บทที่ 76 บำรุงร่างกาย

คนข้างนอกล้วนได้ยินการเคลื่อนไหวในบ้านชัดเจน

หลี่จู้จื่อรู้ว่าตัวเองสร้างปัญหาแล้วจึงรีบพูด “พี่สะใภ้ใหญ่ ผมวิ่งเร็วมาก เดี๋ยววิ่งไปหาหมอหลี่เองครับ”

ว่าจบก็ออกไปทันที ไม่สนใจว่าหวังเซียงฮวาจะตอบตกลงหรือไม่

คุณปู่ซูซวนเซหากแต่ยังไม่ล้มลง ทว่าสีหน้าแย่มากอย่างเห็นได้ชัด

“พ่อ เข้าบ้านกันครับ” ซูเหล่าเอ้อร์รีบพูด

“ฉันจะพาเหล่าต้ากับเหล่าซานไปบ้านของหัวหน้าชุมชนเอง เหล่าเอ้อร์ แกอยู่บ้านคอยดูแลไปนะ มีเรื่องอะไรก็มาหาพวกเราที่บ้านหัวหน้าชุมชนได้เลย”

ซูเหล้าเอ้อร์พยักหน้า “พี่ใหญ่ น้องสาม ฝากดูแลพ่อด้วยนะ”

ฉีเหลียงอิ๋งคอยกดร่องปากของคุณย่าซู หากแต่เธอยังไม่ฟื้นขึ้นมา ซูเหล่าเอ้อร์และลูกสะใภ้ทั้งสามต่างร้อนใจ

ซูเสี่ยวเถียนกระวนกระวาย เธอเกลียดที่ตัวเองอ่านหนังสือตั้งมาก แล้วทำไมถึงไม่อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลสักหน่อย?

ขณะที่พวกเขากำลังร้อนใจ หลี่จู้จื่อก็วิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมหมอหลี่บนหลัง

“มาแล้ว ๆ หมอมาแล้ว!”

หลี่หมิงไฉปีนลงมาจากหลัง ลอบถอนหายใจ ทุกครั้งที่มาบ้านนี้ หมออย่างเขาร้อนใจจริง ๆ

“หมอหลี่ มาตรงนี้ครับ รีบมาดูแม่ผมที!” ซูเหล่าเอ้อร์เป็นชายร่างใหญ่ และตอนนี้ก็ใกล้จะร้องไห้ออกมาแล้ว

เมื่อเช้าแม่ยังดี ๆ อยู่เลยแต่ตอนนี้กลับเป็นแบบนี้แล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของซูหม่านเซียง

“ยังไม่ฟื้นหรือ?”

“กดร่องปากแล้วแต่ยังไม่ฟื้นเลยครับ” ซูเหล่าเอ้อร์พูดอย่างกังวล

หลี่หมิงไฉไม่เสียเวลา รีบลุกขึ้นวิ่งเข้าห้องหลักทันที โดยมีหลี่จู้จื่อก็ตามเข้าไปด้วย คราวนี้เป็นเขาที่ประมาทเกินไป

ครั้นวัดชีพจรเสร็จ หลี่หมิงไฉก็หยิบเข็มเงินออกมา และลงมือฝั่งเข็ม หลังจากฝั่งลงไปสองสามเข็ม คุณย่าซูจึงฟื้นขึ้นอย่างง่ายดาย

หลังจากฟื้นขึ้นมาก คุณย่าซูก็ร้องไห้ฟูมฟาย

เหล่าลูกสะใภ้พยายามเกลี้ยกล่อม แต่หมอหลี่กลับหยุดเอาไว้

“ให้เธอร้องเถอะ ให้ความทุกข์ในใจระบายออกไป มันดีต่อร่างกายนะ” หลี่หมิงไฉถอนหายใจ

ครอบครัวหลักตระกูลซูใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เหตุใดเรื่องแย่ ๆ ถึงได้ตกลงมาจากท้องฟ้ากันนัก?

หม่านซิ่วเป็นเด็กดี ทำไมชีวิตเธอช่างน่าสังเวชเช่นนี้?

คุณย่าซูร้องไห้เต็มที่ ก่อนหัวใจจะรู้สึกสงบขึ้นมาก

“แล้วคนที่เหลือล่ะ?”

คุณย่าซูเหลือบมองไปรอบ ๆ นอกจากพวกหลานที่ขึ้นเขาไปถอนวัชพืชจึงยังไม่ได้กลับมา ดังนั้นจึงเหลือเพียงสามคนเท่านั้น

“พ่อพาพี่ใหญ่กับน้องสามไปบ้านหัวหน้าชุมชนครับ” ซูเหล่าเอ้อร์รีบตอบ

สีหน้าคุณย่าซูเปลี่ยนไปอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด เธอลืมไปได้อย่างไรว่าซูหม่านเซียงกำลังสร้างปัญหาที่บ้านหัวหน้าชุมชน

“แม่ ผมจะไปทำต้มน้ำตาลทรายแดงมาให้ถ้วยหนึ่งนะ” เพราะกลัวแม่จะโกธรมากกว่าเดิม ซูเหล่าเอ้อร์จึงรีบพูด

“ฉันทำเสร็จแล้วล่ะ คุณแม่คะ คุณแม่ดื่มก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ” หวังเซียงฮวาป้อนต้มน้ำตาลทรายแดงถึงปากแม่สามีอย่างระมัดระวัง

คุณย่าซูไม่ได้ดื่ม แต่ก็รับมาแล้ววางไว้ข้าง ๆ

“เหล่าเอ้อร์ ไปบอกพ่อซะว่าบ้านเราตัดความสัมพันธ์กับซูหม่านเซียงแล้ว จากนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”

คุณย่าซูพูดโดยไม่ลังเล และเห็นได้ชัดว่าเธอปวดใจมาก

สีหน้าคนบ้านซูไม่ค่อยดี ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่าตอนที่พูดแบบนี้ออกมา หญิงชราก็โศกเศร้ามากพอแล้ว

“ตัดขาดความสัมพันธ์แล้ว หม่านเซียงลูกคนนี้เติบโตมาอย่างบิดเบี้ยวนัก!” คุณปู่ซูเพิ่งเข้ามาและตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“เธอเต็มใจหรือครับ?” ซูเหล่าเอ้อร์ไม่เชื่อว่าซูหม่านเซียงจะเต็มใจ

นั่นคือปลิงตัวหนึ่งที่ยังอยากดูดเลือด แล้วเต็มใจจะตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวได้อย่างไร?

“ไม่เต็มใจ แต่พ่อบอกว่าไม่ว่าจะยอมหรือไม่ จากนี้ไปพวกเราจะไม่เปิดประตูให้เธออีก” ซูเหล่าต้าตอบแทน

คราวนี้ทั้งพ่อและแม่ต่างปวดใจเพราะน้องเล็ก แล้วทำไมน้องเล็กถึงได้เห็นแก่ตัวแบบนี้?

ในใจของเธอ ชีวิตของพี่สาวนั้นไร้ค่าหรือ? แล้วชีวิตพวกพี่ชายล่ะ? เธอคิดว่าไร้ค่าด้วยหรือเปล่า?

ถ้าอย่างนั้นก็น่ากลัวไปแล้ว!

ชายร่างใหญ่ตัวสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงเรื่องนี้

ซูเหล่าซานไม่ได้พูดอะไร แต่ขบคิดในใจว่าซูหม่านเซียงเป็นคนที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็หวังผล และตราบใดที่มันไม่เป็นประโยชน์กับเธอ เธอก็จะยุติความสัมพันธ์ด้วยตัวเอง

“พี่ซู ถ้าพี่อยากปล่อยวาง ก็ตัดสินใจเอาเองเลย!” หลี่หมิงไฉทอดถอนใจแล้วปลอบโยน

ลูกทุกคนเกิดและเติบโตจากพ่อแม่เดียวกัน ทำไมคนอื่นถึงดีกันหมด ยกเว้นซูหม่านเซียงที่กลายเป็นแบบนี้?

“แล้วร่างกายยายเฒ่า…” ปู่ซูถามอย่างเป็นห่วง

“ก่อนหน้านี้ร่างกายที่อดอยากดีขึ้นมากแล้ว ส่วนตอนนี้มีความดันขึ้นสูง ต้องดูแลอยู่พักหนึ่ง ดีที่สุดคือต้องหาอะไรมาบำรุงร่างกายนะ” หลี่หมิงไฉกล่าว

เพื่อเลี้ยงดูลูกทั้งห้าคน เลยไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาต้องขมขื่นขนาดไหน

นอกจากนี้ คุณปู่ซูเป็นคนใจบุญ คอยช่วยเหลือผู้อื่นเป็นระยะ ๆ จินตนาการถึงชีวิตของแกได้เลย

ทุกคนในครอบครัวคิดหนัก ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินแล้ว แต่จะไปหาอาหารบำรุงจากไหน?

นี่คือสิ่งที่เงินไม่สามารถซื้อได้ ต้องมีตั๋วเท่านั้น

ซูเหล่าซานมองไปที่คุณย่าซู ช่วงหกเดือนที่ผ่านมา แม่เอาตั๋วออกมาใช้ไม่น้อยเลย ไม่รู้ว่ามีตั๋วสำหรับอาหารบำรุงหรือไม่

ซูเหล่าซานไม่รู้เรื่องอาหารบำรุงอะไรพวกนี้เลย ถึงจะมีตั๋ว แต่ก็ซื้อไม่ได้ บางครั้งก็มีสินค้าเพียงอย่างเดียวในหนึ่งเดือน ไปหาที่ไหนก็ไม่เจอ

ซูเสี่ยวเถียนครุ่นคิด

ช่วงนี้อาหารเสริมมีน้อยมาก และที่พบบ่อยที่สุดคือผงมอลต์ แต่ไม่มีให้ซื้อได้ทุกคน

ยิ่งไปกว่านั้นคือนมผงมีราคาสูงมาก คนทั่วไปแม้แต่จะมองยังมองไม่เห็น

หากไม่มีอาหารบำรุงก็ควรที่จะกินเนื้อสัตว์และไข่มากขึ้น

“หมอหลี่ ให้คุณย่ากินโจ๊กเนื้อทุกวันได้ไหมคะ”

หลี่หมิงไฉก็รู้ว่าอาหารบำรุงหายาก แต่โจ๊กเนื้อก็หายากเช่นกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะกินโจ๊กเนื้อทุกวัน

ไม่ต้องพูดถึงการกินโจ๊กเนื้อเลย แค่กินไข่คนส่วนใหญ่ยังทำไม่ได้!

“ได้สิ กินไข่หวานน้ำทุกเช้าก็ได้แล้ว มีโจ๊กเนื้อก็ได้เหมือนกันนะ” หลี่หมิงไฉพยักหน้า

ไข่กับเนื้อเป็นของมีค่า เนื้อสัตว์หายาก ไข่เป็นประเภทของล้ำค่า จำเป็นต้องเก็บไว้ ถึงจะเอาเครื่องปรุงรส เข็มกับด้าย หรือของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปแลก แต่ใครจะเอาไข่ไปแลกให้เขากินกันล่ะ?

ตอนนี้ครอบครัวผู้เฒ่าซูมีคนดูแล ทั้งชีวิตยังดีขึ้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะไม่อดอยากเหมือนเมื่อก่อนใช่ไหม?

ทุกคนในตระกูลซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ทุก ๆ วันครอบครัวมีไข่ไก่หกฟอง และมันเพียงพอสำหรับบำรุงร่างกายแม่

หลี่จูจื่อรีบพูด “ฉันตัวคนเดียว แถมไก่ที่บ้านกำลังจะตายเพราะความอดอยากด้วย จะกลับไปฆ่ามันแล้วส่งมาให้พี่สะใภ้ใหญ่นะ”

“จู้จื่ออย่าสร้างปัญหาเลย บ้านเรามีไก่เหมือนกัน เธอเลี้ยงไก่สักตัวมันไม่ง่ายเลย เลี้ยงมันไว้ดี ๆ เถอะ” หวังเซียงฮวาพูดอย่างเร่งรีบ

หลี่จู้จื่อไม่เคยเลี้ยงไก่มาก่อน และไก่ตัวนี้เพิ่งเลี้ยงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เป็นก้าวแรกในการใช้ชีวิตที่ดี

“ใช่เลยจู้จื่อ สะใภ้ใหญ่พูดถูกแล้ว แกมีชีวิตที่ดีแล้ว” คุณย่าซูปฏิเสธเช่นกัน

หลี่หมิงไฉเป็นคนที่หลี่จู้จื่อแบกมา ขากลับอีกฝ่ายก็อาสาแบกกลับไปส่ง

หลังจากส่งหมอเสร็จ เหลียงซิ่วก็ไปที่ห้องครัวเพื่อทำไข่หวานน้ำให้แม่สามี

ครั้นมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของคุณปู่ซู เธอรู้สึกว่าร่างกายของพ่อสามีไม่ค่อยดีนัก

เธอเอาไข่สี่ฟองออกมาก่อนลงมือทำในคราวเดียวโดยไม่กลัวสิ้นเปลือง

“ทำไมถึงได้ไข่มาสองฟองล่ะ เก็บไว้ให้เสี่ยวเถียนกินจะดีกว่านะ” คุณย่าซูมองดูไข่ในชามกระเบื้องขนาดใหญ่ และปฏิเสธโดยไม่ลังเล

เธอระวังมาทั้งชีวิต ไข่หนึ่งฟองแทบอดใจไม่ได้ที่จะหั่นเป็นแปดชิ้นเพื่อเอามากิน เมื่อไรกันที่จะได้กินไข่สองฟองในคราวเดียวน่ะ?

“แม่คะ ฉันต้มมาสี่ฟอง ให้แม่สองฟองให้พ่ออีกสองฟอง พวกท่านต้องกินนะเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง พวกเรายังหนุ่มยังสาว ร่างกายยังดีอยู่ค่ะ” เหลียงซิ่วไม่เลือกปฏิบัติ