บทที่ 88 เขาไม่ใช่มนุษย์
รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กสาวเป็นรอยยิ้มกระจ่างบริสุทธิ์มากแท้ ๆ หากแต่หัวงูยักษ์ผู้ดุร้ายกลับมองรอยยิ้มของนางเป็นดั่งรอยยิ้มจากขุมนรก
เด็กมนุษย์คนนี้….. นางเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงถือครองแรงกดดันอันทรงพลังเช่นนี้ได้!?
ตั้งแต่ที่นางปรากฏตัวขึ้น หัวงูยักษ์ก็เริ่มรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กินลึกถึงจิตวิญญาณ มันกลัวจนสุดหัวใจ อยากหลีกหนีไปให้ไกลยิ่ง
หากแต่พริบตานั้นมันราวกับถูกขังอยู่ในร่างนี้ ไม่ว่าจะพยายามหนีออกไปเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำได้ หัวงูยักษ์ร้องคำรามเสียงดังออกมาด้วยความหวาดกลัว หัวงูเล็กอื่น ๆ ก็ส่งเสียงฝ่อด้วยความกลัวเช่นเดียวกัน
และเมื่อเด็กสาวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า การกระทำของนางก็ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
นางดูมีอายุสิบกว่าปี ท่าทางอ่อนแอเปราะบาง หากแต่กลิ่นอายที่ราวกับมีมาแต่กำเนิดที่แผ่กำจายจากร่างนั้นมีพลังสูงส่ง
เด็กสาวในชุดกระโปรงขาวค่อย ๆ เดินเข้าใกล้ชายที่ครึ่งร่างถูกปีศาจกัดกิน เต็มไปด้วยหัวงูนับไม่ถ้วน หัวงูยักษ์ใช้ดวงตาที่สั่นไหวของมันจ้องไปยังเด็กสาว ส่วนหัวงูเล็ก ๆ เบื้องล่างต่างพากันหงิกงอหดลงด้วยความหวาดกลัว ไม่ขยับเขยื้อนทำได้เพียงสั่นน้อย ๆ เท่านั้น มองดูแล้วออกจะน่ารักน่าสงสารอยู่บ้าง
แต่ชิงอวี่ไม่เห็นเป็นเรื่องขบขัน นางเอ่ยเสียงภายในใจตนอย่างไร้อารมณ์ “พอแล้วไหมไหม หยุดล้อเล่นได้แล้ว มันกลัวเจ้าจนจะตายอยู่แล้ว”
น่าละอายนัก มีแรงกดดันจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปอย่างเจ้าเช่นนี้ ปลาเล็กปลาน้อยอย่างพวกมันจะทนไหวหรือ? เช่นนี้เป็นการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าหรือไม่?
จั้งไหมหัวเราะหึออกมา “ก็ได้ ๆ ใครทำให้พวกมันกลัวกัน? ขี้ขลาดเช่นนี้แล้วยังคิดจะทำเรื่องบาปหนาอีก อย่างไรแดนนี้ก็เป็นแดนระดับต่ำ หากขึ้นไปยังแดนระดับสูงที่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบขึ้นไปอยู่ทั่วแดนแล้วละก็ มันก็คงถูกอสูรเหล่านั้นขยี้จนไม่เหลือซากแล้วกระมัง”
ชิงอวี่ย่อมไร้ความสามารถที่จะทำให้หัวงูยักษ์เกรงกลัวเช่นนี้ได้ เป็นเพราะเด็กหนุ่มในร่างของนางต่างหาก
แม้เขาจะเป็นจิตวิญญาณอาวุธ แต่ที่น่าประหลาดคือจั้งไหมเองก็เป็นจิตวิญญาณอาวุธอสูรศักดิ์สิทธิ์หายากที่มีร่างเดิมคืองูหลามแรดยักษ์ทองคำระดับจักรพรรดิในหมู่อสูร วันนี้ได้พบกับอสูรประเภทเดียวกัน แค่เรื่องระดับก็สูงกว่าราชันอสรพิษทมิฬมากแล้ว
“หือ? คนผู้นี้แปลก” จั้งไหมพลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“มีอะไรหรือ?” ชิงอวี่ถาม หันไปมองชายผู้นั้น เขาคงถูกดูดพลังวิญญาณไปจนหมดจึงหมดสติไป หากแต่ดูใบหน้าเขาแล้ว ทั้งเลือดและเนื้อบนร่างไม่ได้ดูย่ำแย่มากนัก
แต่มีสิ่งผิดปกติใดหรือ?
“เขาไม่ใช่มนุษย์” เด็กหนุ่มผมทองพูดขึ้นเสียงมั่นใจ
ชิงอวี่สับสนเล็กน้อย ไม่อาจตอบกลับได้ “หา?”
หมายความว่าอย่างไร….. ที่ว่าไม่ใช่มนุษย์?
“นายหญิง ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมมันถึงต้องการคุมเอาร่างคนผู้นี้?” จั้งไหมพูด ส่งเสียงจุ๊ ๆ ออกมาสองครั้งราวกับเพิ่งพบเรื่องน่าสนใจ
“ภายในร่างของผู้ชายคนนี้….. เลือดครึ่งหนึ่งของเขามาจากเผ่าอสรพิษ อีกทั้งยังเป็นสายเลือดระดับสูงเสียด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุล่อมันเข้ามา ข้าคิดว่ามันคงหวังครองร่างเขามานานแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จเพราะพลังจากสายเลือดของเขาสูงส่งมากเกินไป เขาคงจะตกอยู่ในสภาพอ่อนแอจนมันสามารถฉวยจังหวะนั้นคุมเอาร่างเขามาได้”
“สายเลือดเผ่าอสรพิษหรือ?” ชิงอวี่ประหลาดใจ “เช่นนั้นเสี่ยวเยี่ย…..”
“ตั้งแต่โบราณมา เผ่าหมาป่าและเผ่าอสรพิษ….. นับเป็นศัตรูคู่อาฆาต…..”
เช่นนั้นแล้วนางสมควรช่วยคนผู้นี้หรือไม่?
“นายหญิง ต่อไปหากสายเลือดของชายผู้นี้ตื่นขึ้นเต็มที่ ความสามารถของเขาจะไม่ด้อยไปกว่าเด็กคนนั้น ชิงเยี่ยหลี เลยแม้แต่น้อย เขาอาจเป็นประโยชน์ต่อนายหญิงได้” จั้งไหมแนะนำ
“อืมมม….. ข้าไม่ได้คิดอะไรมากหรอก เฮ้อ! ช่วยชีวิตคนได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นอยู่แล้ว!” ชิงอวี่พึมพำกับตนเองอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นนางจึงนั่งลง
หัวงูยักษ์ถูกแรงกดดันจากไหมไหมตรึงร่างไว้จนไม่อาจแม้แต่จะป้องกันตน ทั้งยังยอมแพ้ไม่พยายามหนีอีกต่อไป ได้แต่รอความตายคืบคลานเข้าหา
อย่างน้อยมันก็รู้ชะตาตนเอง
ชิงอวี่ยกยิ้ม ลูกบอลเพลิงสีทองเหลือบแดงผุดขึ้นกลางฝ่ามือ จากนั้นนางก็ส่งพลังไปเป็นกรงเล็บ คว้าจับที่ทางปิดวิญญาณที่อยู่เหนือศีรษะของชายตรงหน้า
เหล่าคนจากตำหนักนักฆ่าที่อยู่ด้านข้างตะลึงไป ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใด ก็เห็นว่าเด็กสาวกดมือกลับมา ใช้มืออีกข้างหยิบขวดใสขวดเล็กออกมา จากนั้นเปิดจุกออกจากนั้นรีบปิดฝาขวดทันที
นางทำสิ่งเหล่านั้นเพียงชั่วสองลมหายใจเท่านั้น
ทุกสายตาจดจ้องไปยังขวดเล็กในมือนาง เห็นว่ามีลูกบอลเพลิงสีทองเหลือบแดงกำลังหมุนเวียนวนอยู่รอบสิ่งมีชีวิตสีดำสนิท มันมีรูปร่างผอมยาวราวกับไส้เดือนดิน
ส่วนหัวงูทั้งหลายบนร่างของชายผู้นั้นก็พากันหายไปไม่ทิ้งร่องรอยใด นอกจากทั่วทั้งร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดแล้ว เขาก็กลับมาดูมีรูปร่างเฉกเช่นมนุษย์อีกครา
ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองไปยังเหล่าชายหนุ่มที่มองนางราวกับวิญญาณหลุดจากนั้น เห็นดังนั้นนางก็หัวเราะเสียงเบาออกมา “ร่างกายเขาไม่เป็นไรแล้ว พาเขาไปทำความสะอาดร่างเถอะ แล้วให้เขาแช่น้ำกับเจ้าสิ่งนี้ด้วย”
พูดจบ นางก็โยนขวดที่มีไส้เดือนดินอยู่ด้านในให้เฟิงฉีที่ยืนอยู่หน้าสุด
เขารับมันมาโดยสัญชาตญาณ จากนั้นมองสิ่งมีชีวิตที่ดิ้นอยู่ในนั้นที่ถูกเพลิงแผดเผาจนกลายเป็นสีแดง “มันคือสิ่งใด?”
ชิงอวี่อดยิ้มไม่ได้ “คือร่างจริงของราชันอสรพิษทมิฬ งูคำสาป”
นางพูดจบ เฟิงฉีก็แทบจะโยนขวดนั้นทิ้ง หันมาเบิกตาโตมองนาง “ให้แช่น้ำที่ใส่….. เจ้านี่ไว้น่ะหรือ!?”
“ได้ยินไม่ผิด แช่เจ้านี่ไว้ในน้ำอาบ ข้ากลั่นมันด้วยไฟโลหิตเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กลายเป็นยาชนิดหนึ่งที่จะช่วยดูดซับพิษที่หลงเหลืออยู่ในร่างเขาออกจนหมด หลังจากนั้นมันก็จะไร้ประโยชน์ เจ้าทิ้งมันไปได้เลย” ชิงอวี่อธิบาย
“ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือ แม่นางคือ…..”
เฟิงฉียังพูดไม่ทันจบประโยค เสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้น มู่ฉือวิ่งหอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว “เป็น….. เป็นไปได้อย่างไร…..”
เป็นตอนที่เข้ามาถึงเขาจึงเห็นว่าชายที่ร่างกายเป็นดั่งปีศาจเมื่อก่อนหน้า ตอนนี้กลับสู่สภาพเดิมแล้ว บรรยากาศเงียบเชียบผิดปกติ “จัดการแล้วหรือ?”
ชิงอวี่เห็นเขาที่วิ่งหอบมา นัยน์ตาหงส์นางเชิดขึ้นเล็กน้อย “ข้าบอกให้เจ้ามากับข้าแล้วแต่เจ้าปฏิเสธ เหนื่อยหรือไม่?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าพูดจริง?” มู่ฉือครวญขึ้นด้วยเสียงเศร้า
เมื่อครู่ตอนนางเดินทางออกจากจวนหย่งอันอ๋อง หลังจากสอบถามสถานที่จนมั่นใจแล้ว นางก็ถามเป็นเชิงแนะนำว่านางสามารถพาเขาเดินทางผ่านอุโมงค์มิติไปจะถึงที่หมายได้โดยไว
หากแต่มู่ฉือส่งสายตา “เจ้าต้องล้อข้าเล่นแน่ ๆ” ใส่นาง ชี้ให้เห็นว่าไม่เชื่อคำที่นางพูด วิชาเดินทางอุโมงค์มิติมีแต่คนจากแดนระดับสูงจึงจะสามารถทำได้ หาได้ยากในแดนระดับกลางที่จะมีวิชาเช่นนี้
และไม่น่าเชื่อว่าจากนั้นนางก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาเขา!
มู่ฉือรู้สึกในพลันว่าตั้งแต่ได้พบนาง ก็มีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่ตลอด ทั้งวิชาแพทย์อันสูงส่ง วิชาต่าง ๆ ที่ลึกล้ำ อีกทั้งยังมีวิชาอุโมงค์มิติ ไม่รู้ว่านางยังซ่อนความลับอื่นใดอยู่อีกบ้าง
นางเป็นตัวประหลาดแท้!
ได้ยินน้ำเสียงตัดพ้อแล้ว ชิงอวี่ก็มองเขาสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าไม่พูดอันใดไร้สาระ”
มู่ฉืออยากกระอักเลือดเสียตรงนั้น นางมั่นใจในตนเองมากเสียจริง
“หรือเจ้าจะเป็นสหายที่คุณหนูมู่กล่าวถึง? นักปรุงยาที่มีฝีมือด้านการแพทย์สูงส่ง?” เฟิงฉีเห็นมู่ฉือตามหลังนางมา อีกทั้งดูจะคุ้นเคยกับอีกฝ่ายดี ดังนั้นจึงเดาตัวตนของนางได้
“ถูกต้อง เป็นนาง” น้ำเสียงแม่นางผู้เยียบเย็นไร้อารมณ์อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
ชิงอวี่เพื่องสังเกตเห็นแม่นางร่างผอมสูงในชุดต่อสู้สีดำ นางยืนหันข้างอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด ยามนางหันมาจึงเห็นใบหน้านางได้อย่างชัดเจน
เป็นใบหน้าที่ไม่ได้โดดเด่นมากนัก อาจกล่าวได้ว่าเป็นใบหน้าธรรมดาเรียบง่ายของแม่นางคนหนึ่ง กลมกลืนไปกับหมู่คน หากแต่นางเกิดมาพร้อมกับนัยน์ตางดงามราวสายน้ำฤดูใบไม้ผลิ ทั้งส่องประกายมีเสน่ห์ ยิ่งส่งให้ใบหน้าเรียบง่ายของนางดูงดงามมากยิ่งขึ้น
ท่าทางห่างเหินเย็นชา ดูเย่อหยิ่ง ไม่อาจเข้าใกล้ได้
แต่เป็นท่าทางถือตัวเช่นนั้นที่ทำให้ชิงอวี่จดจำนางได้
ท่าทางหยิ่งยโสเย็นชาของนางนั้น ต่างจากท่าทางไม่แยแสของเยี่ยนหนิงลั่วที่ดูแล้วราวกับนางเป็นเซียนที่ไม่กินอาหารมนุษย์ ราวกับนางเกิดมาเป็นเช่นนั้น ทั้งเย่อหยิ่งไม่ใส่ใจผู้ใด ราวกับไม่มีใครมีค่าพอให้นางชายตามอง ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ไร้สหายมากหน้าหลายตาที่สามารถพูดคุยอย่างจริงใจได้
หากแต่คนที่มีนิสัยเช่นนี้ย่อมมีนิสัยถึงไหนถึงกัน ส่งสายตาดูถูกมองทุกสิ่งอย่าง หากแต่เมื่อใส่ใจใครบางคนแล้ว ความรู้สึกนั้นจะฝังลึกลงในจิตใจ ยอมมอบทุกสิ่งอย่างให้คนผู้นั้น ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดมาก็จะทำโดยไร้ความเสียใจ
เพราะคนที่มีนิสัยเช่นนี้แล้ว สหายสนิทนั้นหาได้ยากยิ่ง หากได้ใส่ใจใครสักคนหนึ่งแล้ว คนผู้นั้นจะสำคัญกับพวกเขามาก
นางเคยบอกว่านางไร้สหายใด แต่สำหรับชิงอวี่แล้ว นับเป็นเพียงคนเดียวที่นางยอมรับเป็นสหาย
ชิงอวี่จำได้ว่าเป็นเมื่อราวสี่ปีก่อน ตอนที่นางยังคิดหาทางรักษาขาของเสี่ยวเป่ยจนหัวแทบแตก
แก่นเพลิงเยือกแข็งเป็นสิ่งที่อาจพบเจอได้แต่ไม่อาจได้มาในครอบครอง นางค้นสถานที่อันตรายจนเกือบทั่วแดน เป็นตอนนั้นเองที่นางพบกับคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกอสูรวิญญาณระดับเจ็ดที่หาได้ยากยิ่งโจมตีอยู่
ตอนนั้นนางเพิ่งอายุได้สิบขวบ คนที่มีอายุมากที่สุดในหมู่คนกลุ่มนั้นอายุราวสิบแปด นางยังจำได้ว่าคนกลุ่มนั้นพยายามหาเหยื่อล่ออสูรวิญญาณระดับเจ็ดตัวนั้นไปเพื่อให้พวกตนหนีรอดไปได้ พวกเขาจึงทิ้งเด็กหญิงตัวน้อยไว้คนหนึ่ง
เดิมทีนางก็ไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่น หากแต่เมื่อเห็นเด็กหญิงที่ดูอ่อนแอเปราะบาง แต่นางมียันย์ตาที่ดุร้ายกระหายเลือด กระทั่งอสูรวิญญาณที่ตัวใหญ่กว่านางนับสิบเท่ายังไม่อาจขู่นางให้กลัวได้ นางไม่ยอมแพ้ ต่อสู้กับมันต่อไปแม้ร่างตนจะเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดมากมายหลั่งไหลออกมาตลอดเวลา
เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงผู้นั้นสู้สุดกำลังจนหมดแรง กำลังจะถูกอสูรกลืนลงท้อง ชิงอวี่คิดว่าเด็กคนนั้นคงจะยอมแพ้แล้ว หากแต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับใช้แรงเฮือกสุดท้าย เกร็งร่าง ใช้มีดสั้นที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อแทงตาของอสูรตัวนั้นจนตามันบอด ยิ่งทำให้อสูรร่างยักษ์โกรธเกรี้ยวนัก มันง้างกรงเล็บแหลมคมออกมา หมายจะฉีกร่างนางเป็นชิ้น ๆ
เป็นพริบตานั้นเองที่ชิงอวี่ถูกเด็กน้อยคนนั้นสั่นสะท้านในจิตใจ นางรีบพุ่งเข้าไปช่วยเด็กหญิงจากกรงเล็บอสูร จากนั้นซัดเข็มทองอาบพิษร้ายออกไปฝังลงในร่างอสูร ร่างใหญ่โตของมันล้มลงกับพื้นก่อนจะสิ้นใจเพราะพิษทันที
ชิงอวี่พันแผลให้เด็กหญิง ตลอดเวลานั้นเด็กหญิงไม่ละสายตาใสกระจ่างออกจากร่างชิงอวี่เลย
จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นว่า “คนพวกนั้นคือพี่น้องในตระกูลที่เติบโตมาพร้อมกันกับข้า ข้าพยายามปกป้องพวกเขาสุดชีวิต แต่พวกเขากลับหันหลังให้ข้า ใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อ ทอดทิ้งข้าไว้”
“นอกจากท่านพ่อแล้ว ไม่มีใครปฏิบัติกับข้าดีเช่นนี้มาก่อน จากนี้ต่อไป เจ้าเป็นสหายของมู่ไหล สหายคนเดียวของข้า”
สหายคนเดียว….. ของนาง
ชิงอวี่ได้ยินน้ำเสียงจริงจังของเด็กหญิงแล้วก็ให้ชะงักไป จากนั้นนางจึงคลี่ยิ้มออกมา “เป็นเกียรติยิ่งนัก ข้ามีนามว่าชิงอวี่”