ตอนที่ 139 บัลลังก์ที่สั่นคลอน (4)
การแสดงออกบนสีหน้าของฮ่องเต้และมั่วเซวี่ยนเฝ่ยเปลี่ยนเป็นดำคล้ำในทันที
แจ้งข่าวนี้ไปยังสำนักชิงอวิ๋นอย่างนั้นหรือ!
สำนักชิงอวิ๋นอยู่ห่างจากรัฐชีมากพอสมควร เช่นนี้แล้วพวกเขาจะต้องรออีกนานแค่ไหนกันกว่าที่จะได้รับการช่วยเหลือจากสำนักชิงอวิ๋น!
หากว่าขอความช่วยเหลือไปยังกองทัพเสริมที่ตั้งประจำการอยู่ใกล้ๆ เมืองหลวงแทน ก็อาจจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นที่ทัพเสริมจะเดินทางมาถึง แต่ตอนนี้พวกเขากลับกำลังมองหาความช่วยเหลือจากสำนักชิงอวิ๋นที่อยู่ห่างไปไกลถึงแปดร้อยลี้…
มันจะต้องใช้เวลานานเพียงใดกัน!
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจวินอู๋เสียผู้แสนโหดร้ายจะทำเรื่องบ้าๆ อะไรออกมาอีกในช่วงเวลานี้!
“อวิ๋นเซียน ข้าว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่จะให้สำนักชิงอวิ๋นเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้ เจ้าเป็นอาคันตุกะคนสำคัญของรัฐชีของพวกเรา พวกเราควรจะแก้ไขปัญหานี้ด้วยตัวเองดีกว่านะ” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยยืนไม่ติดที่แล้ว จินตนาการณ์ถึงว่ากว่าสำนักชิงอวิ๋นจะเดินทางมาถึง พวกเขาอาจถูกจวินอู๋เสียบั่นศีรษะไปเสียก่อน
ไป๋อวิ๋นเซียนตอบกลับมาว่า “ผีเสื้อครวญจิตของข้าไม่สามารถพูดได้ มีเพียงอาจารย์ของข้าเท่านั้นที่สามารถตีความข้อความที่ข้าส่งผ่านผีเสื้อครวญจิตไปได้ ดังนั้นแล้วแม้ข้าจะส่งมันไปยังกองทัพที่ประจำการอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ พวกเขาก็ถอดข้อความที่ข้าส่งผ่านผีเสื้อไปไม่ได้อยู่ดี”
มั่วเซวี่ยนเฝ่ยผงะไปครู่หนึ่ง เขาแทบเข่าทรุดลงในขณะนั้น นั่นสิ เขาลืมไปเลยว่าภูติวิญญาณจะสามารถสื่อสารได้เฉพาะกับผู้ที่มันผูกสัญญาด้วยเท่านั้น และพวกมันไม่สามารถส่งข้อความถึงใครต่อใครก็ได้นอกจากเจ้านายของพวกมัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็ดิ่งวูบ รู้สึกเคว้งคว้างไร้จุดหมายในทันใด
เดิมทีคิดว่าในที่สุดก็ค้นพบความหวังแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความหวังนั้นจะริบหรี่เสียเหลือเกิน
เมื่อเห็นการแสดงออกที่น่าเศร้าบนใบหน้าของมั่วเซวี่ยนเฝ่ย ไป๋อวิ๋นเซียนก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ผีเสื้อครวญจิตของข้านั้นเร็วมาก อย่างน้อยสุดครึ่งเดือนท่านอาจารย์ของข้าจะต้องส่งคนมาช่วยอย่างแน่นอน ทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดี เชื่อข้าสิ”
เมื่อคำนึงถึงระยะทางระหว่างสำนักชิงอวิ๋นและเมืองหลวงของรัฐชี เวลาเพียงครึ่งเดือนก็นับว่ารวดเร็วมากจริงๆ
“แต่ว่าตอนนี้จวินอู๋เสียมีกองทัพรุ่ยหลินหนึ่งแสนนายที่อยู่ภายใต้คำสั่งของนาง หากวันดีคืนดีนางเกิดบ้าขึ้นมาแล้วสั่งให้พวกเขาเคลื่อนไหว…” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยยังคงไม่คลายความกังวล ขนทั้งร่างของเขาลุกชันเมื่อจินตนาการถึงว่าจวินอู๋เสียจะนำกองกำลังทั้งหมดบุกเข้ามาสังหารพวกเขาถึงในวังหลวงในเร็ววันนี้
“คิดจะแตะต้องข้า ก็ต้องดูก่อนว่านางมีความสามารถหรือไม่! ท่านไปเตรียมคนมาให้ข้าสักหลายคนหน่อย ข้ามีวิธีที่จะถ่วงเวลาออกไปจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง” ดวงตาของไป๋อวิ๋นเซียนหรี่ลงอย่างอันตราย
“อวิ๋นเซียน เจ้าคิดจะทำอะไรหรือ” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นการแสดงออกที่น่ากลัวของไป๋อวิ๋นเซียน เขาไม่เคยเห็นนางเย็นชาขนาดนี้มาก่อนเลย คลื่นหนาวเย็นที่แผ่ออกมารอบกายหญิงสาวทำให้เขาสงบใจไม่ลง
ไป๋อวิ๋นเซียนแสยะยิ้มด้วยความคิดอันชั่วร้าย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยพิษสงดูน่าสยดสยอง
“ท่านไม่ได้บอกข้าว่าจวินอู๋เสียนำกองทัพรุ่ยหลินแสนนายปิดล้อมเมืองหลวงเอาไว้หรอกหรือ ถ้าหากว่าข้าสามารถทำให้กองทัพรุ่ยหลินทั้งกองทัพเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้อีกเล่า เช่นนั้นทหารนับแสนนายก็จะเป็นได้แค่มดปลวกที่รอความตายเท่านั้น! มั่วเซวี่ยนเฝ่ยอย่าลืมสิว่าข้าคือคนที่มอบยาพิษให้กับท่านเพื่อนำไปใช้กับหลินเย่ว์หยาง!”
หัวใจของมั่วเซวี่ยนเฝ่ยกระตุกไปโดยไม่รู้ตัว เพื่อที่จะจับตัวจวินเสี่ยนให้ได้ เขาจึงจำเป็นต้องไปขอยาพิษชนิดหนึ่งจากไป๋อวิ๋นเซียน ยาพิษชนิดนี้มีฤทธิ์ในการกล่อมประสาทสามารถรบกวนจิตใจของผู้คน และหลังจากนั้นช่วงเวลาหนึ่ง มันจะทำให้ร่างกายของผู้ที่ถูกพิษค่อยๆ พองตัวขึ้นจนร่างระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ใครก็ตามที่อยู่ในบริเวณนั้น จะถูกพิษตามไปด้วยเนื่องจากโลหิตที่ระเบิดออกมาจากร่างของผู้ที่ถูกพิษแฝงไปด้วยพิษอ่อนๆ นั่นเอง
ฤทธิ์ของละอองพิษที่แฝงมากับโลหิตในร่างต้นกำเนิด จะทำให้ผู้ที่สัมผัสหรือได้กลิ่นของมันสูญเสียความสามารถในการต้านทานโดยตรง และหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานไม่โดยได้รับการรักษา ร่างกายของผู้ที่ถูกพิษนี้ก็จะค่อยๆ อ่อนแอลงเรื่อยๆ และเสียชีวิตในท้ายที่สุด
ยาพิษเช่นนี้ มั่วเซวี่ยนเฝ่ยไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นจากที่ไหนมาก่อนเลย การที่มันถูกนำมาทดลองใช้กับหลินเย่ว์หยาง ก็เพื่อพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงที่ไป๋อวิ๋นเซียนเคยกล่าวไว้ถึงผลลัพธ์ของมัน
เป็นเพราะยาพิษตัวนี้ พวกเขาจึงสามารถจับกุมตัวจวินเสี่ยนได้อย่างง่ายดาย
ฤทธิ์ของยาพิษตัวนี้เรียกได้ว่าดุร้ายและโหดเหี้ยมมาก แม้แต่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็ยังหนาวสะท้านเมื่อหวนนึกถึงผลลัพธ์ของมัน
คำพูดของไป๋อวิ๋นเซียน ทำให้มั่วเซวี่ยนเฝ่ยคาดเดาได้ว่านางจะต้องมีแผนการอะไรบางอย่างแล้วอย่างแน่นอน
“อวิ๋นเซียน อย่าบอกข้านะว่าเจ้านึกวิธีทำให้ทหารนับแสนของกองทัพรุ่ยหลินเคลื่อนไหวไม่ได้ออกแล้ว!” มั่วเซวี่ยนเฝ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ไป๋อวิ๋นเซียนแสยะยิ้มเย็นและพูดว่า “มีอะไรยากกัน! กับศิษย์เอกของสำนักชิงอวิ๋นอย่างข้า เมื่อเทียบกับการหลอมเม็ดยาดีๆ ออกมาสักเม็ด การใช้พิษสำหรับข้านั้นง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ”
ตอนที่ 140 บัวหิมะมัวเมา (1)
การปิดล้อมเมืองหลวงของกองทัพรุ่ยหลิน ทำให้ชาวเมืองต่างก็พากันวิตกกังวล พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงการต่อสู้ระหว่างจวนหลินอ๋องและฮ่องเต้ สิ่งที่ประชาชนอย่างพวกเขารับรู้ มีเพียงแค่ยามนี้กองทัพรุ่ยหลินกำลังล้อมจับโจรชั่วที่ลอบโจมตีองค์ชายรองมั่วเซวี่ยนเฝ่ย เนื่องจากมีบางส่วนของพวกมันหลบหนีการจับกุมไปได้ในวันนั้นและกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ จึงจำเป็นต้องปิดล้อมเมืองหลวงไว้ชั่วคราวป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นหลบหนีไปได้
มั่วเฉี่ยนยวนอาศัยจังหวะที่ผู้คนในเมืองหลวงกำลังตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เริ่มออกไปปรากฏตัวในสายตาของชาวเมืองบ่อยครั้ง เขาคอยซักถามสารทุกข์สุกดิบของประชาชนด้วยความห่วงใย เข้าไปดูแลปลอบประโลมความรู้สึกของพวกเขา ผ่านไปไม่กี่วันชื่อเสียงของมั่วเฉี่ยนยวนก็ทะยานกลับขึ้นสู่จุดสูงสุด บดบังรัศมีอันเจิดจ้าที่มั่วเซวี่ยนเฝ่ยพยายามสั่งสมมานานปีจนหมดสิ้น
จวินอู๋เสียไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอื่นอีกในช่วงนี้ นางเพียงแต่เก็บตัวอยู่ในจวนหลินอ๋องเงียบๆ ตั้งใจบ่มเพาะพลังวิญญาณของตัวเอง
“เจ้านาย ท่านไม่คิดจะตีเหล็กตอนร้อน[1] หน่อยหรือ” แมวดำตัวน้อยนอนอยู่บนขอบสระบัวในสวนดอกไม้ที่จวินอู๋เสียเพิ่งจะทำการย้ายเจ้าดอกบัวขาวของนางมาลงสระ เพื่อขยายพื้นที่ให้มันสามารถเติบโตและเคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้น หางที่มีขนดกฟูสีดำของมันแกว่งสะบัดไปมาเหนือผิวน้ำที่เย็นจัด
จวินอู๋เสียนั่งอยู่บนโต๊ะหินในศาลาริมสระ มองไปยังดอกบัวอีกดอกที่ค่อยๆ แย้มบานออกมาทีละนิดในอ่างบัวใบเล็กที่แยกวางไว้บนโต๊ะหิน แล้วตอบกับเจ้าแมวดำตัวน้อยของนางไปว่า “ยังไม่ใช่เวลานี้ มั่วเฉี่ยนยวนจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเสียก่อน เขาถึงจะสามารถขึ้นสืบต่อบัลลังก์ได้อย่างชอบธรรม”
ถ้ามันสามารถทำได้ง่ายๆ ขนาดนั้น คืนนั้นนางคงทำมันไปแล้ว!
จิตใจของฮ่องเต้ลึกล้ำนัก มิหนำซ้ำวิธีการที่พระองค์ใช้ลงมือแต่ละวิธีก็โหดเหี้ยมและเลวทราม อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของพระองค์ในหมู่ประชาชนไม่อาจไม่กล่าวว่าพระองค์แสดงได้ดีมากจริงๆ ดังนั้นหากนางคิดที่จะตัดปีกของฮ่องเต้และปิดทางหนีทีไล่ของเขา นางก็ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่อาจรีบร้อนได้ ไม่อย่างนั้นหนทางขึ้นสู่การเป็นฮ่องเต้ของมั่วเฉี่ยนยวนจะยิ่งยุ่งยากและลำบากมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เนื่องจากนางตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรผู้ที่นั่งบัลลังก์นี้จะต้องถูกเปลี่ยน นางก็จะทำมันอย่างสวยงามและถูกต้องชอบธรรม
ไม่ใช่เพื่อมั่วเฉี่ยนยวน แต่เป็นเพราะชื่อเสียงของจวนหลินอ๋องจะด่างพร้อยเพราะเรื่องนี้ไม่ได้
ไม่สำคัญสำหรับนางว่าใครจะเป็นผู้ที่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนั้น ขอเพียงแค่ไม่คุกคามจวนหลินอ๋องและกองทัพรุ่ยหลินของนาง ไม่ทำให้พวกนางต้องแปดเปื้อนก็พอ
แมวดำตัวน้อยพยักหน้าครุ่นคิดตาม ในอีกแง่หนึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความคิดของเจ้านายมันนั้นช่างลึกล้ำรอบคอบมากจริงๆ
นี่ใช่หรือไม่ที่เขาเรียกว่าอัจฉริยะกับคนบ้ามักถูกกั้นด้วยกระดาษแผ่นบางๆ
อนิจจา หากว่าความฉลาดทางด้านอารมณ์ของเจ้านายมันตามทันระดับเชาวน์ปัญญาของนางเพียงสักเล็กน้อย ทุกอย่างคงจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้
เมื่อนึกย้อนไปถึงความใกล้ชิดต่างๆ นานาระหว่างจวินอู๋เสียและจวินอู๋เย่า เจ้าแมวดำก็ขดตัวเป็นก้อนกลมอย่างหดหู่
มันควรเปิดชั้นเรียนสอนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงให้กับจวินอู๋เสียอีกสักครั้งดีหรือไม่นะ
เมี๊ยววว!!!
ขณะที่กำลังคิดอยู่เพลินๆ ร่างสีดำของเจ้าแมวดำตัวน้อยพลันกระโจนขึ้นจากริมสระบัวพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังลั่น ตัวของมันดีดขึ้นกลางอากาศด้วยความสะดุ้ง ขณะที่ลอยตัวอยู่ในอากาศ เห็นเพียงแต่ว่าร่างขาวอวบอ้วนของตุ๊กตาตัวน้อยจ้ำม่ำกำลังงับหางของมันอยู่
จวินอู๋เสียปรือตาขึ้นเล็กน้อย มองดูเจ้าดอกบัวขาวตัวน้อยกำลังงับหางของแมวดำของนางอย่างเต็มปากเต็มคำ ก่อนจะถูกมันสะบัดหางเหวี่ยงวิ่งพล่านไปทั่วสวนดอกไม้
“เจ้าเด็กบ้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!” ความเจ็บปวดที่ปลายหางทำให้แมวดำตัวน้อยร้องไห้ออกมา มันยกกรงเล็บข่วนไปที่ร่างเล็กนุ่มนิ่มของดอกบัวขาวน้อยให้เขาเลิกกัดมันได้แล้ว
ผิวที่ขาวราวหิมะของดอกบัวขาวน้อยตอนนี้มีแต่คราบเลือดและร่องรอยขีดข่วนเต็มตัวไปหมด
แงงงง และด้วยความเจ็บนี้เอง ในที่สุดดอกบัวขาวน้อยก็ยอมปล่อยหางของเจ้าแมวดำออกจากปากของเขา ร่างเล็กจ้ำม่ำขดตัวนอนสั่นอยู่บนพื้น ร้องไห้จนตัวโยก
จวินอู๋เสียรู้สึกปวดขมับขึ้นมาในทันที เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดูท่าจะไม่ดีแล้ว นางจึงตัดสินใจลุกขึ้นและเดินเข้าไปอุ้มเจ้าแมวดำตัวน้อยและดอกบัวขาวน้อยไว้ในอ้อมแขนคนละข้าง
“เจ้าเด็กนิสัยไม่ดี! เจ้ากล้าดีอย่างไรมากัดหางของข้า!” แมวดำตัวน้อยยกอุ้งเท้าของมันขึ้นข่วนไปที่แขนขาเล็กป้อมทั้งสี่ข้างของดอกบัวขาวน้อยข่มขู่ให้เขากลัว
“ฮะ…ฮึก…ฮึก ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงแต่ว่าเห็นอะไรสีดำๆ ลอยอยู่ในน้ำ ข้าก็เลยจะกินมันเท่านั้นเอง” ปากของเจ้าดอกบัวขาวน้อยเบ้อย่างไม่พอใจ น้ำตาสีใสยังคงไหลลงมาจากดวงตากลมโตไม่หยุด
“เจ้าโกหกชัดๆ! เจ้าเป็นภูติวิญญาณประเภทพฤกษา ไม่จำเป็นต้องกินอะไรก็ได้!” เจ้าเด็กนี่จะมากเกินไปแล้ว เขาต้องแก้แค้นข้าที่ชอบกลั่นแกล้งเขาทุกวันแน่นอน!
“ไม่…ไม่…ไม่ใช่แบบนั้นนะ” ดอกบัวขาวน้อยตัวสั่นด้วยความกลัว ยิ่งเมื่อเขารับรู้ถึงกลิ่นอายดุร้ายที่แผ่ออกมาจากร่างของเจ้าแมวดำ เขาก็ยิ่งก้มหน้าลงงุด ซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของจวินอู๋เสียมากขึ้น ไม่กล้าเงยหน้าสบตามองอีกฝ่าย
อันที่จริงเจ้าดอกบัวขาวน้อยไม่ได้โกหกแมวดำ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้สีดำๆ ที่สะบัดไปมาเหนือผิวน้ำนั้นเป็นหางของเจ้าแมวดำตัวน้อย เขาคิดว่ามันคงเป็นอะไรสักอย่างที่กินได้ก็เลยงับเจ้าสิ่งนั้นไปเสียเต็มแรง และคล้ายกับความทรงจำจะขาดหายไปชั่วขณะ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองว่ายน้ำไปถึงขอบสระแล้วกัดหางของเจ้าแมวดำได้อย่างไร รู้ตัวขึ้นมาอีกที ตัวของเขาก็เต็มไปด้วยแผลจากการถูกเจ้าแมวดำข่วนแล้ว
—————————————–
[1] ตีเหล็กตอนร้อน หมายถึง ให้รีบตัดสินใจทำสิ่งที่มีประโยชน์เมื่อยังมีโอกาส