บทที่ 75 โมโหจนเป็นลม

“ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาเอาสินสอดทองหมั้นที่บ้านหวังกลับไปแล้ว แถมยังส่งคนบ้านนั้นไปเหมืองด้วย จิ๊ ๆ”

“เธอคงไม่รู้หรอกว่าคนในชุมชนพูดถึงบ้านเธออย่างไรบ้าง แต่ในฐานะที่ฉันเป็นญาติก็ไม่มีหน้าไปพูดหรอก”

เธอตามซูหม่านเซียงมาระยะหนึ่งแล้ว และรู้ดีว่าอีกฝ่ายมาที่นี่เพื่ออะไรจึงพูดแต่ไปในทิศทางที่เจ้าตัวชอบเท่านั้น

พอได้ยินสิ่งที่ชอบ ซูหม่านเซียงคนไร้สมองดูเหมือนจะได้พบสหายรู้ใจในทันที

“แม่รอง ใครว่าฉันไม่รู้ล่ะ? ฉันเกลี้ยกล่อมแม่กับพี่ชายให้พาพี่เขยออกมาแล้ว คนอื่นเอาแต่พูดว่าพวกเขาเมตตาเหลือเกิน ที่ไหนได้มีแต่คนบ้าด้วยกันทั้งนั้น”

ซูหม่านเซียงปฏิบัติต่อหลิวซิ่วอิงในฐานะสหายรู้ใจแล้วพร่ำบ่นความไม่พอใจที่มีต่อครอบครัวออกมา ในความคิดของซูหม่านเซียงคือพี่สาวตายไปแล้ว และทำไมต้องเอาคนอื่นที่เกี่ยวมาทำให้ลำบากด้วย?

ถ้าบ้านเธอไม่เอาเรื่อง ไอ้หมาหวังกับแม่ม่ายก็คงมีลูกด้วยกันหลายคน และใช้ชีวิตที่ดีไปแล้ว แถมตัวเธอก็ไม่ต้องโดนตระกูลคังดูถูก ตระกูลซูก็ไม่ต้องถูกคนตำหนิติเตียน ไม่ใช่ว่าจะมีความสุขกันถ้วนหน้าหรอกหรือ?

“เธอพูดถูกเลย พี่สาวเธอตายไปแล้ว แต่คนบ้านนั้นไม่ใช่คนฆ่าเสียหน่อย พูดอีกอย่างก็คือต่อให้ฆ่าแล้วมันอย่างไรล่ะ? แต่งเข้าบ้านหวังก็เป็นคนของบ้านหวังแล้ว โดนฟันโดนแทงแล้วใครจะไปพูดอะไรได้?” หลิวซิ่วอิงยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ

พอซูหม่านเซียงได้ยินก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

แต่เธอไม่ได้คิดอะไรมาก ก่อนว่าต่อ “แม่รองมีเหตุผล ส่วนแม่ของฉันคงหลงไปแล้ว กับอีแค่คนที่ตายไปแล้ว ทำไมต้องเอาคนบ้านเราไปร่วมวงเพื่ออะไร?”

“ใครว่าแม่รองจะไม่รู้ล่ะ หม่านเซียงเอ๋ย แม่รองรู้ว่าช่วงนี้เธอต้องไม่พอใจแน่นอน อดทนไว้ก่อนนะ ไว้กลับไปแม่รองจะช่วยเกลี้ยกล่อมแม่เธอให้ ไม่งั้นตอนนี้ไปหาหัวหน้าชุมชนดีไหม?” หลิวซิ่วอิงเหล่ตาเล็กน้อย ก่อนจะเกิดความคิดหนึ่งขึ้น

คุณย่าซูร้องไห้อยู่ในห้อง ไม่ได้รู้เลยว่าซูหม่านเซียงที่เพิ่งไล่ออกไปไม่ได้กลับบ้าน แต่ไปบ้านหัวหน้าชุมชนแทน

เธอยังคงพร่ำบ่นถึงโชคชะตาอันเลวร้ายของตัวเอง

ลูกสาวคนหนึ่งไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ส่วนลูกสาวอีกคนที่โดนไล่ออกจากบ้านวันนี้ก็ถือว่าเธอจากไปเหมือนกัน ทำไมชีวิตถึงน่าสังเวชนัก?

“คุณแม่ อย่าเศร้าไปเลยนะ น้องเล็กเธอคงสับสน” เหลียงซิ่วนั่งข้างแม่สามี เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

ช่วงนี้บรรยากาศที่บ้านไม่ค่อยดี ไม่คิดเลยว่าคนโง่งมอย่างซูหม่านเซียงที่ไม่เพียงแต่จะไม่เข้าหาคนบ้านซูเท่านั้น เธอยังพูดจาไร้สาระอีกด้วย

ซูหม่านเซียงเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของซูหม่านซิ่ว สองพี่น้องคู่นี้โตมาด้วยกัน และพี่สาวก็ดูแลเธอเป็นอย่างดี คนที่บ้านก็เห็น แต่น้องสาวกลับพูดสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์มนาเขาพูดกัน

“โชคดีที่ยังมีพวกเธอ” คุณย่าซูปาดน้ำตา

“คุณแม่คะ พวกเราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกันนะ” เหลียงซิ่วพูดขณะจับมือคุณย่าซู

“สะใภ้สาม ให้สะใภ้คนอื่นเข้ามาหน่อยสิ ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”

ในไม่ช้าหวังเซียงฮวาและฉีเหลียงอิงก็เข้ามานั่งในห้องหลัก พวกเธอนั่งบนขอบเตียงเตา รอฟังสิ่งที่แม่สามีจะพูด

“วันนี้ที่ฉันเรียกมาหา เพราะอยากถามว่าพวกเธอคิดแบบเดียวกับหม่านเซียงหรือเปล่า รู้สึกว่าหม่านซิ่วทำให้พวกเธอเสียหน้าไหม? ทำให้เรื่องการแต่งงานของพวกลูก ๆ ล่าช้าหรือเปล่า?” คุณย่าซูเข้าประเด็นทันที

คุณย่าซูไม่ใช่พวกลุ่มหลงในระบบอาวุโส เธอรู้ว่าคนในครอบครัวโตกันขนาดนี้ แต่ยังสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ และถ้ามีเรื่องสำคัญ คนในครอบครัวสามารถนั่งปรึกษากันได้

หวังเซียงฮวาและคนอื่น ๆ มองหน้ากัน รู้สึกว่าสิ่งที่ได้ยินมันผิดมาก

ซูหม่านซิ่วจากไปแล้ว นั่นเพราะถูกบ้านสามีโขกสับจนตาย เธอเป็นเหยื่อ เช่นนี้แล้วจะส่งผลต่อการแต่งงานของพวกลูก ๆ ได้อย่างไร?

“แม่คะ อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของหม่านเซียงเลย ตราบใดที่เป็นคนก็เข้าใจได้เองล่ะ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ตระกูลหวังทำผิด แล้วจะมาโทษครอบครัวของเราได้อย่างไร” ฉีเหลียงอิงกล่าว

“ใช่เลย แม่คะถ้าเราขี้ขลาดจริง ๆ การปล่อยให้ลูกสาวถูกคนบ้านนั้นทรมานจนตายคงเป็นคนอ่อนหัดไปแล้ว คนอื่นคงสงสัยว่าบ้านเราเป็นพวกไก่อ่อนหรือเปล่าถึงได้ไม่กล้าให้ลูกสาวแต่งเข้าบ้านไป” หวังเซียงฮวารีบพูดเช่นกัน

“แม่คะ ฉันกับพี่สะใภ้ทั้งสองก็คิดแบบเดียวกัน ถ้ามีคนไร้เหตุผลแบบนั้นจริง ๆ ทั้งยังคิดว่าเรื่องนี้พวกเราทำผิด ลูกสาวของคนแบบนั้นเราก็ไม่กล้าแต่งด้วยหรอก?” เหลียงซิ่วยังแสดงความคิดเห็นด้วย

คุณย่าซูรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสะใภ้

พวกเธอเอาใจใส่มากกว่าลูกสาวคนเล็กเยอะเลย

“พวกเธอพูดด้วยความจริงใจใช่ไหม? ไม่ใช่พูดเพื่อปลอบใจฉันใช่หรือไม่?” คุณย่าซูถามอีกครั้ง

“ทำไมจะไม่จริงใจล่ะคะ แม่คะ พวกเราคิดแบบนั้นจริง ๆ” เหลียงซิ่วยิ้มออกมา “ครอบครัวเราอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว แม่ยังไม่รู้จักพวกเราอีกหรือคะ? เรื่องของหม่านซิ่วพวกเราก็เสียใจ อยากจะฉีกหมาสองตัวนั้นกับคนบ้านหวังนัก”

ในที่สุดคุณย่าซูก็รู้สึกสบายใจ

คุณปู่ซูและลูกชายทั้งสามที่กำลังแอบฟังอยู่ข้างนอกเมื่อสักครู่พลันโล่งใจเช่นกัน

พวกเขากังวลว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของซูหม่านเซียงจะทำให้สะใภ้คิดเป็นอย่างอื่น

“เป็นพรสำหรับครอบครัวเราที่มีลูกสะใภ้เช่นนี้” คุณปู่ซูพูดด้วยความซาบซึ้ง

“พ่อ อย่าคิดมากเลยนะ นิสัยน้องเล็กคงเปลี่ยนไม่ได้อีกแล้ว ตั้งแต่เด็ก ๆ เธอต้องแข็งแกร่ง พอได้แต่งเข้าบ้านคังก็คิดว่าตัวเองเหนือกว่า” ซูเหล่าต้าโน้มน้าว

“ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็ไม่ต้องเปลี่ยน ลูกสาวแบบนั้นฉันไม่ชอบ!” คุณปู่ซูพูดอย่างเหนื่อยหน่าย

ในฐานะลูกสาว คุณปู่ซูทนต่อปัญหาเล็กน้อยอย่างความโลภและความเห็นแก่ตัวได้ แต่การกระทำในครั้งนี้ของเธอมันน่าผิดหวังเกินไป

เสียงนั้นเบาลงก่อนจะมีใครบางคนตะโกนจากนอกลานบ้าน “พี่สาม พี่สาม พี่อยู่บ้านหรือเปล่า?”

มันเป็นเสียงของหลี่จู้จื่อ

“จู้จื่อ เข้ามาเลย ฉันอยู่นี่” ซูเหล่าซานตอบด้วยเสียงอันดัง

“พี่สามรีบตามผมไปเร็ว ซูหม่านเซียงกำลังสร้างปัญหาที่บ้านหัวหน้าชุมชน เพื่อให้หัวหน้าชุมชนไปที่ชุมชนใหญ่เพื่อหาทางปล่อยตัวไอ้หมาหวังกับแม่ม่ายคนนั้น” หลี่จูจื่อวิ่งมาที่ลานบ้านตระกูลซู ไม่พูดอะไรเลยนอกจากประโยคนั้น

สีหน้าคนในบริเวณนั้นซีดเผือด รวมถึงแม่สามีและสะใภ้พลันสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน คุณย่าซูความดันขึ้นจนหมดสติไป

“คุณย่า ย่าคะ ย่าเป็นอะไร?” ซูเสี่ยวเถียนกำลังจะช่วยคุณย่าซู แต่แรงไม่พอจึงล้มลงไป

“พี่สะใภ้ใหญ่ รีบไปตามหมอหลี่เร็วเข้า” ฉีเหลียงอิงตะโกนอย่างเร่งรีบแล้วนวดร่องปาก*[1] ของคุณย่าซู ส่วนเหลียงซิ่วโอบแม่สามีไว้ในอ้อมแขนแน่น
*[1] การนวดแบบดั้งเดิมที่ทำให้ฟื้นคืนสติ นวดบริเวณร่องปากซึ่งเป็นจุดลดความดัน