บทที่ 55 อาซูนั้นมีวาสนา

เจิ้งอันหัวเราะ “หลังจากที่พี่รองเหยามาถึง เขาก็เข้าไปพบกับท่านผู้ตรวจการก่อน ทั้งสองคนคุยกันในห้องหนังสือนานกว่าครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็เดินออกมาจากห้อง ยิ้มจนตาหยีแล้วพูดกับพวกเราทุกคนว่า ‘ผู้น้อยเป็นคนจากตระกูลเหยาและเป็นลูกคนรองของบ้าน วันหน้าทุกท่านเรียกข้าแบบพี่น้องก็พอแล้ว’ แต่ในวันนั้นพวกเราทั้งกลุ่มทหารหัวเราะ บัณฑิตที่อ่อนแอคนหนึ่ง กล้าเป็นพี่น้องกับพวกหยาบกระด้างอย่างพวกเราอย่างนั้นหรือ?”

“ต่อมามีคนพนันกับเขาว่า ถ้าเขามีวิธีจัดการกับโจรภูเขา พวกเราทุกคนจะเรียกเขาว่าพี่รอง”

เจิ้งอันพูดถึงตรงนี้ก็ส่ายหน้าถอนหายใจยาว “นึกไม่ถึงว่าภายในเวลาไม่ถึงเดือน โจรภูเขาอย่างพยัคฆ์ดำและพยัคฆ์ขาวก็ถูกจัดการลงดังคำกล่าว เขาสมควรได้รับคำว่า ‘พี่รอง’ จริง ๆ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทั้งสองคนก็เดินมาจนถึงห้องโถงหน้าจวนผู้ตรวจการแล้ว

ในจวนผู้ตรวจการมีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะเพิ่งเริ่มฤดูใบไม้ผลิได้ไม่นาน ตลอดทางมีต้นไม้ที่ยังไม่งอกใหม่อยู่มากมาย ทัศนวิสัยจึงแลดูกว้างไกลออกไป

หลินเหรามีสายตาที่ยอดเยี่ยม เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่หน้าจวน ใบหน้าขาวราวกับหยก

เขายิ้มทักทายทั้งสอง “พี่ใหญ่เจิ้ง อาเหรา”

เจิ้งอันเดินไปข้างหน้าใช้ไหล่ชนไหล่กับเหยาเฉา ทั้งสองคนทักทายกันสั้น ๆ แล้วหันไปพูดกับหลินเหราว่า “นายกองหลิน พี่ชายคนนี้คงมาส่งเจ้าได้เท่านี้ หลังจากนี้ต่อไปถ้ามีโอกาสพวกเราค่อยคุยกันทีหลัง!”

พร้อมกันนั้นเหยาเฉาและหลินเหราก็กล่าวอำลาเจิ้งอัน

หลังจากที่เจิ้งอันเดินหันหลังจากไป เหยาเฉาก็ยิ้มให้กับหลินเหรา “น้องเขยเมื่อสักครู่นี้พี่ใหญ่รีบมาที่เมืองแจ้งข่าวกับข้าว่าเจ้ากลับมาแล้ว ให้ข้ารีบกลับบ้าน…นึกไม่ถึงว่าท่านแม่ทัพจะมากะทันหันและเอ่ยถึงทหารข้างกายเขา แต่เมื่อข้าเอ่ยถามชื่อกลับกลายเป็นเจ้าที่ไม่มีข่าวคราวมาตลอดหนึ่งปี! การปรากฏตัวครั้งนี้นับว่ายิ่งใหญ่นัก!”

หลินเหราส่ายหัวและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่รอง”

เขาประสานมือคารวะเหยาเฉาและกล่าวขอบคุณ “การออกรบนั้นอันตรายนัก ข้าไม่สามารถส่งข้อความกลับมาที่บ้านได้ ปีนี้ต้องขอบคุณพี่รองที่ดูแลอาซูและลูก ๆ”

เหยาเฉาโบกมือและถอนหายใจ “อาซูและลูก ๆ ของนางเป็นญาติของข้า การดูแลพวกเขาเป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้ว เมื่อครู่ท่านแม่ทัพได้กล่าวไว้ว่า ทหารของพวกเจ้าเป็นอาวุธลับที่คัดสรรมาอย่างดี สั่งห้ามมิให้ส่งจดหมายถึงบ้านอย่างชัดเจน หากข่าวหลุดรั่วไปก็เท่ากับว่าเป็นบาปใหญ่หลวง”

หลินเหราหลุบตาลงเล็กน้อยกําหมัดแน่นอยากจะพูดบางสิ่ง แต่ก็หยุดเอาไว้

เหยาเฉามีไหวพริบและเข้าใจสิ่งที่หลินเหราอยากจะพูดแต่ไม่ได้พูดออกมา เขาตบไหล่ของชายหนุ่มเบา ๆ และพูดว่า “ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง อาซูไม่ใช่สตรีใจแคบ นางจะไม่แค้นเคืองเจ้าแน่”

หัวใจของหลินเหรารู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย ความเย็นชาที่เคยมีก็ลดลงเล็กน้อยด้วยเช่นกัน เขาพยักหน้าขอบคุณเหยาเฉา “ ขอบคุณพี่รองมาก”

เหยาเฉารู้สึกว่าน้องเขยที่ดูเย็นชาคนนี้น่าสนใจมาก เหยาเฉาคว้าไหล่ของเขาและเดินเข้าไปในห้องโถงด้วยกัน “ตอนนี้ท่านผู้ตรวจการรอเจ้าอยู่ พวกเราพี่น้องค่อยคุยกันทีหลังเถิด!”

เมื่อทั้งสองคนเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ เหยาเฉายืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะพูดกับคนตรงหน้าว่า “นายท่าน นี่คือนายกองหลินที่ท่านแม่ทัพพูดถึงและเป็นน้องเขยของข้า หลินเหรา ขอรับ”

ผู้ตรวจการเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงผมของเขาเป็นสีเทา อายุหกสิบกว่าปีทว่าท่าทางดูกระฉับกระเฉง สีหน้าอ่อนโยนดูแล้วเหมือนนักปราชญ์

หลินเหราโค้งคำนับเขาและเห็นท่านผู้ตรวจการพูดเสียงผ่อนคลายว่า “เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้กลับบ้าน ทุกอย่างเรียบร้อยหรือไม่”

หลินเหราไม่คิดว่าใต้เท้าผู้ตรวจการจะถามเรื่องครอบครัวก่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า “ภรรยาและลูกยังอยู่ดีขอรับ”

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีพฤติกรรมไม่ได้อ่อนน้อมถ่อมตนหรือเอาแต่ใจ มีรากฐานที่ดีไม่ต้องพูดถึงรูปลักษณ์ที่โดดเด่น แม้แต่อารมณ์ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ดีที่สุด

ใต้เท้าผู้ตรวจการพยักหน้าเล็กน้อยและถามอีกครั้ง “ท่านปู่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

หลินเหราตกตะลึงชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าผู้ตรวจการจะรู้จักบรรพบุรุษในครอบครัวของเขา

หลินเหราจึงตอบว่า “ท่านปู่ของข้าเสียชีวิตก่อนที่ข้าจะจำอะไรได้เสียอีกขอรับ”

เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ผู้ตรวจการก็ตกตะลึง “เขาตายตั้งแต่เจ้ายังเด็กอย่างนั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้! เขาเขียนจดหมายถึงข้าเมื่อห้าปีก่อน ส่งไปยังเมืองหลวง…”

เขารู้จักกับปู่ของเด็กหนุ่มหลินเหรา พวกเขาเข้าเมืองหลวงไปสอบวันเดียวกัน แม้ว่าเพื่อนของเขาจะสอบไม่ผ่าน แต่หลังจากกลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็ยังติดต่อกันมาตลอด เรื่องเล็กเรื่องน้อยในตระกูลหลินหรือแม้แต่ชาติกำเนิดของหลินเหรา เขารู้ทุกอย่างชัดเจน

เพียงแค่หลายปีมานี้จดหมายจากมิตรสหายค่อย ๆ ลดน้อยลง จดหมายส่วนใหญ่จะบ่นว่าทำนาลำบากที่บ้านขาดเงินและเสบียงอาหาร ผู้ตรวจการคิดว่ามิตรภาพค่อย ๆ จางลง หลังจากส่งเงินให้ตระกูลหลินหลายครั้งก็ตัดขาดการติดต่อกับตระกูลหลิน

หากปู่ของหลินเหราเสียชีวิตก่อนที่เขาจะจำความได้ แล้วคนที่เขาติดต่อมาหลายปีนี้คือใครกันแน่?!

คิ้วสีเทาแซมขาวของผู้ตรวจการขมวดเข้าหากัน หลินเหราเงียบไป ทั้งสามคนในนี้เป็นคนฉลาด เหยาเฉาและหลินเหรารู้นิสัยของตระกูลหลินดี พวกเขาเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องทันที แต่ในสถานการณ์แบบนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้

สุดท้ายผู้ตรวจการจึงกล่าวว่า “ช่างเถอะเรื่องเก่า ๆ ไม่เอ่ยถึงก็ช่างเถอะ”

เขาอายุมากแล้วย่อมเคยชินกับเหตุการณ์เช่นนี้ หลายครั้งที่เขาไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อย

ผู้ตรวจการมองไปที่ชายหนุ่มทั้งสองคนที่มีใบหน้าโดดเด่น พลางยิ้มและกล่าวว่า “โลกนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ! พวกเจ้าสองคน คนหนึ่งมีไหวพริบและอีกคนหนึ่งกล้าหาญ อายุยังน้อยแต่กลับมีความสัมพันธ์เช่นนี้ ไม่คิดว่าคนที่โดดเด่นเช่นนี้จะดึงดูดกันและกันรึ?”

หลินเหราประสานมือพร้อมกล่าว “มิกล้าขอรับ”

แต่เหยาเฉากลับยิ้ม “ท่านผู้ตรวจการชื่นชมพวกเรามากเกินไปแล้วขอรับ อีกทั้งยังบอกว่าคนดีดึงดูดกันและกัน เกรงว่าคงอยากจะชมตัวเองว่าเลือกม้าได้ดีกระมัง”

ผู้ตรวจการหัวเราะอย่างโกรธเคือง เขาส่ายหน้าแล้วก่นด่า แต่จากนั้นก็พยักหน้า “อาเฉาพูดถูก แทนที่ตัวเองต้องมาเหนื่อยแบบนี้ ไปเป็นคนเลือกม้า คอยเลือกม้าที่มีความสามารถยังจะดีกว่า!”

ชายชราหยุดไปคู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม “ในเมื่อข้ารู้จักกับท่านปู่ของเจ้าและยังถือว่าเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า อาเหรา ไม่รู้ว่าเจ้าจะพอใจหรือไม่ที่จะแบ่งเบาภาระข้าในจวนผู้ตรวจการนี้”

หลินเหราปฏิเสธโดยไม่คาดคิด

เขาเอ่ยสีหน้าจริงจัง “หลินเหราซาบซึ้งคำชมเชยของใต้เท้าผู้ตรวจการขอรับ แต่ผู้น้อยยังคงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพ จึงไม่สามารถตัดสินใจได้ขอรับ”

ผู้ตรวจการอดหัวเราะไม่ได้ “ดูเหมือนว่าเจียงหนิงจะดีกับพวกเจ้าจริง ๆ”

แม่ทัพมีนามว่า ‘เจียงหนิง’ เขาเฝ้าอยู่ชายแดนมาหลายปี สร้างคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้กับราชวงศ์เหยียน แม้แต่ฮ้องเต้ก็ยังเรียกว่า ‘ท่านแม่ทัพ’ เป็นชื่อเรียกแทนเจียงหนิงอยู่บ่อยครั้ง

ไม่ว่าใครก็เรียกเขาว่า ‘ท่านแม่ทัพ’ เท่านั้น

เหยาเฉายิ้มและหยอกล้อกับหลินเหรา “แม่ทัพตัวน้อยอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร? ท่านผู้ตรวจการและท่านแม่ทัพเป็นเพื่อนรักกันมาหลายปี มิฉะนั้นด้วยตำแหน่งแม่ทัพเขาจะเดินทางมายังเมืองชิงถงโดยเฉพาะได้อย่างไร? วันนี้ท่านผู้ตรวจการถามเจ้า แสดงว่าเขาย่อมหารือกับท่านแม่ทัพแล้ว”

เมื่อเห็นท่านผู้ตรวจการพยักหน้า หลินเหราก็พูดอย่างจริงจังว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยจะทำตามคำสั่งของท่านขอรับ”

หลินเหราเป็นคนมีนิสัยชอบทำอะไรตรง ๆ แม่ทัพเจียงหนิงเคยช่วยเหลือเขาในสนามรบและพาเขามาสั่งสอนอย่างเอาใจใส่

เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งแต่ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไร หากมิใช่เป็นห่วงภรรยาและลูก ๆ เกรงว่าคงได้แต่ติดตามแม่ทัพเจียงหนิงไปเท่านั้น

เมื่อผู้ตรวจการเห็นเขาพยักหน้า เขาก็พูดกับหลินเหราด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าอยู่ในกองทัพมานาน หลายปีมานี้สงครามย่อมยากลำบาก จริง ๆ แล้วเจ้าควรพักผ่อนที่บ้านอีกสักสองสามวัน ในจวนของข้าไม่มีธุระอะไรมากนัก ตอนนี้ยังมีอาเฉาคอยช่วยเหลือเรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ในเมือง แต่กลับขาดคนมาช่วยข้าฝึกทหาร ข้าสงสัยว่าเจ้าสามารถทำได้หรือไม่?”

หลินเหราคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยจะทำให้ดีที่สุดขอรับ เพียงแต่ที่บ้านยังมีภรรยาและลูกที่ต้องอยู่อย่างสงบสุข”

เมื่อผู้ตรวจการเห็นว่าชายหนุ่มใส่ใจเรื่องภรรยาและลูก ๆ มันทำให้เขาชื่นชมนิสัยของหลินเหราเหลือเกิน เขาจึงหยอกล้อหลินเหราอย่างอดไม่ได้ “ น้องสาวของอาเฉาช่างมีวาสนานัก”

เหยาเฉาหรี่ตาดอกท้อคู่งามของเขาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสาวของข้ามีรูปโฉมและความคิดที่งดงาม หากไม่ใช่เพราะน้องเขยกลับมาจากสนามรบ ข้ายังคิดอยู่ว่าจะพานางมาพบท่านผู้ตรวจการเพื่อเคารพเสียหน่อยขอรับ”

หลินเหราเห็นว่าพี่รองของภรรยาไม่ได้ล้อเล่น เขาอดไม่ได้ที่จะเปิดปากพูดกับชายชราที่เป็นหัวหน้าของเขา “อาซูให้กำเนิดลูกชายคนที่สามกับข้า ข้ารู้สึกซาบซึ้งและรักนางมาก ดังนั้นข้าต่างหากที่ถือว่ามีวาสนามากขอรับ”

หลังจากติดต่อกับเหยาเฉามาเป็นเวลานาน ผู้ตรวจการก็เข้าใจนิสัยที่ไม่เคยเสียเปรียบของเขา ตอนนี้เมื่อเหยาเฉาพูดขึ้นก็เพราะไม่อยากให้น้องเขยรู้สึกว่ามีคุณงามความดีแล้วดูแคลนภรรยา แต่ด้วยพี่ชายที่เก่งกาจอย่างเหยาเฉา แม้ว่าหลินเหราจะมีนิสัยไม่ดี เหยาเฉาก็ไม่ยอมเสียเปรียบ

ท่านผู้ตรวจการเห็นแล้วก็ไม่ว่าอะไร เพียงพูดให้กำลังใจอีกสองสามประโยค ก่อนกำหนดวันหยุดสิบวันให้กับหลินเหราแล้วปล่อยให้ทั้งสองกลับบ้าน

………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อ้าว ถ้าท่านปู่ของหลินเหราเสียชีวิตจริง แล้วใครแอบอ้างว่าเป็นท่านปู่ เรื่องนี้ดูมีเบื้องลึกเบื้องหลังแฮะ หรือว่าแม่เฒ่าหวังนั่นจะโกหกลูกว่าท่านปู่เสียแล้วกันนะ

ไหหม่า(海馬)