บทที่ 89 ความลับอันน่าเหลือเชื่อ

นางยังจำได้ว่าที่นั่นเป็นรังอสูรวิญญาณที่อยู่ทางตอนเหนือของแดนมุกหยก

ตั้งแต่โบราณมา หลินจือศักดิ์สิทธิ์จะมีอสูรวิญญาณปกปักรักษาอยู่ ชิงอวี่เองก็ลองไปเสี่ยงโชคที่นั่นด้วยเช่นกัน

หลังจากช่วยเหลือมู่ไหลไว้ พวกนางก็ได้อยู่ด้วยกันราวครึ่งเดือน แต่เพราะเหตุการณ์ประหลาดบางอย่างพวกนางจึงเผชิญหน้าเข้ากับฝูงอสูรที่แตกตื่น ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถทำให้ฝูงอสูรนับพันให้แตกตื่นเช่นนี้ได้ พวกมันวิ่งพล่าน ก่อเกิดเป็นพายุทรายลูกหนึ่ง

ชิงอวี่ชะงักค้างไป ถูกพายุทรายดูดเข้าไปทันที ตอนที่เท้านางแตะถึงพื้น ก็พบว่าตนเองมายืนอยู่ในเขตแดนแดนธาราขาวแล้ว จากนั้นนางจึงได้พบโหลวจวินเหยาและคนของเขา และชิงเอาแก่นเพลิงเยือกแข็งที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณมาจากมือเขา

หลายปีหลังจากนั้น ชิงอวี่ก็ไม่ได้พบกับเด็กหญิงคนนั้นอีก นอกจากชื่อแล้วนางก็ไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับเด็กหญิงผู้นั้นอีกเลย

นางมุ่งเพียงการบำเพ็ญเพียร ไม่สนเรื่องราวภายนอก นางจึงไม่รู้ว่าหลังจากมู่ไหลหลบหนีออกจากความโกลาหลในครั้งนั้นได้ มู่ไหลก็ส่งคนออกตามหาตัวนางในที่นั้นอยู่ถึงสามเดือนเต็ม หลังจากค้นแล้วไม่พบคน มู่ไหลก็หดหู่ไปนาน จากนั้นนิสัยจึงยิ่งเย็นชาไม่แยแสยิ่งกว่าเดิม

ตอนนี้ทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เวลาสีปีผ่านพ้นไป ใบหน้าไร้เดียงสาของคนทั้งคู่เติบโตผลิบานขึ้น ต่างจากตอนพวกนางยังเด็กนัก หากแต่ยังมีคนบางคนที่ไม่จำเป็นต้องมองหน้าตา หากแต่สัมผัสกลิ่นอายไม่ธรรมดาที่แผ่ออกจากร่างก็สามารถจำคนผู้นั้นได้ทันที

ไม่เป็นที่แปลกใจนักที่ชิงอวี่และมู่ไหลเป็นคนจำพวกนั้น เป็นเหล่าคนที่ครอบครองกลิ่นอายสูงส่งไม่เหมือนใคร

ครั้งแรกที่พบกัน เด็กหญิงสวมชุดไม่เข้ากับอายุตนอย่างยิ่ง เป็นชุดสีดำทะมึนไปทั้งร่าง ทำให้นางดูไม่น่าเข้าใกล้

แต่ชิงอวี่รู้ว่าเด็กหญิงนั้นมีจิตใจอ่อนโยน นางกะพริบตาคราหนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนบางเบา “ไหลไหล ไม่พบกันนาน”

ร่างของหญิงสาวที่แผ่กลิ่นอายเย็นชาไม่แยแสพลันแข็งเกร็งไปในพลัน จากนั้นหูที่ซ่อนอยู่หลังเรือนผมของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงแทบไม่อาจสังเกตเห็น

เช่นนั้นเป็นการเรียกนางที่สนิทสนมยิ่ง ชื่อไหลไหลของนาง

กระทั่งท่านพ่อยังไม่เรียกนางด้วยชื่อที่สนิทสนมเช่นนั้น

หลังจากปีที่พวกนางขาดการติดต่อกัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร นางก็ยังคงเชื่อว่าคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่อยู่ในสถานที่ที่นางไม่รู้จักเท่านั้น

แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี แต่นางไม่เคยลืมตัวตนของคนผู้นั้น คนที่ช่วยเหลือนางที่ถูกทอดทิ้งจากพี่น้องตนเองจากกรงเล็บของอสูรวิญญาณตัวนั้น

คนที่พันแผลให้นาง ที่คอยอยู่ในรังอสูรวิญญาณที่ทั้งดำมืดและอันตรายยิ่งเช่นนั้นกับนาง

คนที่กล้าหันหลังปกป้องนางได้อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ตอนหาอาหารมาประทังความหิวได้ก็สละให้นางกินก่อน

คนที่คอยดูแลยามนางบาดเจ็บ คนที่คอยเฝ้านางยามหลับตา

คนผู้นั้นเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่านางเท่านั้น หากแต่กลับทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจ ทั้งยังรู้สึกสนใจและชื่นชอบได้มากถึงเพียงนี้

ตอนนี้คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้านาง กำลังส่งยิ้มมาให้นาง

มู่ฉือสัมผัสความรู้สึกแปลกประหลาดจากภาพตรงหน้าได้ เมื่อเห็นสีหน้าของพี่สาวตนแล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ในตอนที่สมองกำลังคิดว่าระหว่างพวกนางมีความรักความแค้นอันใดเกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือไม่ เขาก็เห็นว่ามู่ไหลเคลื่อนกายไป นางเดินไปข้างหน้าหลายก้าว จากนั้นก็อ้าแขนทั้งสองข้างออก กอดชิงอวี่ไว้แน่น

มู่ฉืออ้าปากค้าง “….. ??!”

นาง….. เข้าไปกอดหรือ!?

มู่ไหลตัวสูงมาก เป็นความสูงที่เหนือกว่าสตรีส่วนมาก ดังนั้นเมื่อเข้าสวมกอดกับเด็กสาวชิงอวี่ที่มีความสูงพอ ๆ กับนาง แม้จะสูงกว่านางเพียงครึ่งศีรษะ แต่ดูจากท่าทางแล้วนางได้กลายเป็นพี่สาวไปแล้ว!

แม่นางสองคน คนหนึ่งชุดดำ คนหนึ่งชุดขาว กอดกันแน่นเช่นนั้น อธิบายได้ยากยิ่งว่าทั้งสองคนดู….. เหมาะสมกันดี!?

มู่ฉือคิดเองเออเองแล้วก็ชะงักค้างไปกับความคิดตน รีบสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไปทันที

ชิงอวี่มีคนที่ชอบแล้วไม่ใช่หรือ? เขากระทั่งเคยพบหน้าคนผู้นั้นมาก่อน เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางมีพลังล้ำลึก ดังนั้นรสนิยมทางเพศของชิงอวี่ต้องไม่มีปัญหาแน่

แต่พี่สาวของเขานั้น….. ไม่อาจมั่นใจได้จริง ๆ!

นางเป็นสตรีแกร่งใจแข็งยิ่งนัก บุรุษทั้งหลายต่างอ่อนแอราวลูกไก่ในสายตานาง นางยังดูสมกับเป็นบุรุษมากกว่าชายหนุ่มรอบกายนางตั้งหลายคน

ส่วนสตรีนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าว พวกนางเป็นเพียงดอกบัวขาวที่อ่อนแอบอบบาง ได้แต่วางแผนลวงอีกฝ่ายเพื่อเหนือกว่า นางเกลียดชังหญิงสาวอ้อนแอ้นแบบบางเช่นนั้นยิ่งนัก หากพวกนางเดินมาพบหน้านางยามอารมณ์ไม่ดีละก็ นางก็คงมิวายใช้หมัดสนทนาแทนปาก

เขาไม่เคยเห็นมู่ไหลปฏิบัติตนสุภาพกับใครมาก่อน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้

หรือ….. หรือว่าคนที่มู่ไหลชอบคือ….. ชิงอวี่?!

สีหน้ามู่ฉือพลันเปลี่ยนเป็นสะพรึงกลัว ไม่คิดว่าตนเองจะมีสมองเฉียบแหลมเช่นนี้!

ดูท่าเขาจะค้นพบความลับอันน่าเหลือเชื่อเข้าแล้ว!!

เมื่อถูกสวมกอดฉับพลันเช่นนี้ ชิงอวี่ก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง “เจ้าสบายดีหรือไม่?”

ภาพเช่นนี้คุ้นตานัก เหตุใดสหายของนางจึงชอบใช้การสวมกอดเพื่อแสดงความตื่นเต้นยินดีทั้งหลายในใจกัน?

นางถามมาเช่นนั้น มู่ไหลจึงผละออกมา จากนั้นจ้องใบหน้างามของอีกฝ่ายนิ่ง “เช่นนั้น….. เจ้าคือธิดาของหย่งอันอ๋องหรอกหรือ”

ไม่แปลกที่นางตามหาเท่าไหร่ก็ไร้ร่องรอย นางไม่คิดว่าคนผู้นี้จะมาจากจวนหย่งอันอ๋อง

“ไม่คิดว่าคุณหนูจากตระกูลนักปรุงยาอันเลื่องชื่อจะคือไหลไหล เจ้าเก่งมากจริง ๆ!” ชิงอวี่ยิ้มกล่าว ดวงตาทั้งสองข้างหยีเป็นเส้นโค้ง

แต่มู่ไหลได้ยินดังนั้นกลับไม่เผยรอยยิ้ม นัยน์ตานางทะมึนลง มองไปทางชิงอวี่ “เลื่องชื่อหรือ? เจ้าเยาะเย้ยข้างั้นหรือ? หากเลื่องชื่อจริงเหตุใดเจ้าจึงไม่เคยออกตามหาข้า? เจ้าคงไม่ได้ใส่ใจสหายเช่นข้ามากกระมัง…..”

นางเอ่ยคำเหล่านั้นออกมากด้วยเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์แท้ ๆ แต่ชิงอวี่กลับสามารถสัมผัสได้ถึงความเสียใจน้อย ๆ เจือปนอยู่ในน้ำเสียง

ชิงอวี่ถอนหายใจเสียงเบา “หลังจากตอนนั้นข้าก็ถูกพาไปแดนธาราขาว ใช้เวลากว่าครึ่งปีกว่าข้าจะหาทางกลับมาได้ ขาของน้องชายข้าที่กำลังหายก็อยู่ในช่วงสำคัญ อีกทั้งพวกข้ายังต้องคอยรับมือกับแผนร้ายและมือสังหารทั้งหลายอีก ข้าไม่อาจมีเวลาว่างจากเรื่องเหล่านี้ได้เลยจริง ๆ”

เรื่องอาการของน้องชายชิงอวี่นั้น ตอนที่ทั้งสองคนรู้จักกันคราแรก มู่ไหลก็รู้เรื่องนี้แล้ว รับรู้ว่านางมีน้องชายที่ชะตาน่าสงสาร ดังนั้นเมื่อได้ยินชิงอวี่เอ่ยถึงเขา นางจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

“เขายืนได้แล้ว ตอนที่ข้าไปยังแดนธาราขาว ข้าพบกับแก่นเพลิงเยือกแข็งระดับสูงเข้า เด็กคนนั้นโชคดีในโชคร้ายนัก ไม่เพียงแต่ขาหายดี แต่เส้นพลังในร่างได้รับการชะล้างและกระตุ้น กลายเป็นคนมีความสามารถไปจากเดิมทีที่ร่างกายแทบพังพินาศ” ชิงอวี่คลี่ยิ่ม เอ่ยไปส่ายหัวไป คิดถึงโชคที่เจ้าเด็กที่เรือนได้รับ

มู่ไหลเงยหน้าขึ้นช้า ๆ “เป็นความหวานที่ได้มาหลังจากผ่านความขื่นขม” พูดจบ นางก็ทำท่าเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นเลิกคิ้วเอ่ยถาม “อีกหกเดือนจะมีการประลองเข้าสำนัก เจ้าได้ตัดสินใจหรือยัง?”

ชิงอวี่ฟังคำถามแล้วชะงักไปเล็กน้อย “อืม เสี่ยวเป่ยและข้าจะไปสำนักละอองหมอก”

“บังอิญจริง” มู่ไหลพูด เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ข้าก็คิดไปสำนักละอองหมอก แต่ข้าไม่สนเรื่องการประลองคัดเลือกอะไรนั่น ข้าเพียงต้องการบ่อวิญญาณที่อยู่ในสำนักละอองหมอกเพื่อช่วยให้ข้าทะลวงผ่านขั้น กลายเป็นนักปรุงยาขั้นทองคำ”

ชิงอวี่พยักหน้าเข้าใจก่อนเผยรอยยิ้ม “ถึงตอนนั้นข้าก็จะมีสหายแพทย์เพิ่มอีกคน”

“ดี เช่นนั้นตกลงแล้วว่าเราจะไปเจอกันที่นั่น” มู่ไหลเอ่ยขึ้น นัยน์ตาล้ำลึก “ครั้งนี้เจ้าคงหาตัวข้าได้ไม่ยาก”

ชิงอวี่ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

มู่ฉือที่อยู่ด้านข้างมองคนทั้งคู่สนทนากันอย่างมีความสุข เขาชาไปทั่วทั้งร่างด้วยความตกตะลึง ยามได้เห็นด้านอ่อนโยนเช่นนี้ของสตรีผู้หยิ่งผยอง ภาพตรงหน้าเกือบทำเขาตาบอด

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาเริ่มมั่นใจ นั้นคือชิงอวี่ต้องเป็นคนที่มู่ไหลชอบอย่างแน่นอน!

ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยว เขาควรจะ….. เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เตือนชิงอวี่ดีหรือไม่? อย่างไรนางก็เคยเป็นแม่นางที่เขาเคยชอบ แม้นางจะไม่ได้ชอบเขาตอบ แต่การที่นางดันสะดุดตามู่ไหลเข้าเช่นนี้….. อันตรายยิ่งนัก!

มู่ไหลที่อยู่อีกด้านกำลังโบกมือเรียกให้เขาเข้าไปหา แสดงท่าทางเป็นมิตรให้เขาอย่างหาได้ยาก กระทั่งใบหน้าน้ำแข็งของนางตอนนี้ยังมีรอยยิ้มบางประดับอยู่ “อาฉือ ชิงอวี่คือสหายคนเดียวที่ข้านับเป็นสหาย นางเคยช่วยชีวิตข้าไว้ แต่….. พวกเจ้าสองคนรู้จักกันได้อย่างไร?”

มู่ไหลยังไม่ลืมว่าเขาเป็นคนเสนอว่าเขาจะเป็นคนไปตามตัวชิงอวี่ นางไม่คิดว่านางออกตามหาชิงอวี่มานานไม่พบแม้ร่องรอย แต่เขากลับเจอนางได้

แต่มู่ฉืออยู่ในสำนักไร้สิ้นสุดมาตลอด ออกมาเพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น ไม่กลับมายังตระกูลมู่เพื่อพบท่านพ่อ ไม่เช่นนั้นก็ไปหาสหายของเขาเพื่อชวนกันไปดื่มสุรา เหตุใดจึงมารู้จักกับชิงอวี่ได้?

มู่ฉือยังไม่ทันตอบ เป็นชิงอวี่ที่หัวเราะเสียงเบาออกมา “ข้ามีความสัมพันธ์กับพวกเจ้าสองพี่น้องแนบแน่นนัก ก่อนหน้านี้เขาดื่มจนเมา เข้าไปพัวพันกับคนกลุ่มหนึ่งและถูกพิษเข้า จากนั้นก็ร่วงลงมายังเรือนของข้า ข้าจึงช่วยเขาไว้”

“อืม จากนั้นนางก็หลอกเอาทองคำหนึ่งล้านตำลึงจากข้า” มู่ฉือพูดต่อ ส่งสายตาน่าสงสารไปยังชิงอวี่

มู่ไหลได้ยินแล้วก็หัวเราะหึออกมาอย่างดูถูก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าชิงอวี่เป็นนักปรุงยาระดับสูงเพียงไหน? ยาที่นางปรุงทั้งบริสุทธิ์และมีผลเต็มเปี่ยม ไร้สิ่งใดเจือปนให้หม่นหมอง แทบไม่มีนักปรุงยาใดในแดนนี้สามารถปรุงยาที่บริสุทธิ์เช่นนั้นออกมาได้ เจ้าคิดว่าหากนำยาขวดหนึ่งของนางออกขายในตลาดมืด หนึ่งล้านตำลึงทองยังคงน้อยไปกระมัง?”

มู่ฉือ “…..” เช่นนั้นถือว่าเขาได้กำไรงั้นหรือ?

แต่….. เขาเอ่ยออกไปเพียงหนึ่งประโยค พี่ ท่านไม่ปกป้องนางมากไปหน่อยหรือ? ท่านมองให้ดี ที่ท่านพูดอยู่คือน้องชายของท่าน ท่านปกป้องผิดคนหรือเปล่า??

ชิงอวี่เห็นสองพี่น้องทะเลาะกันก็หัวเราะออกมา นางมองออกไปด้านนอก เห็นว่าฟ้าใกล้สาง สีของท้องฟ้าใกล้จะเปลี่ยนในอีกไม่ช้า

คนจากตำหนักนักฆ่ากังวลเรื่องบาดแผลของพวกพ้องตน ดังนั้นจึงนำตัวอาจ้านกลับห้องตามคำชิงอวี่ไปในทันที ทำความสะอาดบาดแผล จากนั้นจับแช่น้ำเพื่อดูดพิษออกจากร่าง

มู่ไหลและคนอื่น ๆ ยืนคุยกันอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินไปดูอาการเขาด้วยกัน

เขาต้องแช่น้ำนานถึงสองชั่วยาม ไอน้ำลอยขึ้นล้อมกาย นัยน์ตาเขาปิดสนิท ใบหน้าเริ่มมีสีเลือดมากขึ้นจากน้ำอุ่น ๆ ที่แช่อยู่

หลังจากหัวงูยักษ์หน้าตาชั่วร้ายหายที่คิดครองร่างเขาไปแล้ว มองใบหน้าเขาตอนนี้ เป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงาม ไม่แพ้สตรีหน้าไหน ใบหน้าล้ำลึก คิ้วลากยาวเกือบถึงขมับ เป็นชายหนุ่มที่มองเพียงครั้งแต่จับสายตาคนได้อยู่ หากนัยน์ตาคู่นั้นเปิดขึ้นจะน่ามองถึงเพียงไหน

หากแต่จุดที่น่ามองที่สุดคือริมตาข้างซ้าย ข้างล่างตาซ้ายเขามีรอยดอกไม้บานสีดำ ขนาดเล็กเท่าหนึ่งเล็บมือ แม้จะเป็นเพียงดอกเล็ก ๆ แต่รายละเอียดของกลีบดอกแต่ละกลีบนั้นเห็นได้ชัดมาก มันมีรูปร่างแปลกตา เป็นดอกไม้ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน

ดอกไม้สีดำประดับอยู่ล่างตาซ้ายเขาเช่นนั้นช่วยส่งให้ใบหน้าของชายหนุ่มดูลึกลับชั่วร้ายขึ้นกว่าเดิม