ตอนที่ 52 หยั่งเชิง

ข้าเก่งใช่หรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยดีใจจนตัวแทบจะลอยขึ้นฟ้าแล้ว สีหน้าที่แสดงออกมาของนางราวกับต้องการบอกเขาว่าให้รีบชมนางเร็ว ๆ

เจียงโม่หานมองอย่างจับผิดแล้วกล่าวว่า ในเขตเริ่นอันของเราไม่มีสูตรทำน้ำตาล เจ้ารู้วิธีพวกนี้ได้เช่นไร ?

ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่ารู้ได้อย่างไร ราวกับว่ามัน…อยู่ในหัวของข้าอยู่แล้ว ! เจ้าว่า…เพราะเหล่าทวยเทพได้มอบความสามารถในการรู้แจ้งให้ข้าหรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยสบตาเขาอย่างไร้พิรุธ

นั่นเพราะประสบการณ์ได้บอกนางว่า ‘ยิ่งมีลับลมคมในภายในใจมากเท่าไร ก็ยิ่งมิอาจเผยพิรุธออกมาได้ ต้องปกปิดให้แนบเนียนที่สุด ! ’ บัณฑิตหนุ่มสงสัยแล้วอย่างไร ? เขาจะจับข้าไปเผาไฟเช่นเดียวกับที่เผาพวกแม่มดหรือไร ?

เจ้ารู้ด้วยหรือว่า ‘การรู้แจ้ง’ หมายความอย่างไร ? เจียงโม่หานใช้นิ้วโป้งรูดเก็บพัดในมือพลางถามนาง

รู้สิ ! คงเพราะพระโพธิสัตว์ปลูกฝังปัญญาให้แก่ข้า ข้าถึงได้ฉลาดขึ้นมาเช่นนี้ ! หลินเว่ยเว่ยทำสีหน้าราวกับชื่นชมและนับถือตนเองเป็นอย่างยิ่ง

เจียงโม่หานจึงหลุดหัวเราะออกมาทันที เจ้าเคยเจอพระโพธิสัตว์ด้วยหรือ ?

เคย ! หลินเว่ยเว่ยหัวเราะกรุ้มกริ่ม ข้าเคยเจอในความฝัน ! เจ้าคิดว่าเพราะพระโพธิสัตว์สอนข้าในความฝันใช่หรือไม่ ? ข้าจึงได้เก่งถึงเพียงนี้

เหนือศีรษะสามเชียะ1มีเทพเทวา จะทำอันใดให้คิดว่าเทพรู้ เจ้ากล่าวอ้างพระโพธิสัตว์ขึ้นมาอย่างลอย ๆ ไม่กลัวว่าท่านจะลงโทษเจ้าหรือ ? เจียงโม่หานโบกพัดในมือของตน ด้านบนพัดเป็นรูปวาดและตัวอักษรที่เขาเขียนขึ้นใหม่ เมื่อชาติที่แล้วเวลาที่เขารู้สึกภูมิใจมากที่สุดก็คือการได้วาดภาพเช่นนี้บนใบพัดซึ่งมันเป็นของที่หาได้ยากมากเพราะมีแค่ชิ้นเดียวในโลก !

เหตุใดพระโพธิสัตว์ต้องลงโทษข้าด้วย ? ข้าไม่ได้ทำเรื่องเลวทรามเสียหน่อย ! หลินเว่ยเว่ยพยายามเบี่ยงประเด็นโดยการหันไปถามนางเฝิงว่า น้าเฝิง มีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่ ?

ไม่ต้องหรอก ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ! เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด นางเฝิงหันไปยิ้มให้นางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

และในตอนที่หลินเว่ยเว่ยกำลังจะหมุนตัวเดินออกไปนั้น จู่ ๆ เจียงโม่หานก็เรียกนางไว้ ช้าก่อน ! เมื่อก่อนครอบครัวของข้าได้แต่ทานอาหารของบ้านเจ้า วันนี้ข้าซื้อเนื้อหมูสามชั้นมา 2 ชั่ง เจ้าลองเอากลับไปคิดว่าพอจะทำอันใดทานได้บ้าง ?

หลินเว่ยเว่ยคิดแล้วกล่าวว่า น้าเฝิง วันนี้ข้าล่ากระต่ายมาได้ตัวหนึ่งมิใช่หรือ เหตุใดเย็นนี้พวกเราไม่ทานข้าวด้วยกันเลยล่ะ ?

นางเฝิงมองไปยังบุตรชายของตน

เจียงโม่หานได้ยินเช่นนั้นก็ตอบรับโดยไม่คิดสิ่งใดอีกต่อไป ไก่ป่าที่ท่านแม่เก็บมาได้เมื่อวานยังปล่อยไว้ในสวนผักหลังบ้านอยู่เลย เรานำมาตุ๋นดีหรือไม่ขอรับ !

แต่อาหารมื้อเย็นของเรามีหลายอย่างแล้ว เลี้ยงมันไว้ก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยให้น้าเฝิงตุ๋นเป็นซุปไก่ให้เจ้าดื่มบำรุงร่างกายที่ผอมแห้งราวไม้กระดาน ! หลินเว่ยเว่ยตบที่แผงอกผอมแห้งของชายหนุ่มอย่างเบามือ

เจียงโม่หานถอยไปสองก้าว คิ้วรูปกระบี่ของเขาขมวดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มจะไม่พอใจแล้ว

หลินเว่ยเว่ยที่เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะสะใจยิ่งกว่าเดิม ฮ่าฮ่าฮ่า บัณฑิตน้อยเจียง เจ้าวางแผนจะทานหมูสามชั้นอย่างไรดี ?

เจ้าทำอันใดเป็นบ้าง ?

ข้าวอบถั่วฝักยาวครั้งที่แล้วเป็นอาหารขึ้นชื่อจากฉวนส่าน สาเหตุที่เจียงโม่หานตอบรับว่าจะไปทานข้าวด้วยเพราะอยากทราบที่มาที่ไปของนางจากการทำอาหาร

ถ้าจะให้ข้าพูด วันนี้ก็พูดไม่จบ ! ข้าสามารถทำหมูตุ๋นน้ำแดง หมูตงพอ2 หมูนึ่งข้าวคั่ว3 เคาหยก4 หมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน ยำหมูสามชั้น หมูสองไฟ5…นอกจากนี้ยังสามารถทำเป็นขนมปังยัดไส้หมูและข้าวหมูสับได้ด้วย ! ไอหยา เหตุใดข้าเก่งถึงเพียงนี้นะ ! หลินเว่ยเว่ยรู้สึกชื่นชมตนเองเป็นอย่างยิ่ง

บรรดาอาหารที่เจ้าเด็กอ้วนเอ่ยขึ้นมาล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อของทางเหนือและทางใต้ ไหนจะของทานเล่นจากทางตะวันตกอีก…นอกจากนี้ยังมีอาหารที่เขาไม่เคยได้ยินนั่นก็คือ ข้าวหมูสับ !

เจียงโม่หานที่ได้ฟังก็ยิ่งงงงวยเข้าไปใหญ่ หรือชาติที่แล้วนางเป็นพ่อครัว ? ไม่ใช่สิ พ่อครัวแบ่งออกเป็นหลายประเภท ! แต่นางผู้นี้รู้สูตรอาหารของหลากหลายพื้นที่ !

เจียงโม่หานจึงเลิกใช้วิธีทำอาหารมาตัดสินที่มาที่ไปของหลินเว่ยเว่ย เขากล่าวกับนางว่า เช่นนั้นก็ทำหมูตุ๋นน้ำแดงเถิด !

ได้เลย ! เราทำน้ำตาลเสร็จพอดี ข้าจะได้ถือโอกาสนี้เอาน้ำตาลไปทำหมูตุ๋นด้วย ! หลินเว่ยเว่ยถือเนื้อหมูสามชั้นไปหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ตักน้ำตาลไปทัพพีหนึ่งแล้วเดินฮัมเพลงกลับไปบ้านของตน

พี่รอง ท่านไปเอาเนื้อมาจากที่ใด ? ว้าว เนื้อชิ้นใหญ่มาก ! เจ้าหนูน้อยป้อนอาหารกระต่ายและแม่ไก่เสร็จแล้วก็วิ่งกระโดดโลดเต้นมาหานางอย่างอารมณ์ดี วันนี้พี่รองไม่ได้เข้าเมืองแล้วนางไปเอาเนื้อหมูมาจากที่ใด ?

หลินเว่ยเว่ยบีบแก้มนุ่ม ๆ ของน้องชายแล้วกล่าวว่า บัณฑิตหนุ่มรูปงามข้างบ้านซื้อกลับมา อีกประเดี๋ยวน้าเฝิงและบุตรชายของนางจะมาทานข้าวเย็นกับพวกเรา รอชิมฝีมือพี่รองของเจ้าได้เลย ข้าจะทำของอร่อยให้เจ้าทาน !

อื้อ หากพี่รองทำ ไม่ว่าจะเป็นอันใดก็อร่อยทั้งนั้น ข้าชอบกินอาหารฝีมือพี่รองที่สุดเลย ! เจ้าหนูน้อยพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในครัวเพื่อช่วยนางจุดไฟ

เวลานี้ประตูทางทิศตะวันออกได้เปิดออกพร้อมกับหลินจื่อเหยียนที่เดินเข้ามา หลินเว่ยเว่ยเห็นน้องสามกลับมาแล้วจึงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม ต้าฮว๋ากลับมาแล้วหรือ ? คืนนี้ข้าจะทำหมูตุ๋นน้ำแดงและเนื้อกระต่ายผัดแห้งพอดี วันนี้ลาภปากเจ้าแล้ว !

มิรู้ว่าหลินจื่อเหยียนประท้วงนางกี่ครั้งแล้ว สุดท้ายเขาก็ยังอดประท้วงอีกมิได้ พี่รอง เลิกเรียกข้าว่าต้าฮว๋าสักทีมิได้หรือ ? ข้ามีชื่อให้เรียก !

ก็เรียกต้าฮว๋าแล้วรู้สึกสนิทสนมดี ! เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก หากเจ้าอยู่ในสำนักศึกษา ข้าจะไม่เรียกเจ้าเช่นนี้แน่นอน พี่รองอย่างข้าก็รู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรอยู่หรอก ! หลินเว่ยเว่ยดีดหน้าผากน้องชายคนโตแล้วกล่าวอย่างปลาบปลื้มว่า ต้าฮว๋า เจ้าสูงขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่ เจ้าใกล้จะสูงเท่าพี่รองแล้วนะ !

เด็กหนุ่มได้ยินพี่รองกล่าวเช่นนั้นก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขาเป็นถึงบุรุษแต่ร่างกายสูงไม่เท่าพี่รองที่เป็นสตรี นี่คือความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยายได้

ข้าจะไปให้ศิษย์พี่เจียงช่วยชี้แนะเนื้อหาในตำราก่อน หลินจื่อเหยียนไม่อยากถูกพี่รองมองว่าเป็นเด็กจึงคว้าตำราขึ้นมาแล้วเตรียมเดินออกไปบ้านข้าง ๆ

เมื่อเห็นเช่นนั้นบนใบหน้าของหลินเว่ยเว่ยจึงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา นางกล่าวกับน้องสี่ว่า น้องสี่ พี่รองจะเล่านิทานเรื่องอภินิหารเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดให้ฟัง นานมาแล้วมีชายชราคนหนึ่งได้ปลูกต้นน้ำเต้าขึ้นมา จนกระทั่งต้นน้ำเต้าออกผลเป็นน้ำเต้าเจ็ดลูก เมื่อลูกน้ำเต้าแต่ละลูกสุกงอมได้ที่ก็มีเด็กน้อยเจ็ดคนกระโดดออกมาจากลูกน้ำเต้าทั้งเจ็ดและเด็กน้อยที่กระโดดออกมาเป็นคนแรกมีชื่อว่า ต้าฮว๋า…

หลินจื่อเหยียนที่กำลังจะก้าวพ้นธรณีประตูได้ยินเช่นนั้นก็เกือบสะดุดเข้าให้

ต้าฮว๋ามีพละกำลังมากมายมหาศาล สามารถแปลงกายเป็นยักษ์และยกภูเขาได้ทั้งลูก… หลินเว่ยเว่ยเล่านิทานไปพลางมือก็ทำอาหารไปด้วย

เจ้าหนูน้อยที่กำลังจุดไฟหัวเราะออกมาเสียงดัง พี่รองคือต้าฮว๋า พี่รองของข้าคือต้าฮว๋า ! พี่รองของข้ามีพละกำลังมหาศาล สามารถยกโต๊ะหินที่บ้านได้ !

ใช่แล้ว ! เช่นนั้นต้าฮว๋าของเราก็คือเอ้อร์ฮว๋าในเรื่องอภินิหารเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ด ความสามารถของเอ้อร์ฮว๋าคือมีญาณทิพย์และหูทิพย์สามารถมองเห็นและได้ยินไกลถึงพันลี้ หลินเว่ยเว่ยเริ่มต้มน้ำตาลในขณะเล่านิทานมาถึงท่อนนี้

เจ้าหนูน้อยจึงถามด้วยความไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดกัน ?

เพราะเขาร่ำเรียนและได้อ่านตำรามากมาย ! มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘แม้บัณฑิตซิ่วไฉไม่ออกจากเรือนก็รู้ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้’ เขาสามารถอ่านและได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะพันลี้ได้จากตำราของเขา ! หลินเว่ยเว่ยเทเนื้อหมูสามชั้นที่หั่นไว้เรียบร้อยแล้วลงไปในน้ำตาลที่เคี่ยวเอาไว้และเริ่มผัด

แล้วข้าล่ะ ? ข้าคือซานฮว๋าในอภินิหารเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ด ซานฮว๋ามีความสามารถอันใดหรือ ? เจ้าหนูน้อยถามพี่รองอย่างตื่นเต้น

ซานฮว๋ามีแขนเหล็ก หัวทองแดง กระดูกและเส้นเอ็นของเขาล้วนเป็นเหล็กทั้งสิ้น อาวุธต่าง ๆ ไม่อาจตีรันฟันแทงเขาได้ ! เขาเหมือน…ยอดฝีมือนักสู้ในยุทธภพ ! หลินเว่ยเว่ยเทน้ำลงไปแล้วกำชับให้น้องเล็กเติมฟืน

เจ้าหนูน้อยได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าใฝ่ฝันขึ้นมา ว้าว ! ยอดมาก ! ข้าเองก็อยากฝึกวรยุทธเพื่อปกป้องท่านแม่และพี่รอง !

ดีมาก เด็กดี เจ้ามีความกล้าหาญมาก ! หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะน้องชายคนเล็กด้วยความเอ็นดู

วันนี้ครอบครัวของน้าเฝิงจะมาทานข้าวเย็นด้วยกัน ดังนั้นต้องทำของดีเสียหน่อย เช่นนั้นก็ทำเป็นข้าวตุ๋นแล้วกัน !

เจ้าหนูน้อยเป็นเหมือนลูกน้องที่คอยตามติดพี่รอง ไม่ว่าหลินเว่ยเว่ยจะเดินไปที่ใด เขาก็จะเดินตามนางไปด้วย หลังจากที่เด็กน้อยเห็นพี่สาวคนโตกำลังล้างผักป่าอยู่ เขาก็ถามต่อ พี่รอง แล้วพี่ใหญ่ล่ะ ? นางจะเป็นผู้ใดในอภินิหารเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ด ?

1 1 เชียะ เท่ากับ 1 ฟุต

2 หมูตงพอ เป็นอาหารประจำเมืองหางโจว ทำโดยทอดหมูสามชั้นด้วยกระทะแล้วนำหมูนั้นมาตุ๋น

3 หมูนึ่งข้าวคั่ว เป็นอาหารประจำมณฑลเจียงซี นิยมใช้หมูสามชั้นหมักด้วยเครื่องปรุงรสจากนั้นนำไปคลุก ข้าวคั่ว ( ใช้ข้าวเหนียว ) จากนั้นนำไปนึ่งโดยรองใต้ชามนึ่งด้วยใบบัว

4 เคาหยก แปลตรงตัวว่าเนื้อคว่ำ เป็นอาหารมีชื่อเสียงของหูหนานและกวางตุ้ง นิยมใช้หมูสามชั้นหั่นสี่เหลี่ยมผสมผักกาดดองเค็มแห้งที่เรียกไช่กัวผัดกับน้ำปรุงรสก่อน จากนั้นตุ๋นให้หมูเปื่อยนุ่ม เมื่อสุกแล้วจะนำจานมาปิดปากชามแล้วพลิกกลับด้านให้เนื้อหมูลงไปอยู่ในจานจึงเป็นที่มาของชื่ออาหารจานนี้

5 หมูสองไฟ เป็นอาหารต้นตำรับเสฉวนดั้งเดิมโดยผ่านการปรุงสุกสองครั้ง ครั้งแรกนำไปต้มจนสุก ครั้งที่สองคือผัดใส่เครื่องปรุงรสให้เข้ากัน

ตอนต่อไป