บทที่ 56 น้องรองกำลังจะมีลูก
เพราะหลินเหราไม่ได้กลับไปที่ตระกูลหลินและไปที่จวนตรวจการแทน จึงไม่รู้ว่าในขณะนี้ตระกูลหลินกำลังเกิดเรื่องขึ้น
หลินตงมาตามหาหลินเหราตอนกินข้าวกลางวัน หลังจากอธิบายจุดประสงค์ในการตามหา พ่อเฒ่าหลินที่นั่งอยู่ก็แสดงสีหน้ามึนตึง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่พูดอะไร
แม่เฒ่าหวังยกชามขึ้นชำเลืองมองหลินตงแล้วยิ้มเยาะ “ท่านผู้ตรวจการตามหาเขาอย่างนั้นหรือ? เขากำลังจะทะยานขึ้นฟ้า กลายเป็นขุนนางแล้วกระมัง!”
หลินตงรู้อยู่แล้วว่าคนตระกูลหลินมีนิสัยอย่างไรจึงไม่ได้โต้เถียงกับพวกเขา เขาเพียงถามลูกชายคนรองของตระกูลหลินที่นั่งเงียบอยู่ว่า “พี่รองหลิน พี่ใหญ่หลินเหราไม่อยู่บ้านหรือ?”
หลินเว่ยเป็นลูกคนที่สองของตระกูลหลิน เขาเป็นคนซื่อ ๆ แตกต่างจากหลินเหราที่เงียบขรึม ในเวลาที่เขาอยู่ในฝูงชนนั้นก็แทบจะไร้ตัวตน
หลินเว่ยมองไปที่ใบหน้ามารดาของเขาแล้วส่ายหัว
หลินตงรู้สึกโกรธตระกูลหลินมาก ดังนั้นเขาจึงวิ่งไปทางเข้าหมู่บ้านและนั่งรอหลินเหราบนก้อนหิน
เมื่อเขาจากไป พ่อเฒ่าหลินก็โยนชามทิ้งแล้วสบถออกมา “เจ้าเด็กเหลือขอหลินเหรากลับมาเมื่อใดกัน? เหตุใดไม่มีใครบอกข้า?”
เมื่อเห็นว่าผู้นำตระกูลโกรธเกรี้ยว ทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
แม่โจวเองก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน เมื่อเช้าตรู่นางเห็นท่าทางน่าเกรงขามของพี่ชายสามีตนเอง เมื่อหันมามองสามีตัวเองที่อยู่อย่างไร้ตัวตนนางก็อดโมโหไม่ได้ อีกทั้งยังถูกแม่เฒ่าหวังทรมานมาตลอดทั้งเช้า เรียกนางให้ไปทำความสะอาดลานบ้าน ใช้ให้นางไปเย็บผ้าปูที่นอน แม้แต่อาหารมื้อนี้นางก็เป็นคนทำคนเดียว
นางเกลียดแม่สามีเป็นอย่างมาก ทว่าไม่กล้าขัดขืน จึงได้แค่ใช้น้ำตาต่อรองกับแม่สามีชั่วคราวเท่านั้น
แม่โจวกระซิบกับพ่อเฒ่าหลินว่า “ท่านพ่อ พี่ใหญ่กลับมาเมื่อเช้า…ตอนนั้นท่านแม่ก็อยู่เช่นกัน จึงได้ด่าพี่ใหญ่ออกไปเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าหวังถลึงตาใส่สะใภ้รอง นางจึงหดคอและไม่กล้าพูดอะไรอีก
พ่อเฒ่าหลินสบถด่าหญิงชรา ทว่าถูกนางด่ากลับทันที ทำให้บนโต๊ะอาหารเกิดความวุ่นวาย
แม่เฒ่าหวังพูดเหมือนจะร้องไห้ “ชีวิตของข้าเหตุใดมันช่างขมขื่นยิ่งนัก! สะใภ้ใหญ่ก็ไร้ยางอาย ต่อหน้าผู้คนที่ร้านขายของก็พูดจาทำลายชื่อเสียงของข้า พ่อของนางยังพาคนมาหาเรื่องถึงที่บ้าน ตอนนี้ลูกชายคนโตกลับมา ก็ทำเป็นไม่รู้จักมารดาอย่างข้า แม้แต่ครอบครัวนี้ก็ไม่ยอมรับแล้ว! ส่วนสามีชรา ข้าซักผ้าทำอาหารทุกวันคอยปรนนิบัติท่าน สุดท้ายกลับถูกด่าทอว่าร้าย! เหตุใดท่านไม่ตีข้าให้ตายเสียเลยล่ะ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”
หลินหง ลูกคนที่สามของตระกูลหลินเริ่มรู้สึกรำคาญ เขาจึงวางชามบนโต๊ะและกล่าวหาแม่โจว “พี่สะใภ้รองอย่าพูดอะไรอีกเลย เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านที่พูดขึ้นมา!”
จากนั้นเขาก็บ่นต่อ “พี่รองก็ด้วย รู้แค่ว่าทั้งวันต้องลงทำสวนทำไร่กับท่านพ่อ เมื่อใดจะออกนอกบ้านได้ ได้ยินท่านแม่บอกว่าพี่ใหญ่ขี่ม้ากลับมา อีกทั้งตอนนี้ผู้ตรวจการยังตามหาเขาอีก แสดงว่าเขาจะต้องสร้างคุณงามความดีอย่างแน่นอน”
หลินเว่ยก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา แต่แม่โจวกลับยิ่งโมโห หยิกแขนสามีของตัวเองใต้โต๊ะอย่างแรง
นางยิ้มเจื่อนพูดกับหลินหงว่า “น้องสามพูดถูกแล้ว อย่างไรก็ตามรายได้ส่วนใหญ่ของตระกูลเราก็มาจากท่านพ่อและพี่รองของเจ้าทำงานในสวนเพื่อให้ได้มันมา! หากบ้านมีเงินเหลือนิดหน่อยก็จะส่งให้เจ้าเรียนหนังสือไม่ใช่หรืออย่างไร? ตอนนี้เจ้ามารังเกียจพี่ชายตัวเองที่ไร้ความสามารถ ในขณะที่พวกเขาเก็บเงินเพื่อให้เจ้าสอบจอหงวนอย่างนั้นหรือ?”
หลินหงหน้าแดงไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร เขานั่งอยู่ข้าง ๆ กับอาจวง หลานชายคนรองอายุเจ็ดแปดขวบ เป็นวัยที่กินได้เยอะที่สุด เมื่ออยู่บ้านเขาจะรู้สึกหิวบ่อย ๆ เขาไม่สนใจว่าผู้ใหญ่จะทะเลาะวิวาทกันอย่างไร ตนเองเอาแต่กินไม่หยุด
เมื่อหลินหงเห็นดังนั้นเขาก็ตบไปที่หัวเด็กและพูดอย่างดุร้าย
“วัน ๆ รู้จักแต่จะกิน! วันหน้าก็จะเหมือนพ่อแม่ของเจ้า ไม่มีอนาคต!”
อาหารที่อยู่ในมือของอาจวงถูกปัดลงในพริบตา กว่าจะแย่งไข่ดาวมาได้นั้นแสนยากเย็น เขาล้มไปกับพื้นเมื่อเห็นว่าชามตก เกรงว่าคงจะโดนด่าอีกจึงร้องไห้ออกมา
พ่อเฒ่าหลินเห็นใบหน้าและร่างกายของอาจวงเต็มไปด้วยเม็ดข้าว ทั้งโต๊ะทั้งพื้นสกปรกไปหมด จึงขมวดคิ้วและตำหนิหลินเว่ยว่า “เจ้ารองดูแลลูกชายของเจ้าด้วย!”
แม้แต่แม่เฒ่าหวังก็หยุดร้องไห้แล้วถลึงตาใส่เด็ก จากนั้นก็ด่าว่า “ไอ้หลานบ้าเอ๊ย เก็บข้าวขึ้นมาทีละเม็ด! แล้วกินให้หมด!”
เด็กน้อยยิ่งร้องไห้หนักขึ้น สามีถูกอบรมจนไม่สามารถเงยหน้าสู้ได้ แต่หลินหงผู้ก่อเหตุกลับยกชามข้าวขึ้นมาอีกครั้ง กลอกตาทีหนึ่งแล้วกินข้าวต่อ
แม่โจวรู้สึกโกรธจัดกับเหตุการณ์เบื้องหน้านาง หัวใจนางสั่นระริกด้วยความโมโห นางอยากจะด่าคน อยากจะเขวี้ยงชาม ทว่าจู่ ๆ ดวงตากลับมืดมนแล้วเป็นลมล้มพับไป
แม่เฒ่าหวังตื่นตระหนกทันที รีบให้บุตรชายคนรองพาลูกสะใภ้กลับไปที่ห้อง ตอนนี้งานเล็กงานน้อยในบ้านล้วนแต่ได้แม่โจวเป็นคนทำ หากนางล้มป่วยใครจะทำงานเหล่านี้ ใครจะเป็นคนทำอาหารให้กับครอบครัวทั้งสามมื้อเล่า?
หลังจากที่ตระกูลหลินเกิดความวุ่นวาย แม่เฒ่าหวังก็หยิบเหรียญทองแดงออกมาจากบ้านอย่างไม่เต็มใจแล้วส่งให้หลินเว่ยไปเชิญหมอในหมู่บ้านมาดูภรรยาของเขา
หลินเว่ยถือเหรียญทองแดงในมือสองสามเหรียญแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านแม่เงินแค่นี้ไม่พอ…”
แม่เฒ่าหวังถลึงตาใส่แล้วกล่าวสั่งสอน “ภรรยาของเจ้าใกล้จะตายอยู่แล้วยังคิดว่าเงินแค่นี้ไม่พออีกหรือ? ตามใจเจ้า หากหมอไม่มาข้าเองก็ไม่สนใจว่านางจะตายหรือไม่!”
ในที่สุดหลินเว่ยก็เชิญแม่หมอสูงวัยจากหมู่บ้านมา หญิงคนนี้เป็นหญิงชราที่เคยรับใช้คนที่เป็นหมอจริง ๆ แต่เพราะอายุไม่น้อยแล้วนางจึงได้เห็นอาการป่วยมามากมายและสามารถรักษาคนอื่นได้บ้าง
นางพูดช้า ๆ กำชับว่า “อย่าทำงานหนักเกินไป ไม่อย่างนั้นจะรักษาลูกในท้องไว้ไม่ได้”
พอแม่เฒ่าหวังได้ยินว่าลูกสะใภ้รองตั้งครรภ์ แม้แต่ยาก็ไม่ยอมให้แม่หมอสั่งให้ จากนั้นรีบไล่แม่หมอออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วพูดขึ้นว่า “บ้านนี้มีเด็กมากมาย ข้าเคยเห็นคนท้องมาหลายครั้ง ไม่จำเป็นต้องให้ยา มันแพงเกินไป!
หลินเว่ยเฝ้าภรรยาของเขาอย่างเงียบ ๆ อาจวงเองก็ยืนอยู่ข้าง ๆ พ่อลูกมองตากันอย่างเงียบงัน
หลินหงขมวดคิ้ว แอบดึงแขนเสื้อของแม่เฒ่าหวังแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าฤดูใบไม้ผลิปีนี้จะแต่งภรรยาให้ข้าหรอกหรือ? หากพี่สะใภ้รองตั้งครรภ์ครอบครัวจะมีเงินเพียงพอหรือ?”
แม่เฒ่าหวังเริ่มคำนวณอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดถึงค่าใช้จ่ายและปัญหาที่เกิดจากเด็กทารกแรกเกิด นางอดรู้สึกปวดใจไม่ได้
เมื่อเห็นว่านางไม่พูดอะไร หลินหงก็พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ? เขามีความดีความชอบในสงคราม อีกทั้งการค้าขายของพี่สะใภ้ใหญ่ก็ราบรื่น คิดว่าทั้งสองคงมีเงินอยู่ในมือไม่น้อย”
ดวงตาของแม่เฒ่าหวังเป็นประกาย นางขมวดคิ้วอีกครั้งแล้วรู้สึกลำพองใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า ยังมีบิดามารดาคอยคุ้มครองและยังมีพี่ชายทั้งสองอีก นางไม่ใช่คนที่จะตอแยได้ง่าย ๆ …”
หลินหงโบกมือแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินว่านางไม่ได้อยู่บ้านตระกูลเหยาแล้ว แค่ตามไปที่บ้านของนางก็พอ ท่านเองก็เป็นแม่สามีของนางและเป็นแม่แท้ ๆ ของพี่ใหญ่! ต่อให้พี่สะใภ้ไม่ยอมช่วย พี่ใหญ่จะยอมนั่งเฉย ๆ อยู่อีกหรือ?”
แม่เฒ่าหวังพยักหน้าและมองไปทิศทางของบ้านลูกคนรองและพูดกับหลินหงว่า “ตอนนี้พี่สะใภ้รองของเจ้าป่วยมาก ลูกสามเจ้าไปเป็นเพื่อนข้า ไปหาพี่สะใภ้ใหญ่ที่อยู่ในหมู่บ้านตระกูลเหยาได้หรือไม่!”
หลินหงมีสีหน้าลำบากใจ “ท่านแม่ปีนี้ข้ากำลังจะไปสอบ หนังสือยังอ่านไม่หมด…”
แม่เฒ่าหวังรู้ว่าบุตรชายใช้เป็นข้ออ้างที่จะปฏิเสธ นางก็ขมวดคิ้วแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้ว่าต้องการให้เขาตามไปด้วย
เพียงแต่ออกคำสั่งว่า “เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่บ้านอ่านหนังสือให้ดี ปีนี้ต้องสอบจอหงวนให้ได้ คนในหมู่บ้านจะได้หุบปากเหม็น ๆ ของพวกมันเสียที!”
หลินหงรีบตอบตกลงแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือเพื่ออ่านหนังสือ
แต่เขาไม่ได้อ่านหนังสือแม้แต่หน้าเดียว เนื่องจากอาการง่วงนอนที่เกิดจากกินข้าวมากในตอนเที่ยง เขาบิดขี้เกียจแล้วฟุบลงกับโต๊ะงีบหลับทันที
อีกด้านหนึ่งแม่เฒ่าหวังก็หยิบพริกออกมาสองสามเม็ดจากในครัว มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านตระกูลเหยา หญิงชราก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็วไม่นานก็มาถึง นางสอบถามหาที่พักของเหยาซู แล้วตรงดิ่งไปหาลูกสะใภ้ใหญ่ทันที
เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านของเหยาซูก็เห็นเพียงประตูบ้านที่เปิดอยู่ ในลานบ้านมีของไม่มากนัก แต่สิ่งที่ควรมีก็จัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ความอิจฉาในใจของนางเริ่มผุดขึ้นมา นางตะโกนขึ้นว่า “อาเหรา อาซู กลับบ้านกันเร็ว น้องรองของเจ้ากำลังจะมีลูก!”
แม่เฒ่าหวังวางแผนอย่างเฉียบแหลม หากวันนี้สามารถพาลูกสะใภ้ใหญ่และลูกของนางกลับไปได้ อย่างแรกก็คือมีคนทำงานบ้านแทนลูกสะใภ้คนรอง ส่วนหลินเหราก็ไปช่วยทำนาในฤดูใบไม้ผลิ เงินในมือของทั้งสองคนน่าจะมีอยู่ไม่น้อย ถึงเวลาการแต่งงานของลูกชายคนที่สามก็จะสามารถจัดการได้อย่างมีหน้ามีตา
นางตะโกนอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครตอบ ประตูห้องที่เปิดอยู่ก็ปิดลงดัง ‘ปัง’
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถ้าแม่เฒ่าหวังเกิดเป็นอะไรไป ผู้แปลว่าบ้านนี้น่าจะอยู่กันได้อย่างสงบสุขนะคะ ตัวต้นเหตุความวุ่นวายทั้งหลายคือนางแก่นี่คนเดียวเลย
ไหหม่า(海馬)