะ! กองทัพรุ่ยหลินในสายตาข้าก็เป็นแค่กลุ่มมดปลวกตัวเล็กๆ เท่านั้น!” ไป๋อวิ๋นเซียนค่อยๆ ผลักมั่วเซวี่ยนเฝ่ยออกด้วยความโกรธ แม้ยามนี้นางจะรู้สึกซาบซึ้งกับความรักอันลึกซึ้งที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยแสดงออกมาให้เห็น แต่การกระทำของจวินอู๋เสียมันมากเกินไป นี่เท่ากับเป็นการหยามศักดิ์ศรีของนางชัดๆ!
เป็นเพียงคุณหนูจากจวนหลินอ๋องเล็กๆ ในรัฐเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ยังคิดกล้ามาต่อกรกับนางอย่างนั้นหรือ!
นี่มันช่างเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี!
คำพูดของไป๋อวิ๋นเซียน ทำให้ทั้งฮ่องเต้และมั่วเซวี่ยนเฝ่ยลอบสบตากันด้วยความย่ามใจ กระนั้นสีหน้าที่ทั้งคู่แสดงออกก็ยังคงเรียบเฉยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
“อวิ๋นเซียน หรือว่าเจ้าพอจะมีแผนการอะไรบ้างแล้ว” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยถามนางด้วยความอยากรู้
ไป๋อวิ๋นเซียนพยักหน้า นางยกมือขึ้น จากนั้นลำแสงสีทองก็สว่างวาบออกมาจากวงแหวนภูติวิญญาณที่อยู่บนนิ้วนางข้างขวาของนาง สำแสงสีทองกระจายตัวออกไปทั่วห้องโถงและเปล่งแสงระยิบระยับ จากนั้นมันก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นผีเสื้อเรืองแสงสีขาว ปีกที่โปร่งใสดึงดูดสายตาของมันกระพือขึ้นลงอย่างงดงาม
“นี่คือภูติวิญญาณของข้า ผีเสื้อครวญจิต มันมีความสามารถในการจำแลงกาย และในเวลากลางคืนจะไม่มีใครสามารถมองเห็นมันได้ แม้แต่กองทัพรุ่ยหลินที่ปิดล้อมเมืองหลวงอยู่ ก็อย่าหวังว่าจะสามารถหาตัวมันพบ! จวินอู๋เสีย เจ้าต้องการปิดล้อมเมืองหลวงเหรอ! ฝันไปเถอะ!” ไป๋อวิ๋นเซียนเยาะเย้ย นางรู้สึกขัดตาจวินอู๋เสียมานานมากแล้ว ก็ดีเหมือนกันจะได้ใช้โอกาสนี้สั่งสอนไปเลยว่าสถานที่ใดที่นางควรอยู่ และใครที่นางไม่ควรแตะต้อง!
จวินอู๋เสียเอ๋ย เจ้าวิ่งมารนหาที่เองนะ อย่าหาว่าข้าลงมือโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!
“นี่มันยอดเยี่ยมมาก! ตราบเท่าที่มีผีเสื้อครวญจิตของเจ้าอยู่ ไม่ว่าจวินอู๋เสียจะมีความสามารถแค่ไหน นางก็ไม่สามารถหยุดยั้งเราจากการร้องขอกำลังเสริมได้! อวิ๋นเซียนยอดรัก ทุกอย่างล้วนอยู่ในมือของเจ้าแล้ว ตอนนี้ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราวสามร้อยลี้จากเมืองหลวง ที่นั่นมีกองทัพของเราตั้งประจำการอยู่ เมื่อเจ้าส่งข่าวออกไป ทัพทหารทั้งหมดจะระดมกำลังและมุ่งหน้ามาที่เมืองหลวงทันที จากนั้นกองทัพรุ่ยหลินก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป!” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยแสยะยิ้มด้วยความปีติยินดี การตัดสินใจเลือกไป๋อวิ๋นเซียนของเขานั้นไม่ผิดเลย เพราะไม่ว่าจวินอู๋เสียจะโหดเหี้ยมดุร้ายสักเพียงใด หรือต่อให้นางมีกองทัพรุ่ยหลินนับแสนนายในกำมือ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพของรัฐที่มีจำนวนมหาศาลยิ่งกว่า สุดท้ายนางก็เป็นได้เพียงแค่มดปลวกให้พวกเขาบดขยี้เท่านั้น!
ส่วนกองทัพรุ่ยหลินที่ประจำการอยู่ที่ชายแดนน่ะหรือ เหอะ! สถานที่ห่างไกลออกปานนั้น กว่าจะถ่อมาถึงที่นี่เกรงว่าสกุลจวินคงถูกพวกเขากวาดล้างไปจนหมดแล้ว กองทัพรุ่ยหลินที่เหลือจึงไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับพวกเขาอีกต่อไป!
ไป๋อวิ๋นเซียนเหลือบมองไปที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยแวบหนึ่ง ผีเสื้อครวญจิตที่โบยบินอยู่ในอากาศก็กระพือปีกอย่างช้าๆ แล้วบินออกนอกหน้าต่างไป ปีกโปร่งใสที่ต้องกับแสงของคบเพลิงในยามค่ำคืน ค่อยๆ ผสานกลืนไปกับความมืดมิดด้านนอกหน้าต่างจนร่างของมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่สามารถมองเห็นได้อีก
“กองทัพเสริมอย่างนั้นหรือ ไม่!…ที่ข้าส่งข่าวไปหาคือท่านอาจารย์ของข้าต่างหาก!” นางจะต้องให้บทเรียนสำคัญแก่จวินอู๋เสียเสียบ้างว่าสำนักชิงอวิ๋นไม่ใช่อะไรที่นางจะสามารถยั่วยุได้!