ตอนที่ 91 หาที่เช่าร้าน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 91 หาที่เช่าร้าน

เขารู้ว่าหลินม่ายกำลังมองหาหน้าร้านสำหรับเช่าพื้นที่ค้าขาย ถึงเธอจะเจอร้านที่มีทำเลที่ตั้งเหมาะสมหลายแห่ง แต่เจ้าของบ้านกลับไม่ยินดีปล่อยเช่า

ดังนั้นฟางจั๋วหรานจึงเป็นธุระหาที่ทางไว้ให้ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้เป็นฝ่ายร้องขอ

พวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ส่วนตัวของเจ้าของบ้านที่ปล่อยเช่ารวมถึงที่ตั้งโดยละเอียด วางแผนไว้ว่าจะแวะเข้าไปดูสถานที่จริงในช่วงบ่าย

หลังจากรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ฝนหยุดตกแล้ว หลินม่ายขนซาลาเปากับไข่ต้มขึ้นรถ ก่อนไปดูสถานที่จริง เธอตั้งใจว่าจะขายอาหารทั้งสองอย่างนี้ตามริมถนนไปตลอดทางจนกว่าจะถึงเขตมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้

ถึงอย่างไรการทำมาค้าขายด้วยวิธีนี้ก็ไม่ได้ผิดกฎหมายเสียหน่อย

หลินม่ายมาถึงหน้าอาคารที่ฟางจั๋วหรานพูดถึงแล้ว เธอมองดูอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง

อาคารส่วนตัวแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันกับทางไปโรงพยาบาลผู่จี้ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวโรงพยาบาลประมาณห้าช่วงตึก

สถานที่นี้อยู่ตรงข้ามกับห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง แถมยังอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ห่างจากกันแค่สามช่วงถนน ถือเป็นพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองเจียงเฉิงเลยก็ว่าได้

ถึงแม้จำนวนคนที่สัญจรผ่านจะไม่พลุกพล่านเท่าที่เก่า แต่ก็ยังมีคนผ่านไปมามากพอสมควร

คิดจะเปิดร้านขายของทั้งที ปริมาณผู้คนที่สัญจรผ่านถือว่าสำคัญมาก

ใต้ถุนอาคารที่ฟางจั๋วหรานแนะนำให้กับเธอไม่ได้กว้างขวางโอ่อ่ามากนัก ความกว้างแค่ประมาณสามเมตร แต่ลึกเข้าไปประมาณเจ็ดถึงแปดเมตร มีพื้นที่ว่างด้านหน้าตัวอาคารพอใช้สอย

…อันที่จริงถนนเส้นนี้ก็มีแต่บ้านส่วนตัวสองชั้นที่มีพื้นที่ว่างหน้าตัวอาคารทั้งนั้น

ด้านหน้าอาคารมีโต๊ะแปดเซียนกับเก้าอี้อีกหลายตัววางอยู่ ชายชราสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกันตรงโต๊ะแปดเซียนตัวนั้น ดูเหมือนพวกเขากำลังเล่นหมากรุกแข่งกัน มีชายชราอีกหลายคนมุงดูอยู่รอบ ๆ

โชคดีที่ซาลาเปานึ่งกับไข่ต้มดองซีอิ๊วของหลินม่ายยังเหลืออยู่บางส่วน

เธอหยิบไข่ต้มอุ่น ๆ สองสามฟองออกมาจากถังดองไข่ ก่อนจะเดินตรงไปหาพวกเขาด้วยรอยยิ้ม พร้อมถามด้วยท่าทางสุภาพว่า “ขอโทษค่ะ ที่นี่ใช่บ้านของพ่อเฒ่าเฮ่อ เฮ่อหมิงเซิงหรือเปล่าคะ?”

ชายชราหนึ่งในสองคนที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่ เงยหน้าขึ้นมามองหลินม่ายด้วยสีหน้าท่าทางใจดี “ฉันเอง…”

หลินม่ายรีบยัดไข่ต้มดองซีอิ๊วฟองหนึ่งใส่มือเขา “ศาสตราจารย์ฟางเป็นคนแนะนำให้ฉันมาที่นี่ค่ะ พอดีฉันสนใจอยากเช่าพื้นที่ใต้อาคารของคุณ”

พ่อเฒ่าเฮ่อรับไข่หมักหนึ่งฟองที่หญิงสาวหยิบยื่นให้ด้วยความงงงวย “เธอหมายถึงฟางจั๋วหราน ศาสตราจารย์นายแพทย์แผนกศัลยกรรมใช่ไหม? เธอเป็นอะไรกับเขาล่ะ? ก่อนหน้านี้เขามาที่นี่แล้วไล่ถามทุกคน ว่าพอมีใครยินดีปล่อยเช่าพื้นที่ใต้ถุนอาคารบ้าง ตอนนั้นฉันแค่พูดเล่น ๆ ว่าถ้าเขาเล่นหมากรุกชนะ ฉันจะปล่อยพื้นที่ด้านหน้าให้เช่า ใครจะคิดว่าไอ้หนุ่มนั่นกลับรุกฆาตหมากของฉันซะไม่เหลือซาก ฉัน… ฉันเลยทำได้แค่ยอมรับความพ่ายแพ้”

หลินม่ายคิดไม่ถึงเช่นกันว่าฟางจั๋วหรานจะเป็นธุระทำอะไรมากมายเพื่อเธอถึงขนาดนี้ ต่อให้ใจแข็งแค่ในก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าหัวใจกำลังสั่นคลอน

โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากใครอย่างเธอ แน่นอนว่าเธอยิ่งหวงแหนทุกสัมผัสอันอบอุ่นที่ได้รับจากโลกใบนี้เอามาก ๆ

เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นคนที่ศาสตราจารย์ฟางฝากฝังให้ช่วยดูแลคุณปู่กับคุณย่าของเขาค่ะ”

“อ้อๆๆ” พ่อเฒ่าเฮ่อพึมพำ “ฉันว่าอยู่แล้วเชียว ต่อให้ศาสตราจารย์ฟางจะสายตาสั้นแค่ไหน แต่เขาคงไม่มีวันชอบคนอย่างเธอแน่… ฮ่าๆๆ”

เธอแสดงสีหน้ากระดากอายอย่างไม่ปิดบัง ถึงอย่างนั้นก็ยังคงฝืนยิ้มต่อไป

หลินม่ายอยากพูดความในใจออกไปเหลือเกิน ‘พ่อเฒ่าเฮ่อคะ หยุดพูดจาขวานผ่าซากเสียทีได้ไหม?’

พ่อเฒ่าเฮ่อหันไปโบกมือให้กับเพื่อนชายชราคนอื่น ๆ “ทุกคนแยกย้ายกันก่อนเถอะ ฉันจะคุยเรื่องค่าเช่ากับแม่หนูคนนี้”

ตอนแรกชายชราทั้งหลายอยากอยู่ต่อเพื่อรอฟังว่าหลินม่ายจะเจรจาต่อรองค่าเช่ากับเขาอย่างไร แต่พ่อเฒ่าเฮ่อออกปากขับไล่พวกเขาออกไปแบบนี้ ทุกคนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันพร้อมกับไข่ต้มที่ได้จากหลินม่าย ตั้งใจว่าจะเอาไปมอบให้หลานชายของตัวเอง

ภายในประตูที่เปิดค้างไว้ จึงเหลือแค่หลินม่ายกับพ่อเฒ่าเฮ่อสองคน

พ่อเฒ่าเฮ่อเชิญให้หลินม่ายนั่งลง แล้วถามชื่อและอายุตามมารยาท

ถึงแม้ความจริงหลินม่ายจะยังอายุไม่ครบสิบแปดปี แต่เธอก็ตอบพ่อเฒ่าเฮ่อโดยใช้ข้อมูลตามอายุในสมุดทะเบียนบ้าน

ด้วยวัยของเธอ พ่อเฒ่าเฮ่อจึงตัดสินว่าเธอยังเด็กเกินไป เขาเสนอแนะว่า “อย่างที่เธอเห็น ที่นี่เป็นอาคารสองชั้น ถ้าเธออยากเช่า ก็คงต้องเช่าทั้งหลัง ซึ่งค่าเช่าก็ไม่ได้ถูกเลย ฉันคิดว่าเรื่องนี้เธอคงตัดสินใจเองไม่ได้ ลองไปเรียกพ่อแม่ของตัวเองมา แล้วฉันค่อยเจรจาตกลงกับพวกเขาอีกทีหนึ่งก็ได้”

หลินม่ายเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นอาคารสองชั้น ตอนแรกเธอยังนึกกังวลว่าถ้าเธอตัดสินใจเช่าพื้นที่ใต้ถุนอาคารกับพื้นที่ว่างด้านหน้า เจ้าของบ้านจะยังอาศัยอยู่บนชั้นสองหรือเปล่า

ซึ่งใจจริงแล้วเธอไม่อยากแบ่งปันพื้นที่โดยอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเจ้าของบ้านด้วยซ้ำ

เงยหน้าขึ้นอาจมองไม่เห็น แต่ก้มหน้าลงอาจมองเห็นเสมอ(1) ต่อให้เจ้าของบ้านทำตัวไร้ประโยชน์ไปวัน ๆ เธอที่เป็นแค่ผู้เช่าก็พูดอะไรมากไม่ได้

เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ในภพชาติก่อน เธอเคยเช่าอยู่ร่วมกับเจ้าของบ้าน ไม่ว่าค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า เธอเป็นคนหาเงินมาจ่ายเองทั้งหมด

แต่เจ้าของบ้านกลับทำตัวเหมือนกินฟรีอยู่ฟรี แถมยังเข้าบ้านออกจากบ้านเป็นว่าเล่น พอเห็นว่ากิจการของเธอเป็นไปด้วยดีก็หาเรื่องขึ้นค่าเช่าทุกเดือน

เธอไม่อยากตกอยู่ในสภาพที่ต้องทำงานสายตัวแทบขาด แล้วเอาเงินที่ได้จากการทำงานหนักมาจ่ายค่าเช่าให้กับพวกเขา นั่นไม่ต่างจากการหารายได้เข้ากระเป๋าพวกเขาฟรี ๆ โดยที่เจ้าของบ้านไม่ยอมทำอะไรเลย

ทันทีที่ได้ยินพ่อเฒ่าเฮ่อเสนอว่าเขายินดีให้เธอเช่าบ้านได้ทั้งหลัง หลินม่ายรู้สึกดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่

เธอเผยรอยยิ้มกว้าง พูดกับพ่อเฒ่าเฮ่อว่า “ฉันแยกทางกับครอบครัวมานานแล้วค่ะ ตั้งใจเช่าบ้านด้วยเงินที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง การตัดสินใจขึ้นอยู่กับฉันแค่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องเรียกพ่อแม่มาเจรจาหรอกค่ะ”

เรื่องอะไรเธอจะเรียกพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดที่ทำตัวเหมือนหมาป่าตาขาวพวกนั้นกัน?

ขืนเรียกพวกเขามาจริง ๆ พวกเขาก็จะรู้ว่าเธอมีเงิน แล้วเพียรพยายามหาทางฉกฉวยไปเป็นของตัวเองจนได้ ถ้าเธอทำแบบนั้นจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวให้ตัวเองลำบากหรอกหรือ!

ร่องรอยของความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของพ่อเฒ่าเฮ่อแวบหนึ่ง “งั้นก็ได้ ฉันคิดค่าเช่าบ้านหลังนี้อยู่ที่สี่สิบหยวนต่อเดือน”

ถ้าเธอเช่าที่นี่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาสามปี ต่อให้ค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นปีละสิบหยวนก็ใม่ถือว่าแพงอะไร

เพราะเทียบกับทำเลที่ตั้งแล้วถือว่าคุ้มราคา

แต่ปัญหาก็คือ ปัจจุบันแทบไม่มีใครกล้าเช่าพื้นที่สำหรับค้าขายบนถนนเส้นนี้ อาจเพราะกลัวถูกมองว่าเป็นคนมีฐานะ กลัวอุปทานการตั้งร้านไม่สอดคล้องกับอุปสงค์ หรือไม่ก็เป็นเพราะกลัวว่าราคาค่าเช่าจะสูงเกินเอื้อม

หลินม่ายพูดยิ้ม ๆ “ฉันยังไม่ได้ดูบ้านให้ละเอียดเลยค่ะ ขอดูก่อนแล้วค่อยพูดคุยเรื่องนี้กันดีไหมคะ”

พ่อเฒ่าเฮ่อลุกขึ้น พาเธอเยี่ยมชมตัวบ้านด้วยความยินดี

แผนผังของตัวบ้านค่อนข้างเรียบง่าย

ด้านหลังอาคารมีบันไดไม้ทอดขึ้นไปสู่ชั้นสอง หลังบันไดมีห้องครัวขนาดใหญ่ แต่ในครัวกลับว่างเปล่าไม่มีเครื่องครัวเลยสักชิ้น มีแค่เตาถ่านที่ทำจากถังน้ำมันสองสามถังเท่านั้น

พ่อเฒ่าเฮ่อโน้มน้าว “ฉันได้ยินศาสตราจารย์ฟางบอกว่าเธออยากเช่าบ้านเพื่อเปิดร้านขายอาหาร ก่อนยุคปฏิรูปประเทศ บ้านของฉันเคยถูกคนอื่นเช่าเพื่อเปิดร้านขนม ห้องครัวกว้างขวางแบบนี้ คงสะดวกต่อการทำอาหารของเธอไม่น้อยเชียวล่ะ!”

หลินม่ายไม่ตอบกลับอะไร ลองเปิดก๊อกน้ำในห้องครัวดู

ถึงแม้ห้องครัวนี้จะว่างเว้นจากการใช้งานมาเป็นเวลานาน แต่ก๊อกน้ำกลับยังไม่ขึ้นสนิม น้ำประปาไหลราบรื่นเป็นปกติ

พ่อเฒ่าเฮ่อพูดด้วยความภาคภูมิใจ “บ้านของฉันสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสาธารณรัฐแล้ว คุณภาพสิ่งของพวกนี้ แน่นอนว่าไม่ธรรมดา”

หลินม่ายได้แต่ยิ้มตอบ ไม่ตอบกลับอะไรเหมือนเดิม เธอเดินไปเปิดไฟในห้องครัว แต่กดสวิตช์อยู่สองสามรอบก็ยังไม่ติด

เธอเดินไปเปิดสวิตช์ไฟตรงประตูด้านหน้า ก็พบว่าเปิดไม่ติดเช่นเดียวกัน

พ่อเฒ่าเฮ่ออับอายเล็กน้อย “ไว้ฉันค่อยเรียกช่างมาซ่อมให้เธอทีหลังก็แล้วกัน”

หลังจากนั้นเขาก็เดินนำหลินม่าย ก้าวขึ้นบันไดไม้ที่ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดเพื่อขึ้นไปบนชั้นสอง

ชั้นสองแบ่งเขตห้องออกเป็นสองฝั่ง ทางฝั่งหนึ่งแบ่งออกเป็นห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ห้องชุดหนึ่งห้องตามลำดับ ห้องชุดที่ว่าตั้งอยู่หน้าบันได ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นห้องนั่งเล่นขนาดย่อม

แต่ละห้องว่างเปล่าไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยสักชิ้น

หลินม่ายคิดในใจว่าถ้าเธอสามารถตกลงเช่าบ้านหลังนี้ได้สำเร็จ เธอตั้งใจว่าจะยกห้องนอนใหญ่ให้โจวฉายอวิ๋น

ส่วนเธอกับโต้วโต้วจะนอนอยู่ในห้องชุดด้วยกัน

ห้องชุดที่ว่าไม่คับแคบเท่าไร สามารถวางเตียงใหญ่ในห้องได้หนึ่งเตียง และเตียงเล็กได้อีกสองเตียง

เมื่อเป็นแบบนี้ เธอจะได้แยกกันนอนคนละเตียงกับโต้วโต้วเสียที โดยที่โต้วโต้วยังรู้สึกปลอดภัย

…เพราะต่อให้สองแม่ลูกจะแยกกันนอนคนละเตียงก็จริง แต่อย่างน้อยพวกเธอก็ยังอยู่ในห้องเดียวกัน

หลังจากการเยี่ยมชมบ้านสิ้นสุดลง พ่อเฒ่าเฮ่อสังเกตว่าหลินม่ายนิ่งเงียบไป คงเป็นเพราะราคาค่าเช่าสูงเกินไปเป็นแน่

ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามพูดจาหว่านล้อม “ฉันไม่ได้ทึกทักตั้งราคาเอาตามอำเภอใจหรอกนะ ก่อนยุคปฏิรูปประเทศ เฉพาะใต้ถุนของบ้านหลังนี้เคยถูกปล่อยเช่าในราคาห้าหยวนต่อเดือนเชียว เธอลองไปถามคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉันได้ ถ้าไม่มั่นใจว่าฉันพูดความจริงหรือเปล่า ฉันปล่อยเช่าบ้านทั้งหลังในราคาแค่สี่สิบหยวนต่อเดือน ถือว่าเป็นราคาผักกาดขาว(2)แล้วล่ะ”

หลินม่ายตอบกลับด้วยท่าทางสบาย ๆ “คุณบอกว่านั่นเป็นราคาตั้งแต่สมัยก่อนปฏิรูปประเทศนี่คะ ตอนนี้ก็ผ่านมานานแล้ว แน่นอนว่าสถานการณ์ไม่เหมือนกัน”

พ่อเฒ่าเฮ่อตกตะลึงไปชั่วขณะ “ถ้าอย่างนั้นฉันลดราคาให้เธอห้าหยวนก็ได้ เหลือสามสิบห้า คงไม่แพงเกินไป”

หลินม่ายชูสองนิ้วเพื่อต่อรอง “ยี่สิบห้า”

สีหน้าของพ่อเฒ่าเฮ่อทรุดลงทันที ก่อนจะออกปากขับไล่เธอออกไป “ลืมไปซะเถอะ ฉันไม่ปล่อยเช่าแล้ว เธอออกไปได้แล้ว!”

………………………………………………………………………………………………………………………..

เป็นสำนวนเปรียบเปรย มีความหมายว่าทั้งสองฝ่ายมีโอกาสที่จะได้พบเจอหน้ากันอยู่บ่อยครั้ง

ราคาผักกาดขาว ใช้เปรียบเทียบถึงสินค้าที่มีราคาถูกมาก หรือมีความคุ้มค่าในการซื้อ

สารจากผู้แปล

จะได้บ้านเช่าอีกหลังแล้วสิเนี่ยม่ายจื่อ รอดูฝีมือการเจรจาเลย

ไหหม่า(海馬)