บทที่ 94 แผนที่เศษผ้า

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 94 แผนที่เศษผ้า

บทที่ 94 แผนที่เศษผ้า

ลู่หยวนผู้นี้แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ?

เขาไม่ได้อยู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์หรอกหรือ?

เสิ่นโตวครุ่นคิดสักพัก การที่คุณชายลู่แข็งแกร่งนับเป็นเรื่องที่ดี ในอนาคตที่เขากลายมาเป็นลูกเขย ตระกูลเสิ่นก็จะอยู่จุดสูงสุดของแดนเหนือ!

เมื่อคิดได้ดังนี้ ความปวดร้าวในใจก็สงบลง…

หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ เมื่อควันและธุลีมลายสิ้น ร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากสุสานกระบี่ที่พังทลาย เป็นผู้ชายสวมชุดสีแดงห่มดำ มีรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าหล่อเหลา กลิ่นอายแรงกดดันแผ่ออกมารอบข้าง เคลื่อนลงมาจากท้องนภาราวกับเทพที่ถูกเนรเทศ

เสิ่นโตวก้าวเท้ามาข้างหน้า กล่าวพร้อมกับยิ้มเจื่อนว่า “ยินดีกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เก็บตัวบ่มเพาะสำเร็จ!”

คนที่เหลือตอบสนองคนแล้วคนเล่า ก่อนประสานมือคารวะทันที “ยินดีด้วยขอรับ!”

ลู่หยวนส่งเสียงอืม กล่าวว่า “ข้าเหนื่อยเหลือเกิน อยากพักเสียหน่อย เชิญพวกเจ้าตามสบาย”

ทันทีที่สิ้นเสียง ชายหนุ่มก็เห็นร่างแน่งน้อยของผู้ฝึกกระบี่หญิงผู้สง่างามอยู่ไม่ไกลนัก นั่นคือฉินอี่หานผู้ยืนตระหง่านอยู่ในอากาศ ดวงตางดงามจับจ้องมายังเขาตลอดเวลา ราวกับกำลังรออยู่นานแล้ว

เขากำลังจะไป แต่เสียงแผ่วเบาพลันดังขึ้นที่ข้างหู “ลู่หยวน…”

บุตรศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้วก่อนหันหน้าไปมอง ก่อนจะพบหญิงสาวผู้เดินนวยนาดเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มเยาว์วัยอันทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวนวลราวกับหยก คนผู้นี้คือเสิ่นซูเหยียน

สีหน้าของชายหนุ่มมืดมนทันที เขาหงุดหงิดกับหญิงสาวผู้นี้มากที่สุด!

เป็นนังนี่! ที่พาเจ้าของร่างเดิมออกไปสร้างปัญหา ทิ้งภาระต่าง ๆ มากมายไว้กับเจ้าของร่างคนเก่าโดยทำเป็นใสซื่อบริสุทธิ์!

“ทำไมหรือ?”

น้ำเสียงของลู่หยวนเย็นชายิ่ง ใครก็ตามย่อมมองออกว่าเขาหงุดหงิด

เสิ่นซูเหยียนผู้กำลังเข้ามาใกล้หยุดนิ่ง สีหน้าซีดเผือดขึ้นมา

เกิดอะไรขึ้นกับบุตรศักดิ์สิทธิ์?

เขาไม่เคยปฏิบัติกับข้าเช่นนี้มาก่อน!

เสิ่นซูเหยียนดึงสติตัวเอง กำลังจะปริปากตอบ แต่นางกลับเห็นร่างของลู่หยวนวูบไหวก่อนจากไป

เหนือฝูงชนไกลลับตา สตรีสูงสง่าราวกับเทพเซียนสวมชุดสีขาวยืนอยู่ หลังจากชายหนุ่มเข้าใกล้ รอยยิ้มก็พลันปรากฏบนใบหน้าคมคาย

แค่รอยยิ้มนั้นก็พิชิตใจบุตรจำนวนมากจากตระกูลใหญ่ในที่นี้ได้!

อาภรณ์สีขาวและดำของทั้งสองราวกับหยินหยางวูบไหว… หายไปต่อหน้าทุกคน

หลังจากทั้งสองไม่อยู่แล้ว ทุกคนก็ถอนหายใจ กระซิบกระซาบว่า “ผู้หญิงที่อยู่กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่เป็นใคร รูปลักษณ์เช่นนั้น ย่อมเป็นอันดับหนึ่งในแดนเหนือเป็นแน่!”

“ศิษย์ของสำนักอักขระสวรรค์นามว่าฉินอี่หาน ข้าได้ยินมาว่านางเก็บตัวมาหลายปี จนกระทั่งบุตรศักดิ์สิทธิ์กลับมาที่สำนักอักขระสวรรค์ในครั้งนี้ นางถึงได้ออกมา”

“พอสองคนนี้ยืนอยู่ด้วยกันแล้วเหมือนคู่เซียนสวรรค์เลย!”

เมื่อได้ฟังคำพูดของทุกคน เสิ่นซูเหยียนก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ใบหน้าบิดเบี้ยวดูน่าสะพรึง

เสิ่นโตวผู้อยู่ด้านข้างกลุ่มคนที่กระซิบกระซาบเหล่านั้น กล่าวว่า “บุตรศักดิ์สิทธิ์ออกจากการเก็บตัวแล้ว เชิญทุกท่านกลับไปด้วย!”

ทุกคนลอบมองใบหน้าของธิดาผู้นำตระกูลเช่นกัน พวกเขาจึงยกมือคารวะ ก่อนจะจากไปคนแล้วคนเล่า

ในสถานที่เก็บตัวขนาดใหญ่ เหลือเพียงเสิ่นซูเหยียนและเสิ่นโตว

เสิ่นซูเหยียนยังคงจ้องไปทางที่ลู่หยวนจากไป กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ท่านพ่อ ลูกไม่อยากแพ้ฉินอี่หาน!”

บิดายืนเอามือไพล่หลัง จิตสังหารฉายในดวงตา “ไม่ต้องห่วง นางไม่มีทางขวางทางลูกได้หรอก!”

ลู่หยวนตามศิษย์พี่หญิงกลับห้องโถงทางตะวันตก ทันทีที่เข้ามาถึงก็พบเทียนเม่ยเอ๋อร์กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน

ชายหนุ่มเดินไปข้างเตียง ฟาดไปที่บั้นท้ายขององค์หญิงหางจิ้งจอก

นางยังคงอยู่ในความฝัน ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่บั้นท้ายจนได้สติทันที เอามือลูบบริเวณนั้น ดวงตางดงามพลันลืมขึ้นพร้อมความรู้สึกแค่นเคืองในใจ

นางโกรธ!

ใครกันที่กล้ามาขัดความฝันของข้าผู้นี้?!

ไม่เกรงใจแม่เสียแล้ว!

“เจ้าเป็นจิ้งจอกสวรรค์หรือหมูสวรรค์กันแน่? วัน ๆ รู้จักแต่การนอนหรืออย่างไร?”

เสียงของลู่หยวนดังมาจากข้างหู เทียนเม่ยเอ๋อร์หันศีรษะมองทันที จึงพบว่าชายหนุ่มเตรียมง้างมือขึ้นจะฟาดอีกครั้ง

นางยืนขึ้นทันที เอามือลูบบั้นท้าย โทสะทั้งหมดในใจถูกสะกดเอาไว้ ร้องขอความเมตตาว่า “ข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว นายท่านหยุดฟาดเถอะ!”

บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงยอมรามือ เขานั่งเอนหลังบนเก้าอี้พลางอุ้มนางไว้แนบอก เทียนเม่ยเอ๋อร์เข้าใจจึงกลายร่างเป็นจิ้งจอกทันที ยอมอยู่ในอ้อมแขนแต่โดยดี

ฉินอี่หานที่อยู่ด้านข้างก็นั่งลงเช่นกัน รินชาให้ตัวเองสักพักแล้วกล่าวว่า “งานเลี้ยงวันเกิดนี้อาจจะไม่ง่ายเสียแล้ว”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”

“ผู้อาวุโสของสำนักอักขระสวรรค์มาหาข้าเมื่อวานแล้วบอกว่า พวกเขาจะออกไปข้างนอกสองสามวัน ดูเหมือนพวกเขาจะสัมผัสกลิ่นอายของเหิงอีเจี้ยนได้”

“เหิงอีเจี้ยนหรือ?”

ลู่หยวนยังคงประทับใจต่อคนผู้นี้ เขาคือหนึ่งในสิบสุดยอดปรมาจารย์กระบี่ในแผ่นดินหยวนหง

เขาเคยเป็นคนที่ฟาดฟันทั่วหล้าด้วยหนึ่งกระบี่ แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนแข่งขันเพื่อจัดอันดับปรมาจารย์ มือขวาของเขาหัก นับแต่นั้นมา อันดับจึงตกลงจากที่สามมาเป็นที่สิบ

หลังจากปีนั้น เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในการจัดอันดับปรมาจารย์กระบี่ ตำนานของชายผู้นั้นก็เลือนหายไปอย่างช้า ๆ

ฉินอี่หานคล้ายกับถอนหายใจอย่างเสียดาย “ไม่ได้พบเห็นปรมาจารย์กระบี่ผู้นี้มานานแล้ว ในตอนนั้นข้าจำได้ว่าเขาถือกระบี่ยักษ์เอาไว้ บุกทะลวงสามเมืองด้วยหนึ่งกระบี่ เพื่อเด็ดหัวปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์”

“กระบี่ยักษ์? เขาใช้กระบี่ยักษ์หรือ?”

ฉินอี่หานไม่เข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มถึงให้ความสนใจเรื่องนี้ จึงพยักหน้า

ลู่หยวนพลันยิ้มออกมา “ข้ารู้ว่าทำไมเขาถึงปรากฏตัว”

ในแผ่นดินหยวนหง ย่อมมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ฝึกฝนกระบี่ แต่น้อยคนนักที่จะใช้กระบี่ยักษ์!

บุตรแห่งโชคชะตาเซียวเทียนเข้าไปในป่าเรืองแสงที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวน หลังจากนั้นเหิงอีเจี้ยนก็มาที่เมืองหลวน พวกเขาต่างใช้กระบี่ยักษ์เช่นกัน

ดูจากเส้นทางแล้ว พวกเขาทั้งสองน่าจะข้องเกี่ยวกัน!

บุตรศักดิ์สิทธิ์สันนิษฐาน “หรือว่าเหิงอีเจี้ยนจะมาสนับสนุนศิษย์ของเขา…”

ฉินอี่หานยังคงไม่เข้าใจว่าลู่หยวนหมายถึงอะไร แต่อีกฝ่ายชิงหลับตาพักผ่อนไปแล้ว

ผู้ฝึกกระบี่หญิงส่ายหน้า จากนั้นถือกระบี่ไม้ขึ้นมากวัดแกว่งฝึกกระบี่

ในห้องโถง เทียนเม่ยเอ๋อร์เริ่มรู้สึกวิงเวียนหลังจากอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม เมื่อกำลังจะผล็อยหลับ เสียงต่ำของเขาก็ดังขึ้นในหูของนาง “บุตรศักดิ์สิทธิ์จำได้ว่า หุบเขาบูรพาเคยเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เทพใช่หรือไม่?”

เทียนเม่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า สลัดความง่วงงุนออกไป “มีข่าวลือเช่นนั้นจริง แต่มันเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน ทุกวันนี้สัตว์เทพแทบจะสูญพันธุ์หมดแล้ว สิ่งที่เรียกว่าที่อยู่อาศัยก็หายไปนานแล้วเช่นกัน”

นางเงยหน้ามองลู่หยวน เห็นเพียงร่างสูงนอนพิงเก้าอี้ ยามปรายตามองตรงไปด้านหน้า

เทียนเม่ยเอ๋อร์มองตามสายตาเจ้านาย พบว่าเบื้องหน้าเก้าอี้มีเศษผ้าสองชิ้นลอยอยู่ในอากาศ มันประกบเข้าหากัน ก่อนแผนที่เรียบง่ายจะปรากฏขึ้นตรงหน้านาง

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เทียนเม่ยเอ๋อร์รู้สึกว่าแผนที่นี้มันช่างคุ้นเคยนัก!

นางมองดูสักพัก ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่บางสิ่งแล้วกล่าวว่า “ตรงนั้น ดูเหมือนจะเป็นที่ที่พวกข้าจิ้งจอกสวรรค์อยู่”

ลู่หยวนขยับนิ้ว เศษผ้าถูกวางอยู่บนเก้าอี้ “ที่ที่เจ้าพูดเมื่อครู่อยู่ตรงไหนนะ?”

จิ้งจอกน้อยยื่นอุ้งเท้าขนาดเล็กออกไป ชี้ไปยังจุดหนึ่งของแผนที่ ตอบว่า “ที่นี่”

จากนั้นนางก็ไปชี้ที่อื่นอีก “นี่คือที่ที่มังกรนาคายักษ์อยู่ ส่วนมังกรเกล็ดอยู่ที่นี่ และจุดนี้เป็นที่อยู่ของวิหคเพลิงเมฆา”

“หืม? นายท่าน แผนที่นี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีหลายที่ถูกทำเครื่องหมายบนพื้นที่ภูเขา แต่ตอนนี้ล้วนเป็นที่ราบไปแล้ว!”