ตอนที่ 90 มองไปรอบ ๆ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 90 มองไปรอบ ๆ

ก่อนหน้านี้หลินม่ายเคยฟ้องร้องครอบครัวของอู๋จินกุ้ยในข้อหาทำร้ายร่างกาย

ผลลัพธ์ลงเอยที่ครอบครัวของอู๋จินกุ้ยต้องติดคุกและยังต้องจ่ายค่าทำขวัญเธออีก 50 หยวน ครอบครัวของอู๋จินฮวารู้เรื่องนี้กันหมด

อู๋จินฮวาและลูกชายหวังว่าตำรวจจะช่วยให้หลินม่ายต้องติดคุกและจ่ายเงินค่าทำขวัญให้ครอบครัวนางบ้าง

เมื่อได้รับแจ้งจากอู๋จินฮวา เจ้าหน้าที่สันติบาลก็ออกไปสอบสวนชาวบ้านที่รู้เห็นในเหตุการณ์ทันที

ชาวบ้านหลายคนต่างพากันให้การว่าอู๋จินฮวาเองที่เป็นฝ่ายปล่อยข่าวลือก่อนจนหลินม่ายต้องลงไม้ลงมือ

แม้ว่าหลินม่ายจะผิดก็จริง แต่อู๋จินฮวาต่างหากที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน

ถึงอู๋จินฮวาจะถูกทำร้าย แต่หลินม่ายก็ไม่ได้ใช้อาวุธกับเธอ เพียงแต่ตบเธอด้วยมือเพียงไม่กี่ครั้ง

ผลสรุปก็คือเรื่องทั้งหมดเกิดจากความผิดของอู๋จินฮวาที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ความผิดของหลินม่ายจึงเป็นอันถูกปัดตกไป

เจ้าหน้าที่สันติบาลแจ้งต่อครอบครัวของอู๋จินฮวาถึงผลการสอบสวนและคำตัดสินว่าคดีนี้ไม่สามารถยื่นฟ้องได้

เนื่องจากทั้งสองต่างเป็นฝ่ายผิดด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายใดจ่ายค่าเสียหาย แล้วคดีก็จบลงเพียงเท่านั้น

อู๋จินฮวารู้สึกไม่พอใจ นางบอกกับพวกเขาว่า คนแก่อย่างนางถูกเด็กสาวทุบตีทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่ปิดคดีไปง่าย ๆ แบบนี้

เจ้าหน้าที่สันติบาลที่รับผิดชอบคดีนี้จึงแนะนำว่านางสามารถให้หมอเป็นคนประเมินอาการบาดเจ็บได้

หากหลักฐานในการฟ้องคดีมีการรับรองว่านางบาดเจ็บอย่างที่ว่าจริง พวกเขาจะเข้าเมืองไปจับกุมหลินม่ายและนำตัวเธอไปเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

พวกเขาจะไม่เสียเวลามาดำเนินการในคดีที่ทั้งสองต่างเป็นฝ่ายผิดทั้งคู่และไม่สามารถฟ้องร้องกันได้ แถมยังต้องตามไปเรียกตัวอีกฝ่ายถึงในเมือง

แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สันติบาลบอกกับอู๋จินฮวาและลูกชายเพิ่มว่าถ้าผลการตรวจร่างกายออกมาแล้วไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการพิจารณาคดี ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บอย่างที่กล่าวอ้าง ครอบครัวของพวกนางจะต้องเป็นคนจ่ายเงินสำหรับการตรวจร่างกายและการทำเอกสารต่าง ๆ ทั้งหมดเอง ซึ่งพวกเขาก็ตัดสินใจล่าถอยแต่โดยดี

อาการบาดเจ็บของอู๋จินฮวาไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ตัวนางเองรู้ดีที่สุด

นอกจากถูกตบสองสามครั้ง หลินมายก็แค่บีบเธอด้วยมือ รอยแผลเล็กน้อยเหล่านั้นจะร้ายแรงพอสำหรับใช้ในการยื่นพิจารณาคดีได้อย่างไร สุดท้ายก็ทำได้เพียงยอมแพ้ไปอย่างแค้นเคือง

….

หลินม่ายแวะเวียนไปส่งซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วให้กับชายที่ดักจี้เธอในตอนเช้ามืดคนนั้นติดต่อกันอยู่หนึ่งสัปดาห์แล้วก็ไม่ได้ไปที่บ้านเขาอีก

ไม่ใช่เพราะเธอเสียดายเงินค่าอาหาร แต่หญิงสาวคิดว่าเขาน่าจะดีขึ้นแล้ว

ถึงพวกพี่น้องจะไม่ได้ไปเจอเขา เขาก็คงออกมาหาของกินเองได้

แต่ถ้าเขาตายอยู่ในบ้านหลังนั้น ก็น่าจะเริ่มส่งกลิ่นออกมา ยิ่งไม่ต้องเอาหาหารไปให้อยู่ดี

เธอเต็มใจเอาของกินไปให้เขาเพราะรู้สึกไปเองว่าเขาน่าจะไม่ใช่คนเลวร้ายไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมปล่อยให้เธอได้กลับออกมา

หญิงสาวทำสิ่งเหล่าเพื่อขอบคุณที่เขาไม่ได้ฆ่าเธอ

ถ้าได้พบกันอีกครั้ง เขากับเธอจะได้ไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน

นั่นหมายถึงว่า ถ้าเขายังไม่ตายไปเสียก่อนน่ะนะ

แต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าเธอคิดแบบนั้น และยังตั้งตารอให้เธอเอาอาหารมาส่งให้อยู่ทุกวัน

หลายวันผ่านไปโดยที่ไม่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ไม่ต้องไปคาดหวังเลยว่าจะมีกับซาลาเปาและไข่ต้มมาวางหน้าประตู

ชายหนุ่มเริ่มอยู่ไม่สุขเกิดความคิดฟุ้งซ่านในหัว

ผู้หญิงตัวเล็กบอบบางแบบนั้น จะเกิดอุบัติเหตุอะไรระหว่างเดินทางคนเดียวตอนเช้ามืดหรือเปล่า

ยัยคนนี้นี่จริง ๆ เลย ทำไมชอบไปไหนมาไหนมืด ๆ คนเดียวนักนะ

เขาที่ไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกจึงตัดสินใจออกไปตามหาเธอ

ทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตูออก เขาก็พบเหลียนเฉียวที่มาพร้อมกับผลไม้และกล่องอาหารกลางวัน หล่อนเอ่ยถามขึ้นทันที “นายท่านจะออกไปข้างนอกเหรอคะ”

แม้ว่าเหลียนเฉียวจะเป็นเด็กสาว แต่หล่อนก็เป็นผู้ช่วยที่เก่งกาจและภักดีที่สุดของชายหนุ่ม

ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันในฐานะคนสนิทในวัยเด็ก กลายมาเป็นระดับหัวหน้าด้วยกัน เคียงบ่าเคียงไหล่กันในการต่อสู้ทั้งเรื่องธุรกิจและการชิงอำนาจ แม้แต่ตอนที่โดนฝ่ายศัตรูไล่ล่า

คนที่เขาไว้ใจได้มากที่สุดก็คือหล่อน

เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์จอมวางแผน แต่แผนเหล่านั้นไม่เคยตบตาหล่อนได้

ทันทีที่เขาหายตัวไป เหลียนเฉียวก็รีบออกตามหาเขาทุกที่ที่คิดว่าชายหนุ่มจะไปซ่อนตัว และก็ตามเจออย่างรวดเร็ว

ที่ผ่านมาเป็นหล่อนที่คอยดูแลเขา เตรียมอาหารให้ครบทั้งสามมื้อและคอยทำแผลให้เขา

ชายหนุ่มฮัมเพลงขึ้นมาเบา ๆ

เหลียนเฉียวถามขึ้นว่า “จะออกไปไหนคะ”

“มีเรื่องต้องจัดการน่ะ”

หญิงสาวดันชายหนุ่มกลับเข้าไปในบ้าน “แต่คุณยังไม่หายดี เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ ฉันเอาซุปไก่มาด้วย กินก่อนที่มันจะเย็นเถอะค่ะ”

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง “ลืมตัวไปหรือไง เธอมีสิทธิ์เข้ามายุ่งเรื่องของฉันได้งั้นเหรอ”

เหลียนเฉียวนิ่งอึ้งไปแล้วรีบอธิบายว่า “ฉันแค่เป็นห่วงคุณ”

“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวจะกลับมา” เขาตอบแค่นั้นแล้วดันหล่อนให้หลบแล้วเดินออกจากบ้านไป

ตอนนั้นเขาเจอยัยพริกขี้หนูระหว่างทางไปตลาดมืด เขาเลยเริ่มตามหาเธอจากที่นั่นก่อน

หลินม่ายออกไปขายของในตอนเช้า แวะพักกลับมาเติมของแล้วจะไม่กลับมาอีกจนกระทั่ง 11 โมง

โจวฉายอวิ๋นเตรียมอาหารกลางวันเรียบร้อย รอให้หลินม่ายกลับมาก็จะได้เริ่มกินมื้อกลางวันด้วยกัน

คนเป็นพี่วางชามข้าวให้เธอ “วันนี้ขายไม่ดีเหรอ”

“อืม” หลินม่ายนั่งลงที่โต๊ะแล้วจับตะเกียบขึ้นมากินข้าว

ตั้งแต่เธอเริ่มขายอาหารด้วยการปั่นสามล้อไปตามถนน พ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ ก็เริ่มลอกเลียนแบบ พวกเขาขายอาหารเช้าเหมือนกัน และส่วนใหญ่ก็ขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วเหมือนกันอีก

แม้ว่าหลินม่ายจะมั่นใจมากเรื่องทักษะการทำอาหารของตัวเอง ซาลาเปาและไข่ต้มของเธอโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ

แต่ถึงอย่างนั้น การหาลูกค้าประจำด้วยการขายแบบปั่นไปตามถนนก็เป็นเรื่องยาก ลูกค้าส่วนใหญ่จะสุ่มซื้ออาหารจากร้านที่พวกเขาบังเอิญไปเจอมากกว่า

เพราะอย่างนี้ข้อได้เปรียบเรื่องรสชาติก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้มากเท่าเดิมยอดขายจึงไม่ได้ดีเท่าก่อนหน้านี้

ไม่ได้ขายดีเท่าเมื่อก่อนมาเป็นเวลาสักพักนึงแล้ว

โจวฉายอวิ๋นกินอาหารไปสองคำอย่างรู้สึกไม่ดีแล้วเสนอขึ้นว่า “เราไม่ต้องกินของดี ๆ แบบนี้ทุกวันก็ได้นะ”

ตั้งแต่เธอเริ่มมาทำงานที่นี่ หลินม่ายมีทั้งปลาและเนื้อสัตว์ให้เธอกินราวกับมีงานเลี้ยงทุกวัน

หลินม่ายปฏิเสธ “ถ้าพี่กินของดี ๆ ร่างกายก็จะแข็งแรง คนแข็งแรงก็จะมีแรงไปหาเงิน กินของดี ๆ แบบนี้ไปนั่นแหละไม่ต้องอดหรอก ไม่ต้องกังวลเรื่องงาน ถึงมันจะไม่ได้ดีเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังขายได้ประมาณ 20 หยวนต่อวัน พี่สบายใจได้”

ในโลกนี้หญิงสาวคิดไว้ว่าจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง และไม่คิดที่จะต้องคอยประหยัดเงินใช้จ่ายอีกต่อไป

หลังจากกินเสร็จ หลินม่ายก็ออกไปขายซาลาเปากับไข่ต้มต่อ

เมื่อเธอถีบสามล้อออกจากหมู่บ้านในด้านหน้า ชายหนุ่มก็เข้ามาที่หมู่บ้านจากด้านหลัง

เขาเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านโดยทำทีเป็นคนสัญจรผ่าน และต้องออกไปอย่างหงุดหงิด ยัยนั่นไม่ได้อยู่ที่นี่แฮะ

ฝนในฤดูใบไม้ผลิตกลงมาอย่างหนัก ตก ๆ หยุด ๆ แล้วก็ตกลงมาอีกครั้ง

เมื่อก่อนหลินม่ายไม่ออกไปขายของเวลาที่ฝนตก

แต่สำหรับตอนนี้ ต่อให้ฝนตกก็ต้องออกไปขาย เพราะมีคนมาเพิ่มอีกหนึ่งคนที่ต้องกินต้องใช้และต้องจ่ายเงินเดือน

ถ้าไม่ออกไปทำงานก็เท่ากับว่าทั้งวันจะขาดรายได้ไปเลย

หลินม่ายตื่นแต่เช้าตรู่ สวมเสื้อกันฝน ห่อถังไม้ที่ใช้ใส่ซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วด้วยผ้าใบกันฝนสองสามผืนก่อนออกเดินทาง

โจวฉายอวิ๋นมองออกไปข้างนอกแล้วอาสาขึ้นมา “ให้ฉันไปแทนดีกว่า เธอจะได้อยู่สอนหนังสือให้โต้วโต้วอยู่ที่บ้าน”

โต้วโต้วไม่อยากอยู่ห่างจากแม่ในวันฝนตก จึงคว้าเสื้อของเธอเอาไว้แล้วร้องว่า “แม่อยู่บ้านเถอะนะ”

แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธแล้วบอกกับคนเป็นพี่ว่า “พี่ไม่ถนัดเรื่องงานขายนี่ ถ้าออกไปก็จะขายได้ไม่เยอะ เพราะงั้นพี่เตรียมของอยู่ที่บ้านนี่แหละดีแล้ว”

จากนั้นก็ลูบศีรษะทุยของโต้วโต้วแล้วกำชับให้ลูกน้อยอยู่บ้านเชื่อฟังโจวฉายอวิ๋น

วันนี้ทั้งลมทั้งฝนค่อนข้างรุนแรง เหล่าเทศกิจไม่ได้ออกมาทำหน้าที่ หญิงสาวจึงปักหลักอยู่ที่ท่าเรือเพื่อขายอาหาร

ฟางจั๋วหรานถือร่มสีดำขนาดใหญ่เดินออกมา เมื่อเห็นเธอยืนขายของเพียงลำพังท่ามกลางสายฝนจากระยะไกล ก็รู้สึกเป็นห่วง ไม่อยากให้เธอต้องมาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากขนาดนี้

ฝนยังคงโปรยปรายลงมาต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์

และแน่นอนว่าเช้านี้หลินม่ายก็ยังคงออกไปขายอาหารตามปกติ

ฟางจั๋วหรานเดินไปหาเธอ สั่งซาลาเปาหมูสับและไข่ต้มดองอย่างละ 2 เขาเล่าให้เธอฟังว่ามีร้านค้าใกล้กับมหาวิทยาลัยว่างอยู่เลยมาถามว่าเธอต้องการจะเช่าหรือเปล่า

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไอ้อาการเลิกลั่กอยู่ไม่สุขนี่คือเริ่มชอบเขาแล้วสินะคะพ่อหนุ่มปริศนา

เรือมาพร้อมกันสองลำเลยแฮะ จะเลือกขึ้นเรือลำไหนดีคะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)